“ท่านแม่ทัพ”
เสี่ยวเตี๋ยดีใจจนออกนอกหน้า หลายเดือนมานี่ ท่านแม่ทัพมาเยือนเรือนฉีอิงบ่อยมาก ทั้งที่วันนี้คุณชายสามมา ท่านแม่ทัพก็ยังแวะเวียนมาที่เรือน โดยที่เจ้านายของนางไม่อยู่แท้ ๆ นอกเสียจากเขาจะมาเพื่อพบหน้าผู้อื่น สาวใช้แอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ภายในใจ
“ฮูหยินเล่า นางยังมิเสร็จอีกหรือ” แม่ทัพหนุ่มถามหาภรรยา
“เอ่อ...คือฮูหยิน ออกไปยังเรือนรับรองแล้วเจ้าค่ะ เพื่อ...”
ชายหนุ่มหมุนกายจากไปทันที โดยไม่รอฟังให้จบก่อน ทำให้เสี่ยวเตี๋ยถึงกับหน้าม่านไปเลยทีเดียว นางคิดว่าที่ผ่านมาชายหนุ่ม มายังเรือนนี่บ่อยครั้ง เพื่อมาพบหน้านาง
แม่ทัพหนุ่มถึงกับชะงักเท้าในทันที เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากห้องรับแขก ใบหน้าที่เคยนิ่งสนิทอยู่เป็นนิจ บัดนี้กลับมืดครึ้มลงหลายส่วน ‘ไยกับข้า เจ้ามิเคยหัวเราะด้วยเช่นนี้’ ชายหนุ่มคิดขบเขี้ยวอยู่ในใจ
ก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แม่ทัพหนุ่มก้าวเท้าหนัก ๆ ตรงเข้าไปภายในห้องรับแขก ภาพที่เขาเห็นคือภรรยาในชุดสีขาวลายดอกมู่ตานสีชมพู ซึ่งขับเน้นให้นางดูงดงามยิ่งนัก
แต่สิ่งที่ทำให้เขา แถบจะถลาเข้าคว้าตัวนาง แล้วพากลับไปขังไว้ในเรือน นั่นคือเนินอกอวบอิ่ม ที่ถูกดันจนแทบทะลักออกมาจากเสื้อเลยก็ว่าได้ จริงอยู่ว่าชุดแบบนี้ สตรีมากมายก็สวมใส่ แต่ทำไมเมื่อมันมาอยู่บนกายของนาง กลับทำให้เขาไม่ชอบใจถึงเพียงนี้
“พี่รอง ท่านมาพอดีเลย ข้ากำลังชวนพี่สะใภ้ไปล่าสัตว์ ในเทศกาลที่ใกล้จะถึงนี้”
“ไม่ได้!”
จ้างซือถง เผลอปฏิเสธด้วยน้ำเสียงอันดัง ก่อนจะมองภรรยาและน้องชาย รวมถึงพ่อบ้านและสาวใช้ของภรรยา ที่พากันมองเขาเป็นตาเดียว
“เอ่อ...คือข้าหมายถึง นางขี่ม้าไม่ได้”
จ้านซือถงรีบแก้ตัว ก่อนจะก้าวเข้าไปรวบเอวภรรยา ให้แนบกายแกร่ง ซึ่งทุกคนที่อยู่ภายในห้อง ถึงกับตาค้างกันเลยทีเดียว ด้วยคนเช่นจ้านซือถงนั้น ถูกขนานนามว่าบุรุษไร้ใจ
ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมา คนผู้นี้ไร้ซึ่งความรักเลยก็ว่าได้ เขาไม่เคยคบหาสตรีใด หรือพึงพอใจบุตรสาวบ้านใดเลยสักคน แม้จะมีหญิงสาวมากมาย ทอดสะพานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ทว่าทุกคนก็จำต้องล่าถอย เมื่อชายหนุ่มมุ่งอยู่แค่เพียงงานเท่านั้น
จนเมื่อสองปีก่อน เกิดเรื่องราวทำให้ ชายหนุ่มจำต้องแต่งหลี่ฉีอิงเจ้าจวน ในฐานะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว
ซึ่งทุกคนรู้กันเป็นอย่างดีว่า ชายหนุ่มทำเพียงเพื่อรักษาเกียรติของฝ่ายหญิงเท่านั้น มิได้มีใจชอบพอแต่อย่างใด
