เพราะศศิกานต์เป็นคนเคยอ้วนจึงต้องออกกำลังกายทุกวันเพื่อรักษาหุ่นเอาไว้ เธอสวมรองเท้าปอนๆ พร้อมกับเสื้อกล้ามครอป ทับด้วยเสื้อวอร์มและกางเกงขาสั้น วิ่งไปตามถนนแถวบ้านเธอ
ในเวลารุ่งเช้ายังแทบไม่มีคนเดินออกมาริมถนน เกลทราบดีกว่าศศิกานต์จะมาในเวลาไหน จึงตั้งใจใส่เสื้อกล้าม ครอปสีฉูดฉาดเช่นกัน กางเกงสั้นโชว์ขาอ่อน วิ่งตามแรร์ไอเท็มแห่งวงการ LGBTQ
ศศิกานต์โชว์หน้าสวยและหุ่นแซ่บ แถมดวงตาคู่นั้นยังสะกดคนไว้อยู่หมัด แค่มองก็คิดต่อไม่ออกแล้วว่าจะต้องพูดอะไร
เกลจำวิธีที่เธอเห็นในบทละครของเพื่อนนักแสดงได้ แค่แต่งตัวยั่วยวน ก็ทำให้คนที่สนใจมองเห็นเธอในสายตา เธอสะบัดผมสั้นเบาๆ เผยให้เห็นเหงื่อเม็ดโต เพื่อเรียกความเซ็กซี่ได้อยู่หมัด
"อากาศร้อนนะคะ ไปหาน้ำเย็นๆ ดื่มกันไหม" เกลทำท่ายั่วยวน และอีกฝ่ายก็เข้าใจท่าทีแบบนั้น แต่เธอแค่ยิ้มตามมารยาท
"คุณเกลกลับก่อนได้เลยนะคะ ศศิจะคูลดาวน์ก่อน"
นักแสดงลูกครึ่งไม่พูดตอบ แต่ดันหน้าอกหน้าใจให้เห็นชัดขึ้น คนตาคมมองแวบเดียวเพื่อเช็ค
แค่แวบเดียวเท่านั้นเอง
ศศิกานต์ปลอบตัวเอง เกลมองไม่เห็น จึงเอ่ยออกมาด้วยความขัดใจ
"ปรีย์มีอะไรที่เกลไม่มีคะ ในวงการเขารู้กันหมด ว่าเธอเจ้าชู้จะตาย คุณศศิหยุดเธอไม่ได้หรอก"
"นั่นเป็นเรื่องของเราสองคน..." ปากหยุดคำว่าคนอื่นไม่เกี่ยวเอาไว้ แต่ได้ผลไม่ต่างกับได้พูดออกไป ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นหน้าแดงขัดกับผิวสีขาวละเอียด
"ตอบมาก่อนสิคะ ว่าปรีย์มีอะไรที่เกลไม่มี ไม่งั้นวันนี้เกลไม่ไปจริงๆ ด้วย"
เธอเค้นคอ หากเป็นแฟน ระดับความกดดันจะสูงกว่านี้
"เธอสนุก มีเสน่ห์ น่ารัก เจิดจ้า แค่นึกถึงก็ยิ้มได้แล้ว"
เกลมองดวงตาคมนั้น ส่องประกายเมื่อนึกถึงอีกฝ่าย ทำให้เธอแทบคลั่ง
"กรี๊ดดดด วันหนึ่งคุณศศิจะต้องหันมาชอบเกล คอยดูนะคะ ถ้าจำบทสัมภาษณ์ได้ เกลเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสารวัยรุ่นวัยใส ว่าไม่มีอะไรที่เกลทำไม่ได้"
สาวลูกครึ่งกลับไปซ้อมหน้ากระจก บอกตัวเองให้สดใส สนุกสนาน เธอทักทายกระจกเป็นร้อยๆ รอบ
เมื่อเริ่มบ่าย คนร่างสูงมาถึงกองถ่าย และทั้งๆ ที่เกลไม่มีคิววันนี้ แต่ก็ยังมากอง ขอให้ซีช่วยเปลี่ยนลุค ถักเปียรอบหัว ปล่อยผมด้านหลัง ดูเหมือนเจ้าหญิงแสนอ่อนหวาน เธอเดินไปอย่างมั่นใจ ซีคือมือหนึ่งในวงการ วางใจได้
