Back to 1986
สิ่งที่ลี่ฮุ่ยเอ่ยขึ้นมานั้นสร้างความประหลาดใจแก่ม่านอวี้อัน ซึ่งหลังจากนั้น สตรีวัยกลางคนก็ได้ถือวิสาสะก้าวพรวด ๆ เข้าไปในบ้าน!
“ป้ารู้หรอกนะ คุณนายมือบางตีนบางอย่างเธอจะทำอะไรเป็น พอถูกจับได้ว่าคิดขายลูกให้แก๊งมังกรซิ่งก็ทำสำออย ล้มหมอนนอนเสื่อ”
ม่านอวี้อันไม่ตอบ เธออยากรู้หลายสิ่ง ซึ่งหากจะให้ดีก็ควรมาจากปากของลี่ฮุ่ยคนนี้
“ระวังคำพูดบ้างป้าลี่ กล่าวหาแบบนี้มันเกินไปหน่อย” เยว่จือทนไม่ไหวเลยต่อว่าลี่ฮุ่ย
ม่านอวี้อันยกมือห้ามเยว่จือ เด็กสาวเลยเก็บปากเงียบ
“เฮ้อ คุณนายอัน อย่าหาว่าสอนเลยนะ เธอน่ะ เปิดร้านอาหารไม่รุ่งหรอก ทางที่ดีหัดรับจ้างซักผ้า หรือไม่ก็ยอมเหนื่อยหน่อย รับงานร้อยดอกไม้หรือพับถุงกระดาษขายคงพอมีเงินซื้อข้าวสาร ซื้อไข่อยู่บ้าง อย่าได้รักสบายไปหน่อยเลย สงสารนังหนูเยว่จือบ้าง อีกสักหน่อยมันคงต้องออกเรือน ไม่อยู่ให้เธอกดหัวใช้งาน”
เยว่จือส่ายหน้าเร็วหวือ เธอไม่เคยคิดเช่นนั้น ม่านอวี้อันไม่เคยใจร้ายต่อเธอ อีกทั้งก่อนหน้านี้ บิดาและมารดาอีกฝ่ายก็เป็นคนรับเธอมาอุปการะ เพื่อให้เธอไม่ต้องถูกขายในซ่อง!
“หนูไม่เคยคิดไปจากมาดาม อีกอย่าง ชีวิตนี้หนูจะอยู่รับใช้มาดามจนกว่าจะ...” เยว่จือไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดต่อ เธออัดอั้นตันใจ และเป็นตอนนั้นที่ลี่ฮุ่ยยิ้มเยาะ
“นังหนู อีกหน่อยเจอผู้ชายดี ๆ ขี้คร้านแกจะหนีตามเขาไป”
ม่านอวี้อันถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกใหญ่ คนอย่างลี่ฮุ่ยสมควรเป็นเพื่อนข้างบ้านเธอจริง ๆ ปากอย่างนี้ควรอยู่ใกล้ตัว เพื่อจะได้คอยเป็นโทรโข่งให้ม่านอวี้อัน!
เมื่อลี่ฮุ่ยเห็นว่าม่านอวี้อันไม่ตอบโต้ หญิงวัยกลางคนก็สืบเท้าเข้าไปข้างในต่อ หล่อนตั้งใจไปดูเด็กฝาแฝดทั้งสองคนว่ายังอยู่ดีมีสุขหรือไม่
เป็นช่วงเวลาที่ม่านอวี้อันได้เห็นด้านหลังของเสื้อยืดที่อีกฝ่ายสวมใส่ ซึ่งสกรีนโลโก้การแข่งขันกีฬาระดับโลก
“ตอนนี้ปี 1986 ใช่ไหม!”
ม่านอวี้อันถามด้วยความตื่นเต้น เธอจำได้แม่นว่าในปีดังกล่าวจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับประเทศนี้ เพราะมีนักกีฬาม้ามืดที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง เขาสามารถคว้าเหรียญทองเหรียญแรกได้สำเร็จ สร้างความสุขให้คนในชาติ ทำให้ผู้คนเฉลิมฉลองความดีใจจนลากยาวไปถึงเทศกาลปีใหม่ และเธอจะใช้โอกาสจากการล่วงรู้เหตุการณ์ในโลกอนาคตมาสร้างเม็ดเงินให้ตนได้ลืมตาอ้าปาก
“ค่ะ... ปีนี้ค.ศ.1986 มาดามจำไม่ได้หรือคะ”
“แล้วกำลังมีการแข่งขันกีฬาใช่ไหม...”
“เอ๋ ก็ใช่ค่ะ แล้วยังไง...” เยว่จือไม่ได้สนใจเรื่องกีฬา ตอนนี้เธออยากจะพุ่งเข้าไปขวางลี่ฮุ่ยที่ก้าวเข้าไปวุ่นวายในบ้านมากกว่า
“ดี ต่อไปเราจะรวยใหญ่แล้ว”
และม่านอวี้อันก็ยิ่งทำให้เยว่จือสับสนหนักขึ้นไปอีก เมื่อครู่ยังชวนเธอเข้าบ้านอยู่ดี ๆ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้แสดงท่าทีแปลกประหลาดราวกับถูกผีเข้า
“แต่ก่อนจะรวย ให้หนูไปไล่ป้าลี่ก่อนดีไหม”
“โอ๊ย เล็กน้อย เดี๋ยวฉันจัดการเอง เธอคอยดูฝีมือแล้วกัน”
“จะได้ยังไง ปกติแค่ป้าลี่เสียงดัง มาดามก็ยกมือปิดหู กลัวหน้าซีดจะเป็นลม แทบจะวิ่งไปหาหลุมหลบภัย ยังกับหมาแมว เวลาได้ยินเสียงพลุ เสียงคนจุดประทัดตอนปีใหม่!”
“ตายละ ฉันขี้ขลาดขนาดนั้นเลยหรือ”
เยว่จือจะตอบยังไงดี กระนั้นก็เลือกเอ่ยว่า
“มาดามไม่ชอบเสียงดัง ๆ และปวดหัวทุกครั้งเวลามีอะไรกระทบจิตใจ”
“ฉันคนเก่าช่างเปราะบาง มิน่าถึงได้ถูกทิ้งให้เป็นหม้ายแบบนี้” เอ่ยจบ ม่านอวี้อันก็ก้าวเข้าไปในบ้าน ตามหลังลี่ฮุ่ยไปติด ๆ
ซึ่งขณะนั้นลี่ฮุ่ยกับไม่ได้ตรงไปหาเด็กฝาแฝดทั้งสองคน แต่เธอกลับเดินตามกลิ่นหอม ๆ เข้าไปในครัวราวกับถูกดึงดูดด้วยรสชาติที่สร้างความสุขอย่างที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน
วินาทีต่อมา หญิงวัยกลางคนก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่วางอยู่บนตะแกรงสแตนเลสที่มีพัดลมเปิดระบายความร้อนอยู่
ลี่ฮุ่ยมองขนมเค้กชิ้นนั้นแล้วก็ต้องยกมือขึ้นทาบอก หัวใจเธอเต้นแรง ร่างกายอุ่นซ่านขึ้น
นานเท่าไรแล้ว ที่ไม่เคยเห็นอาหารที่สร้างความอยากกินได้มากมายเพียงนี้
สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้น เธอเคยเห็นแต่ในรูปภาพ หรือไม่ก็งานเลี้ยงหรูหราตอนที่สามีเธอยังไม่ขอแยกทางกัน
“คะ เค้กกล้วยหอม...” ลี่ฮุ่ยว่าเสียงสั่น ก่อนสืบเท้าเข้าไปมองใกล้ ๆ เธอแทบจะลืมหายใจด้วยซ้ำ นอกจากกลิ่นเนย กลิ่นกล้วยหอมแล้ว ยังมีอีกกลิ่นหนึ่งที่ทำให้เธอทึ่งจัด เค้กดังกล่าวผสมอบเชยป่นเข้าไปในตัวเนื้อแป้ง!
หอมมาก หอมเย้ายวน เป็นการผสมผสานอย่างลงตัว นอกจากนั้นยังมีเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับหยาบโรยด้านบนสุด หล่อนสัมผัสได้ถึงความหวาน มัน และรสชาติละมุนตรงปลายลิ้น
“ยอดเยี่ยม! หน้าก็แตกพอดี โปะด้วยกล้วยหอมที่ฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ทับไว้อีกชั้น แบบนี้ป้าต้องรีบไปเรียกให้คนมาถ่ายรูป!”
น้ำเสียงลี่ฮุ่ยเปลี่ยนไป เป็นภาพที่เยว่จือต้องยืนงงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันไปมองม่านอวี้อันและเอ่ยถามว่า
“เอ่อ มาดาม... รู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมคะว่าต้องเป็นแบบนี้!”
“อือฮึ ฉันเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง มันอาจเสี่ยงอยู่มาก แต่ยิ่งเสี่ยง ก็ยิ่งน่าตื่นเต้นดีออก ตอนนี้ฉันตกเหยื่อรายแรกสำเร็จแล้วละ เสี่ยวจือ”
“อันเอ๋อร์ที่ผ่านมา แม่ไม่น่าเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่หนูเลย ต่อไปไม่เอานะ อย่าเท้าสะเอว ตีหน้ายักษ์ และแยกเขี้ยวขู่คนอื่นอีก ดูสิพวกเขาเหมือนหมาจนตรอกแค่ไหน ไม่มีทางสู้ลูกได้เลย” ม่านอวี้อันหันมาทางลี่ฮุ่ย และตอบว่า “สบายใจได้ค่ะ ฉันแค่ทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเขารู้ว่า คุณแม่ลูกแฝด ที่ชื่ออวี้อันไม่ได้อ่อนแอ ใครจะมารังแกไม่ได้เด็ดขาด ที่สำคัญเมื่อกี้ฉันไม่ได้จำมาจากที่แม่เคยโวยวายใส่ ทั้งหมดมันออกมาจากความรู้สึกข้างในต่างหากค่ะ” “ยังไงก็เถอะ ห้ามเลยนะ ถ้าต้องจัดการคนพวกนี้อีก ให้แม่กับเพื่อนๆ ไล่ดีกว่า อันเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องเก็บเรื่องไร้สาระมาหนักหัวเปล่าๆ ลูกสมควรทำอาหาร และดูแลหลานให้แม่ดีที่สุด” ลี่ฮุ่ยว่าอย่างเป็นห่วง “ขอบคุณนะคะ เอาเป็นว่าลูกสาวคนนี้ จะพยายามเชื่อฟังให้มากที่สุด” ลี่ฮุ่ยส่ายหน้า และเอ่ยว่า “ไม่ใช่พยายามเชื่อฟัง อันเอ๋อร์ต้องทำตามที่แม่ขอร้องรู้ไหม” หญิงวัยกลางคนเอ่ยจบ หล่อนก็พาลูกสาวบุญธรรมกลับเข้าไปในงาน เป็นตอนนั้นที่ประทัดถูกจุดขึ้นนับพันดอกเพื่อแสดงความยินดี ในงานมงคล ผิงกั่ววิ่งมาหาม่านอวี้อัน และยิ้มกว
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ คุณนี่เอง ลูกชายนายท่านหยวน มีข่าวว่าตายในกองเพลิงหาศพไม่เจอ นั่นคงเป็นการกุเรื่องสินะ คงกลัวคนจะรู้ว่าคุณเป็นต้นเหตุทำให้พี่ชายตาย!” แจ็คสันไม่ได้หลงกลสิ่งที่ม่านหงกล่าว ซึ่งเขาไม่ได้ทำให้ปีเตอร์เสียชีวิต ทุกอย่างเป็นอุบัติ มันเกิดขึ้นจากการก่อการร้ายครั้งใหญ่ และหลังจากเขาบาดเจ็บหนัก ก็นอนสลบไปหลายเดือน เมื่อฟื้นขึ้นก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนสกุลหยวนอีก นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่า ครอบครัวทำธุรกิจมืด และเงินที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ “ดูเหมือน คุณจะรู้หลายสิ่ง เลยคิดเอาเรื่องนี้มาบีบบังคับผมกับภรรยา แผนตื้นเขินแบบนี้ ใช้ไม่ได้หรอก อีกอย่างผมนามสกุลหยวนก็จริง และเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถึงอย่างนั้นผมได้เลือกใช้ชีวิตเรียบง่ายกับภรรยา และลูกๆ เรื่องไหนที่เป็นอดีต ไม่ขอรื้อฟื้น” ม่านหงยิ้มเยาะ แจ็คสันช่างเป็นคนขี้ขลาด เขาเป็นถึงลูกชายคนกลางหยวนเฉาคัง ทว่ามักน้อย ไม่กล้ากลับตระกูลใหญ่ นั่นเพราะแต่เดิมก็อยู่หลังพี่ชายคนโต คอยหลบเลี่ยงปัญหา ทว่าลูกชายแจ็คสัน มีประโยชน์ต่อม่านหงในยามนี้ เด็กฝาแฝดสองคนนั้นต้องหาเงินให้เขาเป็นกอบเป็นกำ “ถึงอย่างไร ทายาทของนา
ฝ่ายลี่ฮุ่ยชิมโดนัทไปสองชิ้นเล็ก และหล่อนทึ่งทีเดียว “ของแบบนี้ จะมาทำกินกันแค่ในบ้านไม่ได้ แม่ว่าใช้เป็นเมนูพิเศษ เลยดีไหม ทำป้ายขายตามไฟแดง หรือทำเพิงเล็กๆ ติดถนนให้คนจอดซื้อได้สะดวกๆ เราเอากำไรน้อยๆ ขายจำนวนมาก เพื่อสร้างอาชีพให้คนอื่น” ม่านอวี้อันพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งความตั้งใจเธอเป็นเช่นนี้ อาหารที่ทำราคาต้องจับต้องได้ เหมาะกับคนหลากหลายวัย พอหญิงสาวหันไปมองแจ็คสันที่อมยิ้มในสีหน้า เธอก็เอ่ยถาม “บอกได้หรือยังคะว่า ทำไมถึงให้ฉันเป็นเหมือนขนมโดนัท” “อ่อ เพราะเมียจ๋าของผัว น่ารักแสนดีและหอมหวาน อีกอย่าง...ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข เหมือนโดนัทไง ตัวกลมๆ มีรูปตรงกลาง ดูแล้วยิ้มได้ตลอด” ม่านอวี้อันฟังสิ่งที่เขาพูดแล้วนึกแปลกใจ “ถึงจะพิลึกอยู่สักหน่อย แต่ฉันถือว่าเหล่ากงชมนะคะ แล้วนี่สองแฝดอยู่ไหน” เธอถาม และมองหาลูกชาย ก่อนต้องนิ่งค้าง เมื่อเห็นเซียงเจียววิ่งร้องไห้จ้าเข้ามาเธอ ส่วนผิงกั่วยืนขวางแขกที่ไม่ได้รับเชิญเอาไว้ ม่านหงไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นความสำเร็จของหลานสาว ส่วนถานเซียะในวันนี้นั่งรถเข็น มีพยาบาลช่วยดูแล พร้อมเ
เรื่องชวนขายหน้าของเหล่ากง เนื่องจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่เหลืออีกสามทีมจะจัดแข่งขันในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ลี่ฮุ่ยจึงตั้งใจจัดการเลี้ยง ต้อนรับม่านอวี้อัน และยังเปิดโอกาสให้แจ็คสันแสดงตัวว่า เขาคือสามีของหญิงสาวด้วย “เหล่ากงไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้” ม่านอวี้อันบอกคนรัก “ตอนนี้พี่เหลือคนในครอบครัวคือยายหวัง อยากให้แกมีความสุขอีกสักครั้ง และเราก็จดทะเบียนกันให้ถูกต้อง เป็นผัวเมียตามกฎหมาย” “ถ้าอย่างั้นตามใจเลยค่ะ แล้วเหล่ากงจะบอกยายหวังหรือไม่คะ ว่าไม่ใช่ลูกชายของแก” แจ็คสันไม่เสียเวลาคิด ในอดีตที่ผ่านมา เขาเคยบอกยายหวังแล้วว่า ตนไม่ใช่ลูกชาย รวมถึงพยาบาลและคุณหมอหลายคนที่ใช้เหตุผลกับแก ทว่ายายหวังกลับไม่ได้สนใจสิ่งนั้น ดูเหมือนว่าลึกๆ หญิงชรารับรู้ความจริงเรื่องนี้ แต่แสร้งว่า แจ็คสันเป็นลูกชายของตนที่จากไปในเหตุการณ์ร้ายแรง อีกทั้งแจ็คสันอยากตอบแทนน้ำใจเหรินซือห่าว ที่ช่วยเขาให้รอดพ้นจากความตาย “อาหมวยที่รัก...” ชายหนุ่มทอดเสียงหวานทุ้ม ดวงตาคมของเขาก็ทอแสงอ่อนถึงเธอ จึงช่วยไม่ได้ที่ม่านอวี้อันจะเก้อเขินอย่างหนัก “เอ มันใช่เวล
จานอาหารสุดท้ายดูเหมือนทุกทีมจะมีการเสิร์ฟอาหารที่ใช้ลูกเล่นต่างกันไป ทั้งสาวสวยใส่รองเท้าสเก็ตซ์ บริกรหนุ่มๆ ถีบรถจักรยานล้อเดียว ลี่ฮุ่ยมองม่านอวี้อันอยู่อย่างนั้น แน่นอนหล่อนเชื่อมั่นว่าเค้กต้องอร่อย แต่อดไม่ได้ที่อยากให้โต๊ะสีน้ำเงินมีสีสันกว่าที่เป็นอยู่ “เอาอย่างไรดีล่ะ แม่หมั่นไส้พวกนั้นเหลือเกิน” ม่านอวี้อันแต่เดิมเธอชอบทำอาหารเพียงอย่างเดียว ทว่าในโลกเก่า ต้องต่อสู้กับคู่แข่งมากมาย การไลฟ์ขายของที่เธอเคยทำนั้น นับว่าสร้างความสนุกให้ผู้คนเสมอ ระหว่างขายของจึงมีทีมนักเต้น นักดนตรีคอยเรียกลูกค้าตลอด “แม่ไม่ต้องห่วง เหล่ากงกับสองแฝด คงไม่ปล่อยให้เรายืนเหงาๆ แน่นอน” “แจ็คสันกับผิงเกอ เจียวเกอนั่นหรือ...ให้หลานฉันมาช่วยยกของ เสิร์ฟของอะไรหนักๆ ไม่ดีแน่” ม่านอวี้อันหัวเราะน้อยๆ และตอบลี่ฮุ่ย “สองแฝด แค่ยิ้ม โบกมือ เต้นนิดๆ หน่อยๆ คนก็เทคะแนนให้เราแล้วล่ะค่ะ อย่าลืมว่าพวกเราคือคนในถนนเนี่ยอิน ฉะนั้น ขายความเป็นตัวตนของเราดีที่สุด” ลี่ฮุ่ยยังไม่เข้าใจ แต่เยว่จือกับเจ้าอิงเตรียมตบมือรอแล้ว เพราะเห็นสองแฝดถูกจับใส่น่ารักเป็นหมีกั
เมื่อทุกทีมส่งอาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อย ก็ยังไม่ได้มีการประกาศผลคะแนน เนื่องจากจะรวมคะแนนทั้งหมดกับของหวาน จากนั้นคัดเพียงสามทีมเข้าไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ลี่ฮุ่ยได้ข้อมูลจากคนของเธอที่เป็นหนึ่งในกรรมการทั่วไป มาแจ้งผลว่า รสชาติอาหารแต่ละทีมล้วนมีข้อดีกับข้อด้อยต่างกันไป “ทีมสีเขียวหมึกช็อตนั้นอร่อย และเนื้อหมึกหวาน แต่คนเกือบครึ่งเลือกที่จะไม่รับประทาน ส่วนที่โดดเด่นตีคู่มากับหมูสะเต๊ของเราก็คือ ทีมสีแดงจากเชฟสองดาว ฝ่ายนั้นทำซาโมซ่าซอสผักชี” “พวกเขาทำการบ้านมาดี ผักชีมีกลิ่นเฉพาะตัว แล้วนำมาทำคล้ายซอสเพลสโต้ แบบนี้คงได้คะแนนไม่น้อย” ม่านอวี้อันไม่ได้ชิม จานดังกล่าว แต่เธอเห็นตอนทีมสีแดงเตรียมจัดเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ “จริงอย่างที่อันเอ๋อร์บอก ซอสผักชีทำง่าย เครื่องปรุงไม่ยุ่งยาก แต่กลับเสริมให้ซาโมซ่าอร่อยเข้าไปอีก” เยว่จือกับเจ้าอิง ไม่รู้จักซาโม่ซา ฝ่ายโรสที่เคยกินจึงบอกว่า “มันเป็นแป้งทอดไส้หมูสับ หรือไก่สับปรุงให้รสจัดจ้านนิดหน่อย ปกติจิ้มกับซอสมะขาม หรือซอสมะเขือเทศ แต่บางครั้งฉันเห็นซาโมซ่าเป็นไส้ผลไม้ เช่นกล้วยหอม หรือไส้ฝักทอง”