“ท่านพี่ ของแบบนี้มันฝึกฝนกันได้นะเจ้าคะ น้องสามบอกว่าจะสอนข้าขี่ม้าด้วยตนเอง มิรบกวนท่านพี่อย่างแน่นอน”
ฉีอิง เอ่ยกับสามี ด้วยน้ำเสียงร่าเริง จนทำให้คนฟัง อยากที่จะปิดปากนางเอาไว้เสีย ‘เจ้ามิพูด ก็ไม่มีผู้ใดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะฉีอิง’ ซือถงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ภายในใจ
“เช่นนั้นรึ น้องสามเอาเป็นว่าเรื่องนี้ เราค่อยคุยกันอีกครั้งก็แล้วกัน พี่สะใภ้ของเจ้าระดูยังไม่มา พี่ว่าอย่าเพิ่งเสี่ยงให้นางฝึกขี่ม้าจะดีกว่า”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยอย่างหน้าตาเฉย เรื่องระดูของสตรี ทำให้ฉีอิงถึงกับทำตาโต ส่วนเสี่ยวเจี้ยนได้แต่ก้มหน้านิ่ง ด้วยมิคิดว่าเจ้าของจวนจะเอ่ยเรื่องเช่นนี้ โดยไม่กระดากอายแม้แต่น้อย
“ห๊ะ! นะ...นี่หมายความว่า...” จ้านซือเถา มีอาการตกใจ ก่อนจะสบตากับพี่ชายสลับกับมองหน้าพี่สะใภ้
“ใช่...นางอาจมีหลานให้เจ้า”
ฉีอิงกำลังจะเอ่ยปากโต้ตอบ ทว่าสามีกลับคว้าขนมในจานมาป้อนนางหน้าตาเฉย ‘อะไรยังไม่เคยเข้าหอ จะมาท้องได้ยังไง บ้าไปแล้ว’ ฉีอิงได้แต่โว้ยวายอยู่ภายในใจ แต่ยังไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ เพราะสามีของนางทั้งขนมและชา จ่อปากนางอยู่ในตอนนี้
“อย่าได้ทำสามีเสียหน้า ภรรยาคนดี” จ้านซือถงกระซิบข้างหูภรรยา ด้วยน้ำเสียงกดดันคนฟังเป็นที่สุด
“ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักพี่รอง แล้วผู้ใดกันกล้าปล่อยข่าวลือ ว่าท่านพี่ทั้งสอง ยังมิเคยร่วมหมอนกันสักครั้ง”
จ้านซือเถาทุบกำปั้น ลงบนฝ่ามือของตน เขาและครอบครัว ได้ยินข่าวลือเรื่องพี่ชายคนรอง กับภรรยาที่แต่งงานกันมานาน ยังมิร่วมหอกันเลยสักครั้ง
“การสร้างลูก จำเป็นต้องทำเฉพาะยามค่ำคืน หรืออย่างไรกัน”
ฉีอิงแทบอยากจะกรีดร้อง เมื่อได้ยินคำพูดของสามี เขาไปกินดีหมีมาหรืออย่างไร วันนี้ถึงได้พูดจามากกว่าทุกวันเล่า
จ้านซือเถา มองหน้าพี่ชายกับพี่สะใภ้ สลับไปมาอีกครั้ง เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยสักนิด แต่จากท่าทางใส่ในหวงแหนของพี่ชาย ก็เป็นการยืนยันที่ดีในคำพูด
ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็น เวลาทั้งคู่ออกงาน หรืออยู่ร่วมกันต่อหน้าผู้อื่น พี่ชายของเขาหาได้ใส่ใจภรรยาสักนิด
ฉีอิงได้แต่ทำตาปริบ ๆ เพราะไม่ว่าตอนนี้นางเอ่ยสิ่งใดออกไป ก็ถือว่าเป็นการแก้ตัวอยู่ดี
หญิงสาวได้หันเข้าหาอกแกร่งของสามี นิ้วเรียวงามทำเพียงเขี่ยเสื้อของชายหนุ่มเล่นไปมา ไม่ใช่นางเก้อเขิน แต่นางอายเสียจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว
“เจ้าเชื่อข่าวลือไร้สาระพวกนั้น ตั้งแต่เมื่อใดกัน มีคนรักย่อมมีคนเกลียดชัง ข้อนี้เจ้าน่าจะรู้ดีนะน้องสาม”
‘ยังมิหยุดอีกนะ จ้านซือถง’ ฉีอิงคิดอยู่ในใจ ใบหน้างามแดงก่ำ ด้วยความรู้สึก ไม่พอใจทว่ามิอาจทำสิ่งใดได้
“ข้ามิได้หูเบาถึงปานนั้นพี่รอง ยิ่งได้เห็นพี่รองกับพี่สะใภ้รักกันดี ข้าก็เบาใจ ท่านพ่อกับท่านแม่ เป็นห่วงท่านพี่ทั้งสองมากนะขอรับ”
จ้านซือเถาเอ่ยยิ้ม ๆ เขาไม่เคยเห็นพี่ชายเป็นแบบนี้มาก่อน อันที่จริงการมาเยือนในวันนี้ จุดประสงค์ก็เพราะข่าวที่มีคนส่งไปนั่นเอง ว่าหลายเดือนมานี้ พี่ชายนั้นไปเรือนฉีอิงแทบทุกวัน แม้มิได้ค้างคืน ทว่าก็ใช้เวลาอยู่กับพี่สะใภ้ของเขาอยู่นาน
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทชีอัน องค์ชายเก้าพ่ะย่ะค่ะ คารวะท่านอ๋อง” “เชิญใต้เท้าตามสบาย” “ขอบพระทัย” ใต้เท้ากวงเดินขึ้นมานั่งร่วมโต๊ะกับคนทั้งสี่ ก่อนจะเหลอบมองไปที่สตรีเพียงหนึ่งเดียว “ไม่คิดว่าพระชายาจะอยู่ด้วย” ชายสูงวัยพูดด้วยน้ำเสียงติดกระด้าง แม้ด้วยตำแหน่งของเขาจะน้อยกว่าหญิงสาว แต่หากนับตามอาวุโสและอำนาจในมือ เขาเหนือกว่านางในทุกด้านอยู่ดี “ข้าเพิ่งรู้ตัว ว่าการอยู่ในบ้านตนเอง ต้องรายงานคนนอกด้วย เช่นนั้นข้าต้องขออภัย ที่อาจหาญนั่งอยู่กับสามีและพี่ชายตนเองเยี่ยงนี้” หญิงสาวช้อนสายตามอง พร้อมกับที่เรียวปากอิ่มบิดขึ้นเล็กน้อย นางหรือจะไม่คุ้นชินกับสายตาและท่าทางยโสของชนรุ่นเก่า ที่คิดว่าตนเองเกิดก่อนและมากประสบการณ์ อายุในเพียงเลขห้า เพิ่งครึ่งคนเท่านั้น คนเก่งจริงจะรู้ประเมินคู่ต่อสู้ ไม่ใช่เบ่งกล้ามอันมโหฬารใส่ท่าเดียว “ใต้เท้ากวงมีสิ่งใด โปรดว่ามาเถิด” สวี่ฟงเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงคงเดิม ทว่าแววตานั้นหาได้เป็นเช่นดวงตาที่ส่งผ่านออกมาไม่ “เอ่อ...” ใต
“ข้าพลาดสิ่งใดเกี่ยวกับเจ้าบ้างนะ จ้าวหลันถิง” ร่างกำยำลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง เรือนร่างไร้อาภรณ์หากสตรีใดได้ยล คงยากจะถอนสายตาออกจากความสมบูรณ์แบบนั้นได้ ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนี้มันมีผู้ครอบครองแล้ว และเจ้าของดุราวนางเสือ สวี่ฟงก้มลงเก็บชุดของภรรยา เดินหายไปยังห้องอาบน้ำ เขาไม่ต้องการให้ใครได้แตะต้องมัน ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ในเมื่อนางเป็นของเขาแล้ว ยามบ่ายอ๋องหนุ่มพร้อมแขกทั้งสอง กำลังนั่งจิบชากันที่ศาลาชมบัว ซึ่งพวกเขายังมีเวลาอีกครึ่งเดือน สำหรับออกเดินทางสู่เมืองหลวง ส่วนเรือนของจ้าวหลันถิงนั้น อ๋องหนุ่มได้สั่งการให้เรียกช่างมาปรับปรุงต่อเติม ให้กว้างขวางกว่าเดิมอีกเท่าตัว“ข้าอยากให้เจ้าพาน้องหญิงไปด้วย อย่างไรเสียนางก็เป็นสายเลือดชีอัน ตั้งแต่นางแต่งมาที่หยวน ก็ยังไม่เคยเข้าเฝ้าเลยมิใช่รึ! ถือเสียว่าเป็นการท่องเที่ยวหลังแต่งงานของพวกเจ้าด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ”สองสหายหันสบตากัน ก่อนจะหันกลับมาจ้องเจ้าของบ้าน ว่าพวกเขาหูไม่ได้เพี้ยนไป คนเยี่ยงสวี่ฟงน่ะหรือ! ที่จะยินยอมให้สตรีติดตามเดินทางไกล แค่เข้าใกล้ยังไม่
“เจ้าเมาแล้วนอนเถอะ” “สามี...ข้าร้อนยิ่งนัก” “เจ้ากำลังบีบบังคับข้า” “ข้ามิได้พูดเล่นร้อนเหลือเกิน อาบน้ำให้ข้าที” น้ำเสียงอ้อแอยังดังชิดลำคอของชายหนุ่ม ท่อนแขนกลมกลึงตรึงร่างนั้นให้แนบอยู่กับความอวบอิ่ม ที่เขาหวงแหนยามมีคนลอบมอง ใช่ว่านางไร้ศักดิ์ศรีจนคิดใช้ร่างกายมัดใจสามีแต่ตรงกันข้ามนางรักในศักดิ์ศรียิ่งนัก จึงจำเป็นที่จะต้องตรีตราและประกาศความเป็นภรรยา ให้สตรีอื่นรู้จุดยืนของตนเอง นางจะไม่ยอมเป็นเมียที่ถูกมองข้ามราวอากาศธาตุอีกต่อไป “อื้อ...” หญิงสาวครางเบาๆ เพื่อเพิ่มความปรารถนาให้แก่สามี เมื่อสะโพกงามแสร้งยกเบียดกับแก่นกายของเขา สวี่ฟงข่มกลั้นความต้องการอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะพ่ายแพ้เมื่อความเจ็บร้าว ที่เขาเคยควบมันมาได้เป็นอย่างดีตลอดหลายปี กลับไม่สามารถต้านทานคนใต้ร่างได้ ไม่มีคำพูดใดจากชายหนุ่ม แต่เป็นการกระทำที่หญิงสาวต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น การปรนเปรอของสามีทำให้จ้าวหลันถิง แทบจะลืมเลือน ว่านี้อาจเป็นเพียงฝันชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเขาอาจตื่นขึ้นยังอีกโลกในสักวันก็เป็นได้ เสียงคร
จ้าวหลันถิงพยายามเป็นที่สุด กับการมองทุกคนให้ไม่บิดเบี้ยว นางมั่นใจว่าตอนใช้ชีวิตในอีกโลก นางไม่เคยล้มให้กับสุรารสแรงตัวใดเลย อ๋องหนุ่มที่ยากจะมีรอยยิ้มให้ใครเห็น ตอนนี้มุมปากกลับเหยียดกระตุก เมื่อเห็นอาการของภรรยา ความรั้นของนางกำลังออกฤทธิ์แล้วสินะ! “จะกลับเรือนหรือยัง” “ข้ากลับตอนไหนก็ได้ ไม่ลำบากท่านหรอก” หญิงสาวเริ่มหันหาญาติผู้พี่ ที่ตอนนี้สภาพแทบไม่ต่างกัน สองพี่น้องสบตาแล้วหัวเราะเสียงดัง ด้วยพวกเขาไม่เคยพบเจอสุราที่นุ่มลึก ทว่าเมามายง่ายอะไรขนาดนี้มาก่อน “ข้าลืมบอกเจ้าไป ว่าอย่าได้หลงในรสสุราของสกุลสวี่” องค์ชายเก้าเอ่ยกับองค์รัชทายาทชีอัน ที่ตอนนี้มีใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำหวานราวอิสตรี รอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะนั้น เป็นการยืนยันว่าองค์รัชทายาทชีอันเมามายอย่างหนัก “ข้ารึ! จะพ่ายแค่สุราต่างแคว้น เจ้าทำเหมือนข้าไม่เคยเดิ่มสุราจากแคว้นของเจ้า” คำพูดราวลิ้นพันกันขององค์รัชทายาทชีอัน เรียกรอยยิ้มจากแขกในงาน ที่ตอนนี้ก็มีสภาพไม่ค่อยต่างกันเท่าใดนัก คุณหนูหลายสกุลที่ไม่เคยลิ้มลองสุราสกุลส
“เป็นช่างที่ข้าเองก็ไม่รู้จักเช่นกัน ข้าสั่งผ่านผู้อื่นเช่นกัน” จ้าวหลันถิงคลี่ยิ้มละมุน นางคิดไว้อยู่แล้วว่าเสื้อคลุมในแบบประยุคของนาง จะทำให้ร้านของนางได้รับเงินเพิ่มอีกมากทีเดียว ชุดที่นางตัดเย็บนั้น ล้วนเหมาะต่อผู้สวมใส่ ไม่ใช่ว่าจะหาได้เหมือนร้านทั่วไป ความสนใจที่มุ่งตรงไปเพียงภรรยาเจ้าของจวน ทำให้หลี่เหนียงแทบอยากจะเดินไปกระชากร่างนั้น มาตบสักหลายฉาด ไม่เคยมีใครทำให้นางอับอายได้ท่านี้มาก่อนเลยสักครั้ง “ไม่คิดว่าเพื่อชุดที่งดงาม พระชายาถึงกับขายของพระราชทานซื้อหามา...” หลี่เหนียงเอ่ยขึ้น ก่อนจะมีเสียงอื้ออึงของคนในงานติดตามมา ทุกสายตามองไปยังพระชายาสวี่ ไท้เฟยเลือกที่จะลุกออกจากงานไป ด้วยสภาพเยี่ยงคนกำลังจะสิ้นสติ ต่างจากหลี่เหนียงที่มั่นใจยิ่งนัก ว่าเรื่องนี้ทำให้นางเป็นผู้กำชัดอย่างแท้จริง “วันนี้พระชายาร่วมแสดงต้อนรับองค์รัชทายาทกับองค์ชายเก้า ย่อมต้องใช้เครื่องประดับที่เหมาะสม ส่วนปิ่นอันนี้นางฝากข้าไว้ก่อนหน้าแล้ว” กล่องไม้ลวดลายงดงาม ถูกเปิดออกและวางลงบนโต๊ะ ทำให้คนที่เคยมาร่วมงานแต่งของสวี่อ๋อง พูดเป็น
“ท่านอ๋อง นางรำเพียงคนเดียวท่านจะหวงแหนไปไย” องครักษ์ของสวี่อ๋องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อขุนนางผู้นั้นหารู้ที่ต่ำที่สูง ต่อให้คนตรงหน้ามิใช่พระชายา ก็ไม่เคยมีใครทำเรื่องเช่นนี้ในจวนสวี่เลยสักครั้ง “ที่นี่จวนของข้า มิใช่หอนางโลมที่ท่านจะทำเรื่องหยามเกียรติผู้ใดก็ได้ เห็นแก่ท่านเป็นขุนนางที่เพิ่งย้ายมา ข้าจะให้โอกาสท่านได้สำนึกผิด เก็บของนั้นไปเสีย” สวี่อ๋องเอ่ยเสียงกร้าว ซึ่งแขกในงานต่างรู้จักนิสัยของสวี่อ๋องดี นางรำที่จะเข้ามาถวายการแสดงต่อหน้าแขกชั้นสูง ล้วนมาจากสำนักระบำหยก ที่ขายเพียงการแสดงหาใช่ร่างกาย เช่นนางรำในหอนางโลม ขุนนางผู้นั้นเดินออกมาหยุดตรงหน้านางรำ ที่ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคาด แววตานั้นของนางทั้งหยิ่งทะนงและเย้ายวน หมับ! ตึก! ก่อนที่มือสกปรกนั้นจะทันได้แตะต้องกายของหญิงสาว มือหยาบคว้ากำข้อมือนั้นอย่างแรง พร้อมวาดเท้าเตะเข้าที่ข้อพับจนอีกฝ่ายทรุดลงเขากระแทกพื้น “อ๊าก!! ท่านอ๋อง เพื่อนางรำชั้นต่ำพวกนี้ ท่านไยกล้าลงมือต่อข้าด้วย” ขุนนางคนอื่นๆ ต่างใบหน้าซีดเผือด มีใครบ้างไม่รู้กฎของที่นี่ รวมถึงสำนักระ