หน้าหลัก / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

แชร์

บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-06 19:30:59

จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก

“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา

“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา

“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทาน

ใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือ

จางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง

“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”

เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”

ข้าหมายตาท่านมาตลอด!

จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม่ขัดขืน ร่างเล็กในอ้อมแขนของเขานั้นเบาราวขนนก แต่กลับแผ่ความร้อนที่ทำให้สติของเขาพร่าเลือน

เมื่อถึงเตียง เขาค่อยๆ วางนางลงอย่างแผ่วเบา เจียงเยว่ยื่นมือออกมาดึงรั้งเขาเข้าไปใกล้ นัยน์ตาของนางสั่นไหวราวกับต้องมนต์สะกด จางอี้หมิงประคองใบหน้าของนาง ปลายนิ้วไล้ผ่านเรือนผมดำขลับ ก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากเข้ากับนางอย่างอ่อนโยน

รสสัมผัสหวานละมุนผสานกับกลิ่นสุราที่ติดปลายลิ้นทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม ทุกอย่างรอบตัวเลือนหายไป เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นประสานกัน และสัมผัสแห่งความร้อนแรงที่ค่อยๆ ไหลเวียนไปทั่วร่าง

เจียงเยว่โอบรอบคอของเขา แนบกายเข้าหาอย่างเต็มใจ การบำเพ็ญคู่ของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ลมหายใจของทั้งสองประสานกันเป็นจังหวะเดียว พลังหยินหยางสอดประสานกันอย่างเต็มที่ ราวกับว่าพลังปราณของพวกเขาหลอมรวมกันไปแล้วเรียบร้อย

จางอี้หมิงกอดรัดร่างอรชรของศิษย์พี่คนงามไว้แน่น นางแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกของเขา รับรู้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่าย ริมฝีปากแดงเรื่อของนางยังคงชื้นจากรสสุรา ดวงตาฉ่ำเยิ้มของนางสะท้อนประกายระยิบระยับราวกับแสงดารา นางเชยคางเขาขึ้น สัมผัสอ่อนโยนของปลายนิ้วทำให้จางอี้หมิงสะท้านไปทั้งกาย

“ศิษย์น้อง…” นางกระซิบเสียงพร่า “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”

“...เยว่เอ๋อร์” จางอี้หมิงตอบเสียงแหบพร่า

“ปากดียิ่งนัก…”

จางอี้หมิงมิอาจทนได้อีกต่อไป เขาฝังปลายจมูกลงบนลาดไหล่ของนาง สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนกาย เจียงเยว่วางมือที่แผ่นอกแกร่งแล้วค่อยๆ ลากปลายนิ้วลงไปช้าๆ ราวกับกำลังสำรวจร่างกายของศิษย์น้องอย่างจงใจ

“ข้าควรลงโทษเจ้าหรือไม่?” นางแสร้งทำเสียงดุ

“ถ้าเช่นนั้น... เชิญท่านลงโทษข้าเถิด”

“เจ้านี่มัน…” เจียงเยว่เอื้อมมือไปแตะที่ริมฝีปากเขาเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้ ริมฝีปากของทั้งสองแนบชิดกันอีกครั้ง

สายลมยามราตรีโบกพัดผ่านบานหน้าต่าง เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเรือนพักแผ่วเบาเป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจที่เร่งเร้าของคนทั้งสอง

ที่ด้านนอกเรือนพัก ศิษย์พี่เฉินเจิ้งและศิษย์พี่ฟ่านหวงยืนเฝ้าอยู่ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รัตติกาลช่างเงียบสงัด หากแต่ในความเงียบนั้นกลับแว่วเสียงแผ่วเบาดังมาแต่ไกล

เสียงครวญครางแผ่วดังลอดผ่านบานหน้าต่าง เสียงหายใจที่ติดขัดสลับหนักเบา จังหวะสม่ำเสมอ และเสียงกระทบไหวของเรือนพักดังเป็นระยะ ทำให้เฉินเจิ้งชะงัก หันไปมองฟ่านหวงที่ยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาฉายแววสงสัย

“ฟ่านหวง... เจ้าว่าเสียงนั้นคืออะไร?”

ฟ่านหวงเลิกคิ้ว ก่อนจะปรายตามองไปยังเรือนพักด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ศิษย์พี่... ท่านยังต้องให้ข้าตอบอีกหรือ?”

“เราควรเข้าไปดูหรือไม่?"

ฟ่านหวงถอนหายใจเฮือก ก่อนจะตบบ่าเฉินเจิ้งเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านช่างใสซื่อยิ่งนัก หรือว่าท่านไม่เคยไปเยี่ยมเยือนสำนักสังคีตล่ะ?”

เฉินเจิ้งขมวดคิ้ว “สำนักสังคีต?”

ฟ่านหวงหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ท่านช่างไร้เดียงสานัก ที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงขับขานแห่งบทเพลงและเสียงดนตรี... ซึ่งหาใช่เสียงจากเครื่องดนตรีเพียงอย่างเดียว”

เฉินเจิ้งยังคงงุนงง แต่พอสังเกตสีหน้าเจ้าเล่ห์ของฟ่านหวง พลันเข้าใจในบัดดล ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย

“อย่าบอกนะว่า…”

ฟ่านหวงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถูกต้อง! ฐานะที่ข้ามีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่าท่าน ข้าเสนอให้พวกเราทั้งสองถอยห่างจากบริเวณนี้สักหน่อย ปล่อยให้ศิษย์น้องทั้งสองได้ ‘ปรับความเข้าใจ’ กันโดยไม่ต้องมีพยาน"

กล่าวจบ ฟ่านหวงก็ออกเดินนำหน้าไป เฉินเจิ้งได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่ก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี ทิ้งให้เรือนพักเบื้องหลังได้โอบกอดค่ำคืนอันยาวนานนั้นเอาไว้

อีกด้านหนึ่งของสำนักเทียนหยาง ที่หอคอยสูงเก้าชั้น

สายลมยามราตรีพัดผ่านยอดหอคอยสูงเก้าชั้น คลื่นอากาศเย็นเยียบพัดไล้ม่านหน้าต่างไม้แกะสลักที่เปิดแง้มอยู่ เปลวเทียนในโคมแก้วไหวระริก ทอดเงาบนโต๊ะไม้หอมประดับลวดลายโบราณ ที่ชั้นบนสุดของหอคอย ชิงซิ่วและลิ่วเฉียงต่างนั่งสนทนากันถึงเรื่องราวในสมรภูมิที่เพิ่งผ่านพ้น

               ทันใดนั้นเอง แสงสว่างวาบปรากฏที่เบื้องหน้า ผู็ที่มาพร้อมแสงคือชายชราเส้นผมและหนวดเคราสีขาวในชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้น

               เจ้าสำนักกู่เจิ้ง

เจ้าสำนักนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะชา นิ้วเรียวยาวพลิกพัดไม้อย่างแผ่วเบา ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แต่แฝงไปด้วยความสงบเยือกเย็น ชิงซิ่วกำลังจะเอ่ยรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่าเจ้าสำนักเพียงยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงห้าม

“ไม่ต้องเล่า ข้ารู้หมดแล้ว” เสียงของเขาไม่ดังมาก แต่กลับทรงอำนาจดุจเสียงระฆังที่ดังก้องในโถงว่างเปล่า “พวกเจ้าทำได้ดีมาก แต่เรื่องของจางอี้หมิง...พรุ่งนี้ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง”

ลิ่วเฉียงรินชาใส่จอกหยกด้วยมือนิ่งสงบ ส่งจอกให้เจ้าสำนักอย่างเคารพ ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องที่ค้างคาใจ “ท่านอาจารย์ ข้ามีข้อสงสัยเรื่องหนึ่ง”

เจ้าสำนักพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาต "ว่ามา"

“เรื่องศิลาเฝิ่นเหิง พวกผู้บุกรุกจากลัทธิมารแดนสวรรค์เหล่านั้นต้องการมัน เหตุใดจึงมีค่าถึงเพียงนี้กันแน่?”

เจ้าสำนักหยิบจอกชาขึ้นมา ยกขึ้นมองแสงเทียนที่ส่องผ่านน้ำชาสีอำพัน สูดกลิ่นหอมของน้ำชา และดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง

“ชาดี!”

ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ศิลาเฝิ่นเหิงเป็นสมบัติโบราณ ตั้งแต่ยุคท่านเซียนไท่ซวิน ว่ากันว่า ผู้ใดครอบครองศิลานี้ จะสามารถทะลวงขีดจำกัดของพลังปราณ และอาจก้าวข้ามขีดขั้นของมนุษย์ไปสู่ระดับของเซียนได้”

คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงโดยพลัน ชิงซิ่วและลิ่วเฉียงจ้องมองเจ้าสำนักอย่างตั้งใจ

“แล้ว...ศิลาอยู่ที่ใด?” ลิ่วเฉียงถามเสียงเคร่งเครียด

เจ้าสำนักกู่เจิ้งหลับตาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “ศิลานี้แตกออกเป็นผลึกเจ็ดชิ้นกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน อาจารย์ของข้า ซึ่งก็คืออาจารย์ปู่ของพวกเจ้า เคยบอกข้าไว้ว่าที่สำนักของเรา มีผลึกศิลาแห่งแสง ซุกซ่อนอยู่ แต่ข้าเองก็ไม่เคยเห็นกับตา”

สายลมเย็นพัดเข้ามา เปลวเทียนลู่ไหว เงาของเจ้าสำนักทอดยาว เจ้าสำนักค่อย ๆ เปิดเปลือกตา แววตาลึกล้ำราวกับอ่านใจคนได้ “พวกเจ้าไปพักเถอะ พรุ่งนี้เราค่อยมาพูดถึงเรื่องจางอี้หมิงกันอีกครั้ง”

สองศิษย์รับคำพร้อมกันอย่างนอบน้อม ก่อนจะค่อย ๆ ถอยออกจากห้องไป เหลือเพียงเงาของเจ้าสำนักกู่เจิ้งที่ยังคงนิ่งสงบ

เวลาผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน อรุณรุ่งสาดส่องผ่านขอบฟ้า แสงอาทิตย์อ่อนๆ แตะลงบนเรือนพัก เผยให้เห็นผ้าม่านที่ปลิวไสวตามสายลม เสียงแห่งราตรีได้เงียบลงแล้ว เหลือเพียงความเงียบสงบของยามเช้าที่เพิ่งมาถึง

ยามเช้า สายลมพัดเบา ๆ ผ่านม่านหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ แสงอาทิตย์อ่อน ๆ สาดส่องเข้ามาในห้องต้องผิวเนื้อเปลือยเปล่าของร่างคนทั้งสองที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบาง จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า สายตาของเขาไล่ไปตามโครงหน้าของหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา ศิษย์พี่เจียงเยว่ยังคงหลับสนิท ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนกว่าปกติ เรือนผมดำขลับยุ่งเหยิงเล็กน้อย เส้นผมบางส่วนหล่นลงมาปรกอยู่บนหน้าผากขาวเนียนของนาง

จางอี้หมิงหายใจเข้าออกช้า ๆ ตรวจสอบลมปราณภายในร่างกายของตนเอง เขารับรู้ได้ทันทีว่าพลังปราณที่เคยสูญเสียสมดุลไปเนิ่นนาน บัดนี้กลับมาคงที่และไหลเวียนได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง

จางอี้หมิงแอบยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเหลือบมองเจียงเยว่อีกครั้ง ในใจอดบ่นไม่ได้ว่า

ข้าหมายตาท่านมาตั้งนาน เดิมทีคิดว่าท่านจะรังเกียจเดียดฉันท์ข้า แต่แท้จริงแล้ว ท่านกลับดีต่อข้าถึงเพียงนี้

สายตาของเขาฉายแววอบอุ่นอย่างหาที่สุดมิได้ ทันใดนั้น เปลือกตาของเจียงเยว่ขยับเล็กน้อย ก่อนที่นางจะลืมตาขึ้น สายตาหวานฉ่ำยังคงเจือด้วยความง่วงงุน นางกระพริบตาถี่สองสามครั้งก่อนจะเหลือบมองจางอี้หมิงที่กำลังจ้องมองนางอยู่แล้ว

“มองอันใดของเจ้าแต่เช้า” เจียงเยว่พูดเสียงเบา พร้อมยกมือนวดขมับของตนเองเล็กน้อย

จางอี้หมิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกระชับอ้อมแขนรั้งร่างของนางเข้ามาใกล้ขึ้น “ศิษย์พี่ นอนต่ออีกหน่อยเถิด”

เจียงเยว่ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ทว่า ทันใดนั้นก็มีเสียงจากด้านนอกดังขึ้น เป็นเสียงของศิษย์พี่เฉินเจิ้งและศิษย์พี่ฟ่านหวง

“เสี่ยวอี้! อีกหนึ่งชั่วยาม ท่านอาจารย์เรียกเจ้าไปพบที่หอเทียนหยาง!”

จางอี้หมิงตะโกนกลับไปว่า “ทราบแล้ว!”

จากนั้นเขาก็หันกลับมามองเจียงเยว่อีกครั้ง แววตาของเขามีแววขี้เล่นแฝงอยู่ “มีเวลาเหลืออีกหนึ่งชั่วยาม เรามาต่อกันอีกรอบดีหรือไม่?”

เจียงเยว่ตีเขาเบา ๆ ที่หน้าอกอย่างเขินอาย ก่อนจะเบือนหน้าหนี “พอแล้ว! เจ้าชักจะได้ใจเกินไปแล้ว” นางรีบลุกขึ้นจากเตียง คว้าผ้าคลุมขึ้นมาห่อร่าง ก่อนจะเดินไปที่อ่างน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาและแต่งตัว

จางอี้หมิงมองแผ่นหลังของนางด้วยสายตาเอ็นดู เขาลุกขึ้นตาม ใช้เวลาจัดแจงเครื่องแต่งกายของตนเอง ไม่นานนัก ทั้งสองก็เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงออกจากเรือนพัก มุ่งตรงไปยังหอเทียนหยางเพื่อพบเจ้าสำนักกู่เจิ้งในยามเช้าที่แสงแดดเริ่มส่องกระจ่างไปทั่วทั้งสำนักทันที

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status