ศศิกานต์ส่งสติ๊กเกอร์หาสุปรีย์ทุกวัน แต่ไม่ได้พิมพ์ข้อความอะไรเป็นพิเศษ และเธอก็ตอบข้อความหรือส่งสติ๊กเกอร์กลับมาทุกครั้ง ทำให้อีกคนใจชื้น ว่าอย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้เป็นคนที่พยายามอยู่คนเดียวในความสัมพันธ์ครั้งนี้ คืนนี้ร่างบางถ่ายคลิปข้อเท้าที่พันผ้าไว้แล้วแกะผ้าออก แล้วส่งให้คนตาคมดูเพื่อแสดงว่าเธอหายแล้ว เธอส่งสติ๊กเกอร์ดีใจกลับมา
<ทำอะไรอยู่> สุปรีย์ส่งข้อความไป
<ศศิเช็คข่าวในเน็ต ตั้งแต่เราไลฟ์วันนั้น กระแสที่ว่าเราเจ้าชู้ก็ลดลง>
<ทั้งที่จริง คนที่เจ้าชู้คือปรีย์> พิมพ์พลางส่งสติ๊กเกอร์หน้าเจ้าเล่ห์ให้อีกฝ่าย ส่วนในมือถือสุปรีย์ยังเต็มไปด้วยข้อความหวานกับคนหน้าตาดีเหมือนเดิม
<ไม่ว่าจะยังไง แค่อย่าทำให้งานเสียก็พอ> ศศิกานต์เตือนคนสนิท
<ศศิไปบอกแม่เธอเถอะ เล่นกับข่าวซะขนาดนั้น ถ้าเธอโดนแฟนๆ เกลียด เราไม่รู้ด้วยนะ>
พวกเขาเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่คนตาคมจะนึกขยันอยากซ้อมละคร เพราะตอนนี้ชีวิตเธอขึ้นอยู่กับการแสดง
<เออ ปรีย์ เราว่าจะชวนไปซ้อมบทฉากต่อไป ไปเจอกันบนดาดฟ้าไหม>
<ไปสิ ว่างพอดีเลย> ปิดหน้าจอมือถือแล้วเดินไปหาเสื้อคลุมมาบังไหล่มน
ชิงช้าตัวเก่าโยกไปมาส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เมื่อต้องรับน้ำหนักสองสาวพร้อมกัน อากาศเย็นจนทำให้ต้องกระชับเสื้อ เสียงรถราวิ่งขวักไขว่ด้านล่าง บอกว่ายามราตรีของเมืองหลวงกว่าจะหมดลงอีกนาน
ทั้งคู่ทำสมาธิก่อนเริ่มเอ่ยบทของตน
"อากาศหนาว เรามานอนกอดกันไหม ผู้หญิงด้วยกันไม่เป็นไรใช่ไหมคะ" ศศิกานต์รับบทผู้กองฉัตรชยาเอ่ยเสียงเรียบ ขัดกับใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ร่างบางเข้าไปใกล้อีกฝ่าย จากนั้นก็หยิบน้ำขึ้นมาดื่มตามบท รดาทำน้ำหกเลอะ ผู้กองสาวเอื้อมมือมาเช็ดปากให้ พวกเขาสบตากัน ในป่ามีกันแค่สองคน ราวกับมีแรงดึงดูดให้ใบหน้าเข้าหากัน ปากอ่อนนุ่มสีชมพูประกบกันอย่างร้อนผ่าว กลิ่นลิปสติกรสผลไม้จากปากคนตัวบางส่งผ่านไปยังคนตาคม ทั้งคู่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังก้อง
"ระ..รดาไม่อยากให้ผู้กองเข้าใจผิด มันก็แค่...มันก็แค่"
