LOGINพวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด
"ใครก่อนคะ"
"ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว
"ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน"
ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น
"แล้วจะต้องทำอย่างไร"
"ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง
"อ้าว ทำไมแบบนั้น"
"ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ"
"อ่อ เข้าใจล่ะ"
ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย
“ผมอยากรู้อีกเรื่อง”
คำถามนี้คาใจเขามาตลอด
“อะไรคะ”
“ทำอย่างไรจะเพิ่มยอดขายได้โดยไม่ต้องขึ้นราคาอาหารมากจนเกินไป”
“พนักงานจะช่วยคุณได้ อันดับแรกเพราะการบริการที่ดีจะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ สองพนักงานแนะนำสินค้าได้ อาจเป็นสินค้าที่คุณมั่นใจว่าอร่อยแต่ราคาแพง และสามการที่ลูกค้าไม่ลาออกและสมัครใหม่บ่อยเกินไป ทำให้ประหยัดเงินได้ด้วยค่ะ การฝึกสอนและการให้สวัสดิการที่ดีจะทำให้คุณมีจุดแข็งด้านพนักงาน”
"ต่อไป ใครคะ" หมอดูผายมือออกมา เมื่อเห็นธนูเงียบและทำสีหน้าพอใจ
"พี่ซีจ้า" ช่างแต่งหน้ากิตติมศักดิ์ยกมือขึ้น
"อยากถามเรื่องอะไร"
"พี่จะมีแฟนกับเขาเมื่อไหร่"
"เมื่อเลิกเข้าแก๊งค์กับเพื่อนสาวสอง"
"ทำไมอ่ะ" อ้าปากค้าง ที่หมอดูรู้ขนาดนั้น
"ลูกแก้วบอกว่า เวลาพี่เข้าแก๊งค์แล้วเมาท์กัน ผู้ชายกลัว
ค่ะ เขาไม่กล้าเข้าหาคนปากจัด"
ซีพยักหน้า แล้วถามคำถามต่อไป
"แล้วพี่จะต้องเป็นช่างแต่งหน้าตลอดไปไหม ไม่ใช่ว่ารังเกียจงานนี้นะ แต่พี่ก็อยากพัฒนาด้วย"
"งั้นขอถามกลับ พี่ทำเหมือนเดิมทุกวันไหม"
"เหมือนเดิมค่ะ" ซีงงกับคำถามนั้น
"แล้วจะหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างได้ยังไง พี่ต้องคิดว่าจะเบนเข็มทิศจะไปทางไหน แล้วก็เดินไปทางนั้น เช่น ถ้าอยากสอนแต่งหน้าก็สอน แล้วเข็มทิศจะเบนไปทางอื่น ไม่ใช่ทำแบบเดิมแล้วหวังผลใหม่ๆ"
ทั้งสี่คนยกเว้นเกล รู้สึกทึ่งกับคำตอบของหมอดู ตอนนี้พวกเขาเชื่อสุดใจว่าหมอดูคนนี้เก่งจริงๆ
"ปรีย์ละคะ อยากรู้ว่าปรีย์กับศศิ เราเป็นเนื้อคู่กันหรือเปล่า"
"คนเราพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่การเป็นคู่กันได้ ต้องใช้ปัจจัยหลายอย่าง ต้องปรับจูนกัน ให้ดูการกระทำของตัวเอง ถามหมอดูก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรค่ะ"
"อะแฮ่ม" เกลกระแอม เมื่อเขาพูดนอกบทที่จ้างไว้
"เนื้อคู่ของศศิ มีปานแดงที่คอ ลูกแก้วบอก" เอามือไปวางบนลูกแก้ว แล้วตอบ ไม่สบตาใคร จนใครๆ ก็ดูออกว่า การให้คำแนะนำไม่เหมือนเดิม มีพิรุธ
เกลยิ้มร่า เอามือสะบัดผมสั้นไปด้านหลัง ทุกคนเห็นปานแดงที่คอ แต่ศศิกานต์ไม่สนใจ เธอถือว่าการปรับจูนกันสำคัญกว่า
พวกเขาถกกันเรื่องหมอดู และลงความเห็นว่าควรแนะนำให้คนอื่นๆ มาดูดวงกับหมอดูคนนี้อีก จึงถ่ายรูปและลงพิกัดให้แฟนๆ ตามมาดู หมอดูหญิงยิ้มให้ทั้งทีม
พวกเขากินข้าวแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน เกลใส่บิกินี่ตัวจิ๋วเพื่อยั่วยวนศศิกานต์โดยเฉพาะ แต่คนตาคมสวมแว่นตาดำ ชุดเดียวกับเมื่อเช้า มองไม่เห็นความพยายามนั้นแล้วหลับไปคาสระว่ายน้ำ เกลมองไปทางหนุ่มๆ ข้างสระ โบกมือให้เขาทาครีมกันแดดให้ เพื่อยั่วให้เธออิจฉา แต่ศศิกานต์กลับหลับตลอดบ่าย เกลเต้นเร่าๆ จนกระทั่งสุปรีย์เดินมาปลุกพระนางของเธอ
"ทำไมแต่งตัวแบบนั้น" คนตาคมถาม เมื่อเห็นนางเอกของเธอสวมชุดว่ายน้ำแขนยาว กางเกงขายาว
"เดี๋ยวผิวเสีย อาทิตย์หน้าต้องถ่ายโฆษณาโลชั่นผิวขาวอะ"
"สำหรับศศิแล้ว ปรีย์ใส่ชุดไหนก็สวย" อวยสุปรีย์ก่อนนอนหลับต่อ
เกลเช่าเรือสปีดโบ๊ทแบบส่วนตัว ภายในตัวเรือมีห้องน้ำอาบน้ำ โซนอาหารเครื่องดื่ม พร้อมมุมถ่ายภาพแบบที่พวกเขาต้องการ ลำเรือเป็นสีขาวทั้งลำดูปราดเปรียวและแข็งแรง เกลใช้เศษเงินของเธอจัดให้ศศิกานต์โดยเฉพาะ แสงอาทิตย์ส่องสว่างเหนือศีรษะทั้งห้าคน คนตาคมกับร่างบางตัดสินใจจะนอนคุยกันบนเรือภายใต้ที่บังแดด เพราะต้องถ่ายโฆษณาอาทิตย์หน้าไม่อยากโดนแดดเผาและอีกคนอยากอยู่เป็นเพื่อน ในขณะที่คนที่เหลือกระโดดลงน้ำไปดูปะการัง
ใต้น้ำมีสิ่งมีชีวิตมากมาย ปะการังสีแดงฉูดฉาดตัดกับสีน้ำ ปลาน้อยใหญ่ว่ายวนรอบๆ เกล เหมือนจะให้กำลังใจภารกิจในครั้งนี้ เธอเห็นหอยเม่นอวดหนามยาวของตน ไอเดียผุดขึ้นในสมองของนางอิจฉา เธอยื่นเท้าไปเหยียบหอยเม่น ก่อนว่ายน้ำขึ้นมาบนผิวน้ำ
"โอ๊ย ช่วยด้วยค่ะๆ"
ทุกคนผละออกจากความสนใจของตนเอง พาเกลขึ้นบนเรือ เห็นศศิกานต์เดินมาดูด้วยความเป็นห่วงทำให้เธอใจชื้นขึ้น คนขับเรือเดินมาตรวจฝ่าเท้าหญิงสาวดู เขาเอามะนาวบีบใส่แผลที่มีหนามเสียบอยู่
"โอ๊ย อย่างนี้ก็ยิ่งแสบสิคะ" เกลประท้วง
"มะนาวรักษาได้ครับ"
ราวกับมีเวทมนต์ หนามหอยเม่นละลายหายไปจากเนื้อฝ่าเท้าของนักแสดงสาว แม้จะหายเจ็บแล้ว แต่เธอไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปเฉยๆ
"ศศิคะ เกลเจ็บค่ะ ขอจับมือได้ไหม"
สองแฟนสาวหันไปมองตากัน สุปรีย์ทำหน้ามุ่ย ศศิกานต์จึงทำได้แค่ยิ้มอยู่ห่างๆ เกลทำหน้าเซ็ง
"ไม่มีใครแทรกสองคนนั้นได้หรอกครับ" ธนูบอกเกล มองสองสาวถ่ายรูปลงอินสตาแกรม แล้วอินสตาแกรมก็เกือบล่มอีกแล้ว เมื่อเห็นสองสาวไปทะเลด้วยกัน แฟนๆ คอมเมนต์ว่าทำไมถึงแต่งตัวมิดชิดกันทั้งสองคน
ในช่วงเวลาหนึ่ง ศศิกานต์นึกสงสัยว่า เวลาคุยกับเกล เธอชอบอ้างว่าให้ไปอ่านบทสัมภาษณ์หรือดูคลิปย้อนหลัง
เกี่ยวกับตัวเอง คนตัวโตจึงถามขึ้น
"ทำไมคุณเกลถึงอ้างบทสัมภาษณ์ตลอดเลยละคะ ตั้งแต่ตอนที่เราเพิ่งรู้จักกันแล้ว"
เกลทำหน้านิ่ง แต่ก็ตอบโดยดี
"เกลอยากให้มีคนตามเกล สนใจงานของเกลอ่ะคะ แปลกเหรอคะ"
"ก็นิดหนึ่งค่ะ ศศิคิดว่าคุณเกลเก่งนะคะ อยู่ในวงการมานาน แถมยังมีงานตลอด ถึงจะไม่ได้ตามบทสัมภาษณ์ แต่ก็ทราบว่าคุณเกลรักษามาตรฐานงานได้ดีมากๆ ค่ะ"
เกลยิ้มอ่อนหวาน ซึ้งที่ศศิกานต์มองเธอแบบนั้น
.
.
โต๊ะถูกประดับด้วยดอกกุหลาบสีขาวแซมด้วยสีชมพู ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ แสงจากเทียนส่องสลัวขับไล่ความมืดออกไป ทำให้เห็นเสี้ยวหน้าของกันและกัน ศศิกานต์ตั้งใจจัดงานนี้เพื่อสุปรีย์โดยเฉพาะ พวกเขาหายกันไปสองคน ไม่ได้บอกใครว่าจะไปไหน แต่สุดท้ายคนที่เหลือก็ตามมาเจอจนได้ ขณะนั้นดวงจันทร์แรมส่องท้องฟ้าสีเทาทึม เป็นพยานรักให้สองสาว
"ทำไม...ศศิไปจัดโต๊ะมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย" สุปรีย์ถาม จับต้นชนปลายไม่ถูก
"วันนี้วันครบรอบหนึ่งเดือนของเราสองคนค่ะ" หยิบน้ำส้มมาดื่มเพราะเธอไม่ถูกกับแอลกอฮอล์ "ศศิแค่อยากกินข้าวกับปรีย์"
"ผู้ใหญ่เห็นงานพวกเราที่ออนแอร์แล้ว เตรียมจะป้อนงานคู่ให้พวกเราอีก เราจะได้อยู่ใกล้ๆ กันอีกแล้วนะ" ร่างบางบอก
"ถึงจะไม่มีงานคู่ แต่ศศิก็อยากอยู่ใกล้ๆ ปรีย์ อยากเป็นคนที่ปรีย์คิดถึงเป็นคนแรกนะคะ"
"เราจะเป็นกำลังใจให้กันและกัน ส่งเสริม สนับสนุนกัน
จนกว่าจะถึงคราวแยกจากกันนะคะ"
ธนู และซีปรบมือให้ทั้งคู่ ส่วนเกลทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ศศิกานต์ก็ไม่ตกเป็นของเธอ ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ขัดใจ เสียใจ และน้ำตาซึม เธอโพสต์ลง อินสตาแกรมว่า
<ขอพักใจ ไม่อยากเจอใครสักพัก>
พร้อมรูปดอกไม้เหี่ยวเฉา แฟนคลับเข้ามาคอมเมนต์
<พี่อินจังเลย เซ็งทั้งในจอและนอกจอเลย>
หลังกลับจากทริปทะเล เกลนอนซมใต้ผ้าห่ม ไม่ค่อยกิน จนผอมลง ขอบตาดำคล้ำ และตัดสินใจโทรหาเพื่อนเพื่อปรึกษา
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว


![เพียงชั่ววูบเดียว [MPREG]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