"สวัสดีค่าาาา" ทำเสียงลากยาวเพื่อเรียกความสดใสให้
ตัวเอง
"สวัสดีค่ะ คุณเกล" ศศิกานต์ไม่สนใจเธอเหมือนเดิม หันไปท่องบทในมือ
เธอพยายามอย่างหนักแล้ว เกลโกรธจัด ขว้างรองเท้าส้นสูงใส่หลังหญิงสาว น้ำตาไหลอาบแก้ม ก่อนวิ่งหายไป
คนในกองมองตามละครชีวิต แล้วหันไปซุบซิบกัน
จนกระทั่งค่ำ ศศิกานต์เพิ่งมีเวลาเช็คโทรศัพท์ แม่ไลน์หาเธอหลายสิบข้อความ แต่เจ้าตัวไม่ได้อ่านกลับโทรหาโดยตรง
"ค่ะแม่" เธอถามเลิกคิ้ว
"ไปหาคุณเกลเดี๋ยวนี้เลยนะ ลูกไปทำอะไร ทำไมเธอถึงเสียใจขนาดนั้น"
"แล้วทำไมหนูต้อง...ก็ได้ค่ะ เธออยู่ไหนคะ" ศศิกานต์ถามอย่างเสียไม่ได้ อย่างไรก็ต้องแสดงละครด้วยกัน จะให้ไม่สนใจเลยก็ไม่ได้
ศศิกานต์เดินทางมาถึงร้านคาราโอเกะ เสียงร้องเพลงผิดคีย์ดังออกมาจากร้าน คนตัวสูงสงสัยว่า
ใครกันนะที่ใจกล้าร้องเพลงเสียงดังขนาดนี้
ยิ่งเดินเข้ามายิ่งเห็นว่าคนที่ร้องเพลงอย่างเสียสติคือเกลนั่นเอง ที่บัดนี้ลิปสติกสีแดงถูกมือเช็ดจนเปื้อนปาก ผมถักเปียถูกแกะออกจนหมด
"นี่คุณเกลเมาเหรอคะ" ถอนหายใจแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
"ม่ายยย เกลไม่เคยเมา เกลไม่ดื่มค่ะ"
"แต่กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนะคะ"
ลูกค้าและพนักงานในร้านเห็นศศิกานต์ก็จำเธอได้ หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปกันใหญ่ สองดาราสาวเพิ่งเป็นข่าวไม่นาน ยิ่งทำให้คนสนใจเรื่องพวกเธอ
"เรากลับกันเถอะค่ะ แม่บอกให้มารับคุณเกล"
"ถ้าแม่ไม่บอก ก็ไม่มาเหรอค่าาาา ฮือ...ฮือ" ลากเสียงแล้วร้องไห้
"สนศศิอะไรเบอร์นั้น ศศิไม่เคยทำอะไรให้คุณเกลชอบเลยนะคะ"
"แค่เป็นคุณศศิ เกลก็ชอบแล้ว" ทำปากจู๋เหมือนจะจูบอีกฝ่าย แต่โดนหันหน้าหนี "เป็นเกลไม่ได้เหรอคะ"
เกลใช้โอกาสที่เขาก้มลงพยุง ดันหน้าเข้าไปจูบคนตาคมอีกครั้ง แต่โดนผลักออกมา ไม่รู้สึกเป็นจูบที่แสนพิเศษราวกับผีเสื้อบินในท้องเหมือนที่จูบกับสุปรีย์
คลิปนี้ถูกเผยแพร่จนดังไปทั่วโซเชียล
คนร่างบางนั่งดูคลิป น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะส่งข้อความไปกี่ข้อความก็ไม่อ่าน ศศิกานต์เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องนอนตัวเอง ก่อนดึงธนูไปคุยบนดาดฟ้าทาวน์เฮ้าส์