แทนที่จะปล่อยให้เธอจบประโยค เขาประกบปากนุ่มนั่นอีกครั้ง แล้วอีกฝ่ายก็จูบตอบ เขาประคองใบหน้าเธอเบาๆ ไม่อยากให้เธอถอยออกไปไหน
"ฉัตรชอบคุณรดา"
"รดารู้เรื่องของผู้กอง คุณเจ้าชู้" บทสนทนานั้นแทงใจดำสุปรีย์ "ไม่นานผู้กองจะเจอคนใหม่ที่ดึงดูดใจมากกว่ารดา"
"แต่ฉัตรไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้ รดาทำให้ฉัตรรู้สึกพิเศษกว่าคนอื่น ทำให้ฉัตรเชื่อว่าเราสามารถไว้ใจใครสักคนได้"
พอศศิกานต์เอ่ยบทตนเองจบ สุปรีย์ก็ร้องไห้ออกมา นั่นเป็นเรื่องนอกบท บางครั้งนักแสดงก็เข้าถึงอารมณ์แบบนี้ได้ คนร่างบางร้องอยู่นานจนคนตาคมเข้าไปกอดปลอบหล่อน
"ทำ..ทำไม" เขาถามอย่างไม่มั่นใจ
"ปรีย์ยังไม่เคยเจอใครที่ทำให้อยากหยุดกับคนๆ เดียวได้ และในที่สุดปรีย์ก็ต้องเล่นเกมส์ไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ"
ศศิกานต์ถอนหายใจ เธอเจ็บเมื่อเห็นสุปรีย์เจ็บ เพราะเธอแคร์ผู้หญิงคนนี้มากกว่าใคร
"เรามาพยายามด้วยกันไหม ทำให้ปรีย์เลิกเจ้าชู้เสียที"
หญิงสาวทั้งสองสบตากัน ต่างพบความจริงใจในตัวอีกคน ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำดีให้กันขนาดนี้เพราะเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน แต่เธอสองคนก็ทำให้อีกฝ่ายอย่างเต็มใจ
"ช่วยทำให้ปรีย์ขาดศศิไม่ได้หน่อยได้ไหม" เธอเว้าวอนด้วยน้ำตาเอ่อ
"ตกลง" คนตาคมทำแก้มป่อง คิดแผนการ "งั้นเรามาตั้งกฎกัน 3 ข้อ เพื่อป้องกันช่องทางที่ปรีย์เล่นเกมส์ได้ง่ายที่สุด
“ข้อแรกบล็อกคนคุยทุกคน ไม่ว่าเขาจะหล่อแค่ไหน แซ่บเบอร์ไหนก็ตาม ข้อสองไลน์หาศศิคนเดียว อ่ะ เว้นผู้จัดการและครอบครัว และข้อสุดท้ายมาเล่นเกมส์ใครเป็นฝ่ายยิ้มก่อนแพ้" ศศิกานต์นึกย้อนกลับไปตอนที่ธนูสอนเธอ ให้เข้าหาอีกฝ่ายบ่อยครั้ง และครั้งนี้เธอก็ได้ช่วยสุปรีย์ พร้อมกับหาโอกาสให้ตัวเองด้วย
"อะไรอะคะ ข้อสุดท้าย" คนร่างบางถาม อีกฝ่ายอมยิ้มทำหน้ากรุ่มกริ่ม
"ศศิมองไม่เห็นอะไรเลย"
"ทำไมอ่ะ" ถามด้วยความไม่เข้าใจ
"ปรีย์ส่องประกายจนแสบตา"
สุปรีย์เกือบยกมุมปาก แต่มุกตลกนั้นถูกหลบได้ ยังยิงไม่เข้าเป้า เธอจึงปล่อยมุกตัวเองบ้าง
"ตาปรีย์นะ ในไลน์ทำไมอ่านแล้วปรีย์ไม่ค่อยตอบรู้ไหม"
"ไม่รู้ ทำไม"
"ไม่ว่างกำลังคิดถึงศศิอยู่"
คนถูกหยอดยิ้มหวาน ศศิกานต์แพ้!
