สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมาร นางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง
“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ
“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูก
ช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร
“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าลืมว่าเขาเป็นมาร หากนับเวลาร้อยปีที่เจ้าหายไปก่อนกลับแดนสวรรค์ เขาคงจะอายุราว ๆ นั้น พลังมารอาจจะรุนแรงกว่าที่เจ้าคิด”
ทันใดนั้น เมฆหมอกที่ปกคลุมร่างผู้มาเยือนก็สลายไป เผยให้เห็นสัตว์เทพประจำกายสวีลู่ชิงกับเด็กน้อยอายุราวเจ็ดขวบ
“อีนั่วหรือ” สวีลู่ชิงเอ่ยถามเพราะจำเรื่องของเขาได้เลือนรางนัก
“ท่านแม่” น้ำเสียงสดใสเรียกหาทำเอาใจสั่นไหวไม่น้อย
“อย่าเพิ่งเข้าไป อาจเป็นหลุมพรางหลอกล่อเจ้าก็เป็นได้” สวีต้าเฟิงจับมือน้องสาวเอาไว้เพราะไม่คิดว่าอีนั่วจะอยู่ในร่างเด็กน้อยแต่เหมือนอีกฝ่ายรู้ทันว่าเขาคิดอันใดอยู่
“ข้าเป็นเพียงครึ่งมาร แม้จะผ่านมาร้อยปีแต่ก็โตช้าไม่เหมือนท่านพ่อ” มารน้อยอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านแม่กลัวข้าหรือ”
เทพดารามองหน้าพี่ชายแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าก่อนจะเดินไปหาอีนั่ว ทันทีที่เข้าใกล้อีกฝ่าย มารน้อยรีบโผเข้ากอดนางด้วยความคิดถึง
“ข้านึกว่าท่านแม่จะทิ้งข้าไปเสียแล้ว” จู่ ๆ น้ำตาใสเอ่อคลอ เสียงสะอึกสะอื้นทำให้นางสะเทือนใจไม่น้อยจึงกอดปลอบ
หัวใจของนางเต้นตึกตักราวกับบางสิ่งบางอย่างถูกเติมเต็ม เข้าใจแล้วว่าพื้นที่ว่างตรงนั้นคงจะเป็นที่ของอีนั่วอย่างแน่นอน
จู่ ๆ เด็กน้อยกลับถามนางขึ้นมาว่า “ท่านแม่เสียใจเรื่องท่านพ่อหรือ”
สวีลู่ชิงงุนงงเล็กน้อยเพราะนางไม่ได้รู้สึกอันใดด้วยซ้ำ จอมมารแปลกหน้าคนนั้นที่เอาแต่พูดว่านางเป็นคนรักของเขา แต่หากว่ารักกันปานนั้นเหตุใดนางจึงจำเรื่องราวของเขาไม่ได้เลย
“ท่านแม่...” เขากระซิบคนตรงหน้า “ท่านพ่อรักท่านแม่ ข้าสัมผัสได้ สักวันหนึ่งท่านพ่อจะกลับมา อย่าเศร้าใจไปเลยขอรับ”
“เฮอะ” สวีต้าเฟิงได้ยินเสียงกระซิบนั้นลอยมาตามลม “มารไร้ใจอย่างนั้นน่ะหรือรู้จักความรัก”
อีนั่วนิ่วหน้าถามนางว่า “ท่านแม่ คนผู้นี้เป็นใครกันหรือ”
สวีลู่ชิงลืมไปเลยว่าต้องแนะนำพวกเขาให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ “อีนั่ว เทพวายุเป็นลุงของเจ้า คราวหลังห้ามนิ่วหน้าใส่เขาเช่นนั้นนะ” แล้วหันไปบอกพี่ชายว่า “ท่านพี่ หากไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดก็เชื่อมั่นในตัวข้าเถิด อีนั่วไม่ใช่มารร้ายอย่างที่ท่านคิดหรอก”
ไม่ทันที่สวีต้าเฟิงจะได้พูดอันใด สมุนทั้งสามของกงจื่อเย่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาทันทีพร้อมอาวุธในมือ สีหน้าท่าทางยามเห็นว่ามีเทพชั้นสูงสองคนยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็ทำราวกับจะเปิดศึกกัน โดยเฉพาะหลิวอิงอิงที่เป็นคู่ปรับเก่าของสวีต้าเฟิง
“เจ้าอีกแล้วหรือ” ปีศาจสาวตะโกนด้วยความโมโหเพราะคราวที่แล้วถูกเขาเล่นงานจนปวดหัว
“...” เทพวายุยังคงยืนนิ่งแต่ในมือถืออาวุธประจำกายเอาไว้
บรรยากาศระหว่างสองฝ่ายคุกรุ่น ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ร้ายแอบแฝงจนกระทั่งอีนั่วส่งสายตาบอกสมุนทั้งสามเป็นนัย
“เขาคือท่านลุงของข้า ห้ามพวกเจ้าทำอะไร” มารน้อยออกคำสั่งราวกับเป็นเจ้านายคนใหม่ทั้งที่เป็นครึ่งมารเพิ่งเกิดไม่กี่ปีแต่กลับไม่เกรงกลัวใคร
“ขอรับ” สมุนปีศาจรับปากในทันทีรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่อีนั่วกำลังบังคับอยู่ ความกดดันอยู่ในระดับเดียวกันกับกงจื่อเย่ทำให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งโดยปริยาย
สวีต้าเฟิงเห็นดังนั้นจึงนิ่งเฉยคอยดูท่าที ไม่คิดมาก่อนเลยว่าปีศาจพวกนี้จะเชื่อฟังมารน้อยอย่างง่ายดาย
เวลานี้ได้พบมารดา อีนั่วจึงไม่ยอมห่างกายไปที่ใด สายตาออดอ้อนเหมือนอย่างเคยเพราะคิดจะติดตามนางไปทุกหนแห่งแม้ที่แห่งนั้นจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย
“ไม่ได้หรอก” สวีลู่ชิงส่ายหน้ารู้ทันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่โดยไม่รู้ตัว ความทรงจำตอนที่ได้อยู่กับเขาในบ้านหลังเล็กค่อย ๆ ผุดขึ้นมา “เราสองคนไปอยู่บ้านหลังนั้นกันเถิด”
“ขอรับ” อีนั่วรับปากทันทีเพราะหวังให้เป็นเช่นนั้น “ท่านแม่ จะไม่ทิ้งข้าไปอีกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
ความรู้สึกรักใคร่เอ็นดูเด็กน้อยตรงหน้าเพิ่มพูนในใจของสวีลู่ชิงมากยิ่งขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนของนางทำให้อีนั่วดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่
เทพวายุมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าพยายามครุ่นคิดว่ามารน้อยมีเล่ห์กลอันใดเหมือนบิดาของเขาหรือไม่และยังคงไม่ไว้วางใจให้พวกเขาอยู่ที่นั่นเพียงลำพังจึงเอ่ยปากบอกน้องสาว
“ข้าเองไม่อาจปล่อยเจ้าไว้กับคนแปลกหน้าได้หรอก เพราะฉะนั้น ข้าจะไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วย”
สมุนจอมมารได้ยินคำพูดของเขาเต็มสองหูรีบโพล่งออกมาพร้อมเพียงกัน “พวกข้าก็จะไปอยู่ที่แห่งนั้นด้วย หากวันใดเจ้าคิดทำลายนายน้อยขึ้นมา ข้าไม่ปล่อยเอาไว้แน่”
“เฮอะ คิดว่าข้าจะยอมให้พวกเจ้าฉวยโอกาสทำอะไรกับน้องสาวข้าอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง” เทพวายุกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังพลางเดินเข้ามาใกล้สวีลู่ชิง
อีนั่วมองคนที่อยู่ทางซ้ายทีขวาทีรู้สึกว่าบรรยากาศมาคุนี้แทบจะเหมือนสงครามเทพมารขนาดย่อม ๆ จึงตวัดสายตามองสมุนของตัวเอง
“เฮ้อ หากนายท่านกลับมาแล้วพบว่านายน้อยถูกใครทำร้ายเข้า พวกข้าต้องถูกลงโทษแน่ ๆ” เฉินซือหยางบ่นพึมพำ “เวลานี้ภพมารกำลังวุ่นวายตามหาตัวนายน้อย เหตุใดจึงหนีเสือมาปะจระเข้เช่นนี้เล่า เทพวายุมีกำลังมากพอจะทำร้ายนายน้อยนะขอรับ”
“สิ่งที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร ทำไมถึงมีผู้ที่คิดสังหารเด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างเขา” สวีลู่ชิงกอดอีนั่วไว้ข้างกาย คิ้วเรียวขมวดรอฟังเรื่องราว
“นายท่านแตกสลายไปแล้ว แน่นอนว่ามารปีศาจย่อมแตกตื่นเป็นธรรมดา ต่างช่วงชิงพลังมารเพื่อเป็นใหญ่ นายน้อยมีสายเลือดจอมมารไหลเวียนทั่วร่าง พลังย่อมมหาศาลจึงตกเป็นเป้าหมายอย่างไรเล่า” โจวเหวินหลงอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วรีบไปที่หลบภัยจะดีกว่า ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันใดเจ้าได้” สวีลู่ชิงเอ่ยกับลูกชายตัวน้อยแล้วหันมาบอกพี่ชาย “จอมมารสลายไปแล้ว คงจะไม่มีเหตุอันใดให้ข้าต้องทำในเวลานี้ หากอีนั่วคือผู้ที่มีพลังมารปีศาจสูงสุด ข้ายิ่งต้องอยู่เคียงข้างเขา ท่านพี่คิดเห็นเช่นเดียวกันหรือไม่”
สวีต้าเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “จอมมารไม่อยู่แต่สายเลือดของเขายังคงอยู่ แถมครึ่งหนึ่งยังเป็นของเจ้า ข้าจะทำอันใดได้นอกจากปกป้องพวกเจ้าสองคน”
สวีลู่ชิงยิ้มกว้างที่พี่ชายเข้าใจจุดประสงค์ของนางพลันนึกถึงคำพูดของกงจื่อเย่ขึ้นมาทันใด แล้วคิดในใจว่า
หากเจ้ากลับมาครั้งหน้า ข้าคงต้องไถ่ถามให้แน่ใจแล้วว่าระหว่างเจ้ากับข้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าจึงลืมเรื่องราวของเจ้าและทำไมมารไร้ใจอย่างเจ้าจึงยอมสลายเพื่อข้าโดยไม่รีรอ รับความเจ็บปวดแต่เพียงผู้เดียวเพราะต้องการรักษาแก่นวิญญาณของข้าที่กำลังเกิดรอยร้าว เจ้ารักข้าอย่างนั้นหรือ
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้