"ศศิไม่เข้าใจปรีย์เลย ธนู" เธอระบายด้วยความอัดอั้นกับเพื่อนร่วมบ้าน
"แบบนี้นะ ศศิฟังธนูก่อน" เขายกมือขึ้นให้อีกฝ่ายหยุดเดินไปเดินมา "ตอนนี้ปรีย์คงกำลังจิตตก เพราะศศิไปจูบกับคนอื่น ทั้งที่เคยหวานไว้กับเจ้าตัวขนาดนั้นแล้ว"
"นี่ธนูเคยเห็น..." คนตาคมเขินอาย อีกฝ่ายยิ้มยอมรับเพราะเขาได้ยินจากดาดฟ้า "คิดอย่างนั้นเหรอ ก็ดีนะ ที่เขารู้สึกกับเราแบบนั้น"
"เธอต้องเคลียร์กันนะ ไม่ว่าจะโกรธหรือผิดหวังแค่ไหน เพราะแฟนๆ จะดูออกว่าพวกเธอฝืนทำดีต่อกัน"
"แต่คลิปก็ชัดเจนแล้วนะ ว่าเราถูกจูบ แล้วเราก็ผลักเธอ
ออกด้วย ปรีย์ไม่มีเหตุผลเลย"
"ความหึงพอมันเกิดขึ้นแล้ว ก็หน้ามืดตามัวเหมือนกันหมด อย่าคิดเรื่องอีโก้ ให้คิดมากๆ ว่ากองต้องดำเนินต่อไปเพราะเธอทั้งสองคน"
เช้าอีกวัน สุปรีย์ออกมาจากบ้านพักก่อน แต่มาถึงทีหลังศศิกานต์ ก่อนคนร่างบางจะถึงคิวแต่งหน้า คนตาคมก็ดึงเธอเข้ามานั่งในรถติดฟิล์มมืด ประจันหน้ากัน
"ไม่งอนได้ไหม"
อีกฝ่ายเงียบไม่ตอบคำถาม
"ไม่มีอะไรจริงๆ นะ"
"รู้แล้วว่าปรีย์ไม่มีสิทธิโกรธ ศศิแค่มาช่วยปรีย์เฉยๆ" สุปรีย์เอ่ย ส่วนศศิกานต์ทำแก้มป่อง
"งอนแล้วนะ พูดแบบนี้" คนร่างสูงตัดพ้อ
"ไปแล้ว" เตรียมเปิดประตูรถ ไม่สนใจเพราะกำลังมีอารมณ์
"เดี๋ยวก่อน แต่เขาดึงเราไปจูบ เราผิดอะไร" คนตาคมถาม จ้องไปยังดวงตาของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง รอคอยคำตอบ
"ก็.." เงียบแทนคำตอบอีกครั้ง
"ก็อะไร" บีบแก้มคนร่างบางจนเธอทำปากจู๋ อดที่จะหัวเราะเองไม่ได้
"ก็คนมันหึง"
ทั้งสองคนถอนหายใจที่มีคนปากตรงกับใจ
"น่ารัก" ไม่พูดเปล่า แต่ศศิกานต์จุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากทีหนึ่ง "งั้นดีกันแล้วนะ"
"ก็ได้ค่ะ ไหนๆ เราก็อยู่กับดวงใจของดวงจันทร์นี่นา
ขนาดดวงจันทร์ยังยอมให้เป็นที่รักให้ แล้วปรีย์เป็นใคร จะไปต่อต้านศศิได้"
ศศิกานต์แอบใจเต้นกับความหมายลึกซึ้งที่โดนเรียกแทนชื่อจริงของเธอ
สุปรีย์เป็นนักล่าตัวจริง เธอใส่ใจกับเหยื่อ และเอ่ยคำหวาน จนทำให้แทบจะต้านทานไม่ไหว ศศิเองก็ติดอยู่ในวังวนเกมส์นี้สินะ เธอบอกกับตัวเอง
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว