Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 15 บทเรียนแรก

Share

บทที่ 15 บทเรียนแรก

เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันเรียนแรกของเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ ศิษย์ใหม่ต่างทยอยกันเข้ามานั่งประจำโต๊ะกันอย่างเร่งรีบ เนื่องจากเป็นวันแรกที่ไม่มีใครอยากถูกเพ่งเล็งมากนัก

นี่เป็นสิ่งที่จางอี้หมิงเห็นเป็นประจำในทุกครั้ง แต่หลังจากศิษย์หน้าใหม่เหล่านี้ สามารถจับทิศทางของอาจารย์ผู้สอนได้แล้ว ก็มักจะนอกลู่นอกทางกันบ้างแต่ยังอยู่ในขอบเขต

ท่ามกลางบรรยากาศของห้องเรียนที่โปร่งโล่ง ผนังแกะสลักลวดลายวิจิตรและหน้าต่างเปิดรับแสง สองดรุณีสาวผู้งดงามเหนือใครในสายตาของจางอี้หมิงรวมถึงสายตาใครอีกหลายคน พลันปรากฏตัวขึ้นในห้องเรียนนี้

หลินหนิง ดรุณีสาววัยสิบหก ผู้มีดวงตากลมโตแวววาวเหมือนหยาดน้ำค้าง ผิวขาวอมชมพูเปล่งประกายราวหิมะ นางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ทั้งห้องเหมือนสว่างขึ้น ข้างกายนางคือ หวงจื่อรั่ว ผู้มีโฉมงามหมดจดราวนางในภาพวาด แต่มักทำหน้านิ่งขรึมจนดูเย็นชา ทั้งสองเลือกโต๊ะคู่อยู่กลางห้อง และนั่งลงอย่างสงบ

ไม่นาน เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งกันตามลำดับ จนกระทั่งชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดเรียบง่ายเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน จางอี้หมิง ในฐานะผู้ร่วมฝึกทบทวน พยายามไม่ทำตัวเด่น เขาเลือกนั่งโต๊ะหลังสุดเพื่อตั้งใจฝึกฝนและเฝ้าสังเกตอย่างเงียบๆ

จากนั้นไม่นานนัก ซุนสีห่าว คุณชายจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ ปรากฏตัวในช่วงท้าย เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางเย่อหยิ่งและโอ้อวด เป้าหมายในการนั่งของเขาคือโต๊ะที่อยู่ด้านหลังสุด

แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าที่นั่งหลังสุดถูกจางอี้หมิงจับจองอยู่ ซุนสีห่าวเดินตรงเข้าไปยืนเหนือจางอี้หมิง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง

“เจ้า ไปนั่งที่อื่นซะ ข้าจะนั่งตรงนี้”

จางอี้หมิงเพียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังตำราในมือ ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดนั้น

ท่าทีเฉยเมยของจางอี้หมิงทำให้ซุนสีห่าวโกรธ เขาประกาศเสียงดัง

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร! ข้าเป็นบุตรชายของรองเจ้ากรมคลังแห่งอาณาจักรต้าเฉิง!”

จางอี้หมิงหันมองเขาอีกครั้งด้วยสายตาเย้ยหยัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่แฝงความดูถูก

“ก็แค่ลูกขุนนาง ต่อให้พ่อของเจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ ข้าก็ไม่กลัว”

“รองเจ้ากรมคลังผู้นั้นเมื่อเห็นหน้าข้าก็คงเรียกข้าว่าท่านพ่อ เจ้าเองก็ควรเรียกข้าว่าท่านปู่นะ”

คำพูดนั้นทำให้ซุนสีห่าวเดือดดาล เขาสั่งให้ลูกน้องสองคนของตนที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามาล้อมจางอี้หมิงทันที บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียด ทุกคนหันมาจับจ้องสถานการณ์ด้วยความลุ้นระทึก

ก่อนที่ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นไปมากกว่านี้ ถัวเค่อชี อาจารย์ผู้ดูแลเดินเข้ามาพร้อมสายตาเรียบนิ่ง ซุนสีห่าวและพวก รีบกระจัดกระจายหาที่นั่งอย่างรวดเร็วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถัวเค่อชีเดินมาหยุดตรงจางอี้หมิง เขามองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะเอ่ยเหน็บแนมเบาๆ ด้วยรอยยิ้มเยาะ

“ทำตัวโดดเด่นทั้งที่ไร้ความสามารถ”

คำพูดนั้นไม่ต่างจากคมมีดที่กรีดลงกลางใจ แต่จางอี้หมิงหาได้ใส่ใจอันใดไม่

เพ่ย! (ถุย!)

“ตอนนี้เป็นเวลาของเจ้า รีบตักตวงความสุขไว้เถิด” จางอี้หมิงคิดในใจมองตามแผ่นหลังของถัวเค่อชีผู้นั้นไป

วิชาของถัวเค่อชีเป็นวิชาบรรยายเรื่องพื้นฐานทั่วไป เสียงของถัวเค่อชีก้องกังวานตลอดการบรรยาย เขาเดินวนทั่วห้อง พลางอธิบายเรื่องพื้นฐานที่เหล่าศิษย์ใหม่จำเป็นต้องรู้

จางอี้หมิงนั่งเอนตัวพิงเก้าอี้ด้านหลังสุดของห้องอย่างเบื่อหน่าย เขารู้เรื่องเหล่านี้ดีจนไม่ต่างจากการอ่านตำราเก่าซ้ำไปซ้ำมา

“โลกนี้แบ่งเป็นสามแดนหลัก ได้แก่ แดนสวรรค์ แดนมนุษย์ และแดนปีศาจ เรื่องเหล่านี่นับเป็นเรื่องทั่วไป ข้าฟังซ้ำมาไม่รู้กี่รอบ เอาเถอะ ถือว่าทบทวน จะได้ไม่เบื่อมาก”

จากนั้นถัวเค่อชีก็อธิบายเพิ่มเติมไปว่า “บัดนี้แดนสวรรค์ล่มสลายไปแล้ว”

เมื่อถัวเค่อชีพูดถึงการล่มสลายของแดนสวรรค์ จางอี้หมิงรู้สึกตะหงิดใจขึ้นเล็กน้อย เพราะเขารู้ความจริงว่าแดนสวรรค์ไม่ได้ล่มสลายทั้งหมด แค่แตกแยกขาดผู้นำที่แท้จริงเท่านั้น

เอาเถอะ ถือว่ายังไม่ได้ลงรายละเอียดเชิงลึก ข้ายังไม่ขอโต้แย้งอะไรเจ้าในเวลานี้

ทว่าทันใดนั้น...หลินหนิงยกมือขึ้น ด้วยดวงตากลมโตและแววตาที่ฉายแววตั้งใจ เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใส

“ท่านอาจารย์ ข้ามีข้อสงสัย ตามตำราที่ข้าเคยอ่าน แดนสวรรค์ยังไม่ได้ล่มสลายเสียทีเดียว เพียงแค่แตกแยกและขาดผู้นำเท่านั้น ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

คำพูดของหลินหนิงทำให้ทั้งห้องเงียบลงทันที จางอี้หมิงหันไปมองหลินหนิงด้วยความสนใจ ก่อนจะยิ้มบางๆ ในใจเขาคิดว่า

“แม่นางผู้นี้พูดได้ตรงใจข้ายิ่งนัก”

ถัวเค่อชีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวตอบด้วยท่าทีราบเรียบ

“สิ่งที่เจ้าพูดนั้นไม่ผิด แดนสวรรค์แค่แตกแยกและไร้ผู้นำ แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับต้นเช่นพวกเจ้า ยังไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดมากนัก”

หลินหนิงพยักหน้าเบาๆ และก้มหน้าลงเรียนต่อไปโดยไม่โต้แย้งอะไรอีก ส่วนจางอี้หมิงยังคงยิ้มเล็กๆ กับตัวเอง พลางครุ่นคิดในใจ

“น่าสนใจยิ่งนัก หากแม่นางหลินหนิงอยากศึกษาเวทอักษร ข้าจะตั้งใจถ่ายทอดให้ดีกว่าที่ถ่ายทอดให้เจ้าซ่งอินนั่น”

การบรรยายของถัวเค่อชีผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งสิ้นสุดเวลาเรียน เขาเดินออกจากห้องไปเมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้น

ทันใดนั้นเอง...ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน

ผู้มาใหม่คือ ซ่งอิน ศิษย์ระดับสามของสำนัก ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดสีขาวประดับลวดลายเงิน เขาก้าวขึ้นมายืนที่หน้าห้องเรียนด้วยท่าทางสุขุม ก่อนจะประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“วิชาถัดไป...คือการฝึกควบคุมลมปราณ”

คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องพากันตื่นเต้น แต่ไม่มีใครดูตื่นตัวเท่าจางอี้หมิง

เขาเบิกตากว้าง ดวงตาเป็นประกาย เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเฝ้าคอยมาโดยตลอด เพราะสิ่งที่เขาต้องการในเวลานี้คือฝึกปรับสมดุลลมปราณ หากทำสำเร็จเมื่อใด เขาก็จะก้าวเข้าสู่จุดยิ่งใหญ่อีกครั้ง

“ในบรรดาศิษย์ระดับสาม เจ้าซ่งอินนับว่าเป็นยอดฝีมือระดับต้นในการควบคุมลมปราณ การได้เขามาเป็นครูฝึกนั้นนับว่าถูกต้อง”

จางอี้หมิงคิดในใจพลางหยักหน้าอย่างยินดี

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status