เวลาผ่านไปค่อนคืนแล้ว และพรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า พวกเขาเริ่มรู้ตัวว่าควรไปพักผ่อนได้แล้ว
"ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนนะ"
"ขอบคุณที่ปรีย์เป็นปรีย์นะ"
บอกลาแสนหวาน ทั้งคู่แยกย้ายกันไปนอน แต่สองสาวตาสว่างจนนอนไม่หลับ ห้ามมือซนไม่ได้ ต้องพิมพ์ข้อความหาอีกฝ่าย
<ถามหน่อยสิ> สุปรีย์เริ่มบทสนทนา
<ว่า>
<ชอบผู้หญิงเหรอ เราไม่เคยเห็นศศิจะมีใครนอกจากเราและคุณเกล>
คนตาคมยิ้มตาเป็นประกาย และสารภาพเธอบางส่วน
<ศศิชอบคนๆ เดียวมาหลายปีแล้ว>
<อิจฉาคนๆ นั้นจัง>
ศศิกานต์อ่านแต่ไม่ตอบ เธออมยิ้มอยู่คนเดียว
<ทำไมไม่จีบเขาละ ศศิออกจะสวย>
ร่างบางถามอีก เธอเห็นในวงการของนักล่า แรห์ไอเท็มจะมีชัยเสมอ
<เราจะไปนอนแล้วนะ ฝันดีนะคนดีของเรา>
<ทำไมต้องตัดบทด้วย ไม่อยากรู้เรื่องของเราเหรอ>
ศศิกานต์ทำแก้มป่อง นึกว่าจะถามเรื่องอะไรดี
<ทำไมปรีย์เจ้าชู้ ไม่ใช่แค่นิสัยธรรมดาๆแน่เลย>
<เราอยากรู้ว่าคนๆ หนึ่งจะสนุกกับเกมรักได้แค่ไหน เลยลองเลียนแบบเขา จนตอนนี้ติดวังวนในเกมของตัวเองอ่ะ ทุกครั้งที่เราเล่นเกม เราจะต้องดูให้ออกว่าอีกฝ่ายชอบแบบไหน แล้วเราก็สร้างตัวตนปลอมๆ ขึ้นมาให้ตรงใจเขา จากนั้นเมื่อเขาตกหลุมรัก ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เราเป็นฝ่ายชนะ ส่วนใหญ่เราจะเลิกติดต่อไป จากนั้นก็หาคนเล่นเกมคนใหม่ ทุกครั้งที่เจออีกฝ่ายที่เข้าถึงยาก ยิ่งท้าทาย เราก็จะยิ่งภูมิใจที่ได้พิชิตใจเขา พอถึงตอนนั้น เราก็หมดความสนใจพอดี แต่กับศศิไม่เหมือนกัน ศศิเป็นลูกแกะน้อยที่ดูสนใจเรา จนเราไม่ได้ตั้งการ์ด แล้วศศิยังอยากช่วยเรา นั่นทำให้เราไม่นับว่าศศิเป็นเกมอีกต่อไป>
<โอเค สรุปว่าเราอยู่เหนือเกมของปรีย์นะ เออ... ถ้า...ถ้า...ถามเล่นๆ นะ ถ้าเรารักกันจริงๆ ขึ้นมาจะทำยังไง>
ร่างบางคิดชั่วครู่ ไม่ได้ตั้งใจจะเล่นเกมเหมือนปกติ
<ก็ดีสิ>
<เราเองก็ไม่ติดนะ> ศศิกานต์ห้ามนิ้วไม่ทัน
<ถ้าอย่างนั้น ลองบอกรักได้ไหม จะได้สมจริง> สุปรีย์หยอดเพื่อล่าเหยื่อตามนิสัยเดิม
<จงบอกรักโดยไม่เอ่ยคำว่ารัก> คนตาคมเอ่ยก่อนเห็นเป็นเรื่องสนุกๆ อีกครั้ง
<เป็นห่วงนะคะ ฝันดีนะคะ คนดีของเรา> ร่างบางเอ่ยแทบไม่ต้องคิด เพราะคุยทำนองนี้บ่อย
<ไม่ต้องขยับแล้วนะ เพราะใจเราตรงกันแล้ว> ศศิกานต์เอ่ยด้วยอาการขวยเขิน ยิ้มสวยที่สุดแต่ไม่มีใครได้เห็นในยามนี้
"อ๊ายยย" สุปรีย์กรี๊ดคนเดียว ส่งสติ๊กเกอร์ใจละลายให้ศศิกานต์
ต่างคนต่างหลงใหลในเสน่ห์ของอีกฝ่าย หากจะเล่นเกมกับความรัก ควรทำใจตั้งแต่แรกว่าอาจไม่ชนะ แถมยังอาจเป็นฝ่ายสูญเสียอีก แต่ผลที่ได้ก็คุ้มที่จะลองเสี่ยงดู คนส่วนใหญ่เลยเล่นในเกมนี้
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว