เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์นั้นแล้ว จื่อเถิงจึงไม่รอช้านั่งสมาธิรวบรวมพลังเซียนของตนเองไว้ใจกลางจุดกำเนิดพลังเพื่อเก็บเกี่ยวสรรพสิ่งรอบตัวหลอมรวมเมล็ดพันธุ์ให้สมบูรณ์
เลี่ยงหวงมีสีหน้ากังวลที่เห็นนางทำเช่นนั้นจึงถามศิษย์พี่ของนาง “นางกดดันตนเองเกินไปหรือไม่ เดิมทีเมล็ดพันธุ์จะสมบูรณ์เมื่อครบกำหนดอายุขัยในชาตินั้น แต่นี่นางจะย่นเวลาเพื่อหลอมรวมมันเชียวหรือ”
“พวกเรามีทางเลือกด้วยหรือ” หยางซีอวิ๋นกล่าวขึ้น “จอมมารที่ไม่ควรปรากฏตัวกลับอยู่แดนมนุษย์ในเวลานี้ ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามันจะคร่าอีกกี่ชีวิตเพื่อตามหานาง”
จื่อเถิงรู้ดีว่าตนเองมีขีดจำกัดเท่าใด หากมีความมุ่งมั่นแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดนางก็จะทำให้สำเร็จจงได้ ในเมื่อมีชีวิตของทุกคนเป็นเดิมพัน นางจึงไม่อาจอยู่เฉยปล่อยให้ใครต่อใครถูกทำลาย
ทว่า พวกเขาไม่อาจหลบซ่อนอยู่ในเมืองจิวหรงได้นานเพราะสัตว์อสูรหลายตนผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
เหล่าศิษย์สำนักเซียนที่อยู่ในเมืองนี้ดาหน้าเข้ามาป้องกันพวกเขาทั้งห้าคนตามคำสั่งของเซียนอาวุโสเพื่อยืดเวลาให้พวกเขาฉวยโอกาสหลบหนีจากองทัพจอมมาร
ปีศาจหนึ่งในนั้นสอดส่ายมองหาสตรีดวงตาสีฟ้า เรือนผมสีขาวตามคำสั่งเจ้านาย เมื่อไม่พบเป้าหมายนั้นจึงรายงานกลับไปโดยไม่รอช้า
กงจื่อเย่แสยะยิ้มสั่งการให้พวกมันตามหาต่อไป “สวีลู่ชิง เจ้าคิดว่าจะหนีจากข้าไปจนถึงเมื่อใด”
การตามล่าอย่างไม่ลดละของจอมมารทำให้จื่อเถิงไม่อาจหลบอยู่ที่ใดได้นานจึงต้องเปลี่ยนเมืองไปเรื่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชีวิตของเซียนทั้งห้าระหกระเหเร่ร่อนหาที่ซ่อนตัวไม่เว้นแต่ละวันจนสุดท้ายจึงเข้าพักที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้ริมธารห่างไกลจากผู้คน
จื่อเถิงแยกตัวออกมานั่งทำสมาธิรวบรวมสรรพสิ่งอย่างที่ตั้งใจไว้ เร่งหลอมรวมสิ่งเหล่านั้นทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อนจนกระอักเลือดออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทางด้านหยางซีอวิ๋นรับหน้าที่ช่วยอิงฮวาฟื้นคืนพลังชีวิตไม่นึกห่วงร่างกายของตนเองเช่นกันจนศิษย์สำนักม่านหยกต้องห้ามปรามทั้งคู่ให้หยุดพัก
“เร่งรีบเกินไปใช่ว่าจะดี หากร่างกายพวกเจ้ารับไม่ไหว สิ่งที่สู้อุตส่าห์ทำมาจะไม่สูญเปล่าหรือ” เลี่ยงหวงเอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดี
“ข้ารู้ว่าเราไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเพลามือลงบ้าง ข้าเชื่อว่าสวรรค์จะไม่ทอดทิ้งพวกเรา” เฟยฮวากล่าวสีหน้าจริงจัง นางมีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเทพเซียนบนฟากฟ้าต้องรับรู้ถึงหายนะและลงมาช่วยเหลือมนุษย์อย่างแน่นอน
จื่อเถิงพยักหน้าแล้วรับถ้วยโอสถจากเฟยฮวามาดื่มจนหมด ไม่นานนักหลังยาออกฤทธิ์ จื่อเถิงจึงได้นอนหลับพักผ่อนเสียบ้าง
อีกฝากหนึ่งของแดนมนุษย์
กองทัพมารปีศาจเข้าถาโถมโจมตีเมืองมนุษย์เป็นว่าเล่น หลายชีวิตถูกพรากจากราวกับเป็นของไร้ค่าในสายตาจอมมารเพื่อยั่วยุให้จื่อเถิงปรากฏตัว
“เทพดาราที่คิดจะกำจัดข้ามัวแต่ไปมุดหัวอยู่ที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่กล่าว เสียงสะเทือนก้องไปทั่วบริเวณหวังจะให้เทพดาราผู้นั้นรับรู้ว่าเวลานี้เขาสร้างหายนะอะไรเอาไว้บ้าง
“ในเมื่อเจ้าไม่ออกมาเสียที ก็ช่วยไม่ได้” จอมมารโบกสะบัดข้อมือด้วยความเบื่อหน่ายปลิดชีวิตเหล่าเซียนที่กำลังปกป้องชาวเมืองทีละคน ๆ ด้วยสีหน้าเลือดเย็น
“ท่านแม่!!!” เสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่งที่พลัดหลงตะโกนเรียกหามารดา ท่าทางหวาดกลัวลึกสุดขั้วหัวใจเพราะเห็นสัตว์อสูรขวางทางเอาไว้ “ท่านแม่ช่วยข้าด้วย”
เด็กตัวน้อยยืนนิ่งเพราะกลัวจนขยับไม่ได้ น้ำตาไหลพราก ร่างสั่นเทิ้ม “ฮึก ฮึก” เขาสะอื้นไห้ไม่อาจกลั้น
สัตว์อสูรตนนั้นส่งเสียงขู่คำรามเล่นกับเหยื่อตัวน้อยอย่างสนุกสนาน
“ทะ... ท่านแม่” ดวงตาเรียวเล็กมองเห็นร่างของมารดาอยู่ไม่ไกลนัก เด็กน้อยเบะปากกลั้นเสียงของตัวเองไว้ ลืมหายใจไปชั่วขณะ
ร่างบางของมารดาห้อยอยู่คาปากของมังกรดำ สัตว์อสูรผงกหัวเงยหน้าขึ้นกระดกร่างของนางกระเดือกเข้าปากกว้างในพริบตา
“ท่านแม่!!!” เขากรีดร้องเมื่อเห็นภาพเช่นนั้นต่อหน้าต่อตา เสียงโหยหวนเรียกความสนใจจากอสูรที่จ้องมองเขาไม่วางตา
ฉับ!!!
สุดท้ายแล้วร่างของเด็กน้อยผู้นั้นก็หายวับไปในพริบตา เหลือเพียงรองเท้าสานเปื้อนเลือดตกอยู่บนพื้น สัตว์อสูรเลียริมฝีปากของตนเองกลืนน้ำลายลิ้มลองอาหารเลิศรส
ภาพเช่นนี้ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งยามที่กองทัพมารของกงจื่อเย่บุกเข้ามา ไม่ว่าจะเด็ก สตรี คนชรา จอมมารผู้นี้ไม่มีปรานี
เสียงร้องระงมด้วยความหวาดกลัวไม่มีหยุดพัก ขบวนกองทัพผ่านไปเมืองใดมักจะเห็นเพียงชิ้นส่วนร่างกายและรอยเลือดเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งจอมมารผู้ยิ่งใหญ่เคยผ่านมาทางนี้
กองทัพมารที่ผุดขึ้นมาจากภพมารทวีจำนวนมากขึ้น พวกมันได้รับคำสั่งจากจอมมารให้ตามหาตัวจื่อเถิงทั้งวันทั้งคืนไม่รามือ
ศิษย์สำนักเซียนรับรู้ได้ว่าอันตรายเยื้องกรายเข้าใกล้จึงเตรียมตัวหนีอีกครั้ง
หากแต่ครั้งนี้จะไม่หนีไปเหมือนเดิม เฟยฮวาเสนอให้พวกเขาแยกกันหนีโดยนางจะปลอมเป็นจื่อเถิง ส่วนเลี่ยงหวงปลอมเป็นหยางซีอวิ๋นหลอกล่อสายตาของทัพมารให้สับสน ถ่วงเวลาเพื่อให้จื่อเถิงรวบรวมสรรพสิ่งสร้างเมล็ดพันธุ์ให้สมบูรณ์โดยเร็ว
“พวกเจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้” จื่อเถิงไม่อยากให้ใครต้องมาเสี่ยงชีวิตเพราะนาง “หนีไปด้วยกันเถอะนะ” นางพยายามโน้มน้าวใจทั้งสองคน
เพียงแต่เฟยฮวาตอบนางว่า “จื่อเถิง พวกเราต่างเป็นศิษย์สำนักเซียนมีหน้าที่แตกต่างกันไป เจ้าก็ต้องทำในส่วนของเจ้า ในขณะที่ข้ากับเลี่ยงหวงก็ต้องทำในส่วนของเรา” เฟยฮวาหวังว่าจื่อเถิงจะเข้าใจจุดประสงค์ของนาง
“ข้ารู้ แต่ว่า...” นางไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขาหากเล่นละครตบตาจอมมาร
“หากข้าและเจ้าเป็นเทพจุติจริง ๆ จบสิ้นจากชีวิตนี้พวกเราก็จะกลับภพสวรรค์กันมิใช่หรือ” น้ำเสียงนางเหมือนกับเฟยฮวาผู้เป็นเทพบุปผาไม่มีผิดและสิ่งนั้นทำให้จื่อเถิงรู้สึกได้ว่าเคยมีใครสักคนพูดกับนางอย่างนี้มาก่อน
“...”
“แต่หากข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ชาติหน้าเราก็แค่รอมาพบหน้ากันใหม่ก็ได้”
“ขอบคุณ” จื่อเถิงไม่อาจเอ่ยสิ่งใดไปได้มากกว่านี้ “ขอโทษ”
“ขอสวรรค์ประทานพรให้งานของเจ้าสำเร็จได้ด้วยดี” นางกล่าวกับจื่อเถิงด้วยความสนิทสนม
จากนั้นพวกเขาจึงแยกกันไปคนละทาง จื่อเถิงและศิษย์ร่วมสำนักจากไปอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เฟยฮวาและเลี่ยงหวงแสดงตัวว่าเป็นสตรีที่จอมมารกำลังตามหา
พลันหลอกล่อพวกมันให้สับสนจนดึงความสนใจลูกน้องปีศาจให้ตามติดพวกเขาได้ตามแผน
โจวเหวินหลงจับสังเกตได้ว่าพลังเซียนของจื่อเถิงเวลานี้ไม่เหมือนกับที่เขาเคยเห็นจึงรายงานจอมมารถึงความผิดแปลกในครั้งนี้
สุดท้ายแล้วกงจื่อเย่ก็จับได้ว่าจื่อเถิงตรงหน้าเขาคือตัวปลอมที่ตั้งใจตบตาจอมมารผู้ยิ่งใหญ่
“กล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ” น้ำเสียงกงจื่อเย่เยือกเย็น
มือข้างซ้ายบีบคอของเฟยฮวา มือข้างขวาจับเลี่ยงหวงชูขึ้นด้วยความกราดเกรี้ยว
เขาแสยะยิ้มจ้องมองเข้าไปในดวงตาของทั้งคู่ “กล้ามากนักข้าจะสงเคราะห์ให้”
กงจื่อเย่ร่ายพลังมารปีศาจจำนวนมหาศาลให้หลั่งไหลเข้าร่างพวกเขา ค่อย ๆ ให้พลังมารกัดกินร่างเซียนทีละนิด จงใจสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวบีบบังคับให้อีกฝ่ายยอมแพ้ขอความตาย
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้