จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก
“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา
“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา
“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทาน
ใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือ
จางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง
“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”
เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”
ข้าหมายตาท่านมาตลอด!
จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม่ขัดขืน ร่างเล็กในอ้อมแขนของเขานั้นเบาราวขนนก แต่กลับแผ่ความร้อนที่ทำให้สติของเขาพร่าเลือน
เมื่อถึงเตียง เขาค่อยๆ วางนางลงอย่างแผ่วเบา เจียงเยว่ยื่นมือออกมาดึงรั้งเขาเข้าไปใกล้ นัยน์ตาของนางสั่นไหวราวกับต้องมนต์สะกด จางอี้หมิงประคองใบหน้าของนาง ปลายนิ้วไล้ผ่านเรือนผมดำขลับ ก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากเข้ากับนางอย่างอ่อนโยน
รสสัมผัสหวานละมุนผสานกับกลิ่นสุราที่ติดปลายลิ้นทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม ทุกอย่างรอบตัวเลือนหายไป เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นประสานกัน และสัมผัสแห่งความร้อนแรงที่ค่อยๆ ไหลเวียนไปทั่วร่าง
เจียงเยว่โอบรอบคอของเขา แนบกายเข้าหาอย่างเต็มใจ การบำเพ็ญคู่ของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ลมหายใจของทั้งสองประสานกันเป็นจังหวะเดียว พลังหยินหยางสอดประสานกันอย่างเต็มที่ ราวกับว่าพลังปราณของพวกเขาหลอมรวมกันไปแล้วเรียบร้อย
จางอี้หมิงกอดรัดร่างอรชรของศิษย์พี่คนงามไว้แน่น นางแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกของเขา รับรู้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่าย ริมฝีปากแดงเรื่อของนางยังคงชื้นจากรสสุรา ดวงตาฉ่ำเยิ้มของนางสะท้อนประกายระยิบระยับราวกับแสงดารา นางเชยคางเขาขึ้น สัมผัสอ่อนโยนของปลายนิ้วทำให้จางอี้หมิงสะท้านไปทั้งกาย
“ศิษย์น้อง…” นางกระซิบเสียงพร่า “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
“...เยว่เอ๋อร์” จางอี้หมิงตอบเสียงแหบพร่า
“ปากดียิ่งนัก…”
จางอี้หมิงมิอาจทนได้อีกต่อไป เขาฝังปลายจมูกลงบนลาดไหล่ของนาง สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนกาย เจียงเยว่วางมือที่แผ่นอกแกร่งแล้วค่อยๆ ลากปลายนิ้วลงไปช้าๆ ราวกับกำลังสำรวจร่างกายของศิษย์น้องอย่างจงใจ
“ข้าควรลงโทษเจ้าหรือไม่?” นางแสร้งทำเสียงดุ
“ถ้าเช่นนั้น... เชิญท่านลงโทษข้าเถิด”
“เจ้านี่มัน…” เจียงเยว่เอื้อมมือไปแตะที่ริมฝีปากเขาเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้ ริมฝีปากของทั้งสองแนบชิดกันอีกครั้ง
สายลมยามราตรีโบกพัดผ่านบานหน้าต่าง เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเรือนพักแผ่วเบาเป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจที่เร่งเร้าของคนทั้งสอง
ที่ด้านนอกเรือนพัก ศิษย์พี่เฉินเจิ้งและศิษย์พี่ฟ่านหวงยืนเฝ้าอยู่ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รัตติกาลช่างเงียบสงัด หากแต่ในความเงียบนั้นกลับแว่วเสียงแผ่วเบาดังมาแต่ไกล
เสียงครวญครางแผ่วดังลอดผ่านบานหน้าต่าง เสียงหายใจที่ติดขัดสลับหนักเบา จังหวะสม่ำเสมอ และเสียงกระทบไหวของเรือนพักดังเป็นระยะ ทำให้เฉินเจิ้งชะงัก หันไปมองฟ่านหวงที่ยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาฉายแววสงสัย
“ฟ่านหวง... เจ้าว่าเสียงนั้นคืออะไร?”
ฟ่านหวงเลิกคิ้ว ก่อนจะปรายตามองไปยังเรือนพักด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ศิษย์พี่... ท่านยังต้องให้ข้าตอบอีกหรือ?”
“เราควรเข้าไปดูหรือไม่?"
ฟ่านหวงถอนหายใจเฮือก ก่อนจะตบบ่าเฉินเจิ้งเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านช่างใสซื่อยิ่งนัก หรือว่าท่านไม่เคยไปเยี่ยมเยือนสำนักสังคีตล่ะ?”
เฉินเจิ้งขมวดคิ้ว “สำนักสังคีต?”
ฟ่านหวงหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ท่านช่างไร้เดียงสานัก ที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงขับขานแห่งบทเพลงและเสียงดนตรี... ซึ่งหาใช่เสียงจากเครื่องดนตรีเพียงอย่างเดียว”
เฉินเจิ้งยังคงงุนงง แต่พอสังเกตสีหน้าเจ้าเล่ห์ของฟ่านหวง พลันเข้าใจในบัดดล ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย
“อย่าบอกนะว่า…”
ฟ่านหวงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถูกต้อง! ฐานะที่ข้ามีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่าท่าน ข้าเสนอให้พวกเราทั้งสองถอยห่างจากบริเวณนี้สักหน่อย ปล่อยให้ศิษย์น้องทั้งสองได้ ‘ปรับความเข้าใจ’ กันโดยไม่ต้องมีพยาน"
กล่าวจบ ฟ่านหวงก็ออกเดินนำหน้าไป เฉินเจิ้งได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่ก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี ทิ้งให้เรือนพักเบื้องหลังได้โอบกอดค่ำคืนอันยาวนานนั้นเอาไว้
อีกด้านหนึ่งของสำนักเทียนหยาง ที่หอคอยสูงเก้าชั้น
สายลมยามราตรีพัดผ่านยอดหอคอยสูงเก้าชั้น คลื่นอากาศเย็นเยียบพัดไล้ม่านหน้าต่างไม้แกะสลักที่เปิดแง้มอยู่ เปลวเทียนในโคมแก้วไหวระริก ทอดเงาบนโต๊ะไม้หอมประดับลวดลายโบราณ ที่ชั้นบนสุดของหอคอย ชิงซิ่วและลิ่วเฉียงต่างนั่งสนทนากันถึงเรื่องราวในสมรภูมิที่เพิ่งผ่านพ้น
ทันใดนั้นเอง แสงสว่างวาบปรากฏที่เบื้องหน้า ผู็ที่มาพร้อมแสงคือชายชราเส้นผมและหนวดเคราสีขาวในชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้น
เจ้าสำนักกู่เจิ้ง
เจ้าสำนักนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะชา นิ้วเรียวยาวพลิกพัดไม้อย่างแผ่วเบา ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แต่แฝงไปด้วยความสงบเยือกเย็น ชิงซิ่วกำลังจะเอ่ยรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่าเจ้าสำนักเพียงยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงห้าม
“ไม่ต้องเล่า ข้ารู้หมดแล้ว” เสียงของเขาไม่ดังมาก แต่กลับทรงอำนาจดุจเสียงระฆังที่ดังก้องในโถงว่างเปล่า “พวกเจ้าทำได้ดีมาก แต่เรื่องของจางอี้หมิง...พรุ่งนี้ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง”
ลิ่วเฉียงรินชาใส่จอกหยกด้วยมือนิ่งสงบ ส่งจอกให้เจ้าสำนักอย่างเคารพ ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องที่ค้างคาใจ “ท่านอาจารย์ ข้ามีข้อสงสัยเรื่องหนึ่ง”
เจ้าสำนักพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาต "ว่ามา"
“เรื่องศิลาเฝิ่นเหิง พวกผู้บุกรุกจากลัทธิมารแดนสวรรค์เหล่านั้นต้องการมัน เหตุใดจึงมีค่าถึงเพียงนี้กันแน่?”
เจ้าสำนักหยิบจอกชาขึ้นมา ยกขึ้นมองแสงเทียนที่ส่องผ่านน้ำชาสีอำพัน สูดกลิ่นหอมของน้ำชา และดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง
“ชาดี!”
ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ศิลาเฝิ่นเหิงเป็นสมบัติโบราณ ตั้งแต่ยุคท่านเซียนไท่ซวิน ว่ากันว่า ผู้ใดครอบครองศิลานี้ จะสามารถทะลวงขีดจำกัดของพลังปราณ และอาจก้าวข้ามขีดขั้นของมนุษย์ไปสู่ระดับของเซียนได้”
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงโดยพลัน ชิงซิ่วและลิ่วเฉียงจ้องมองเจ้าสำนักอย่างตั้งใจ
“แล้ว...ศิลาอยู่ที่ใด?” ลิ่วเฉียงถามเสียงเคร่งเครียด
เจ้าสำนักกู่เจิ้งหลับตาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “ศิลานี้แตกออกเป็นผลึกเจ็ดชิ้นกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน อาจารย์ของข้า ซึ่งก็คืออาจารย์ปู่ของพวกเจ้า เคยบอกข้าไว้ว่าที่สำนักของเรา มีผลึกศิลาแห่งแสง ซุกซ่อนอยู่ แต่ข้าเองก็ไม่เคยเห็นกับตา”
สายลมเย็นพัดเข้ามา เปลวเทียนลู่ไหว เงาของเจ้าสำนักทอดยาว เจ้าสำนักค่อย ๆ เปิดเปลือกตา แววตาลึกล้ำราวกับอ่านใจคนได้ “พวกเจ้าไปพักเถอะ พรุ่งนี้เราค่อยมาพูดถึงเรื่องจางอี้หมิงกันอีกครั้ง”
สองศิษย์รับคำพร้อมกันอย่างนอบน้อม ก่อนจะค่อย ๆ ถอยออกจากห้องไป เหลือเพียงเงาของเจ้าสำนักกู่เจิ้งที่ยังคงนิ่งสงบ
เวลาผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน อรุณรุ่งสาดส่องผ่านขอบฟ้า แสงอาทิตย์อ่อนๆ แตะลงบนเรือนพัก เผยให้เห็นผ้าม่านที่ปลิวไสวตามสายลม เสียงแห่งราตรีได้เงียบลงแล้ว เหลือเพียงความเงียบสงบของยามเช้าที่เพิ่งมาถึง
ยามเช้า สายลมพัดเบา ๆ ผ่านม่านหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ แสงอาทิตย์อ่อน ๆ สาดส่องเข้ามาในห้องต้องผิวเนื้อเปลือยเปล่าของร่างคนทั้งสองที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบาง จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า สายตาของเขาไล่ไปตามโครงหน้าของหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา ศิษย์พี่เจียงเยว่ยังคงหลับสนิท ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนกว่าปกติ เรือนผมดำขลับยุ่งเหยิงเล็กน้อย เส้นผมบางส่วนหล่นลงมาปรกอยู่บนหน้าผากขาวเนียนของนาง
จางอี้หมิงหายใจเข้าออกช้า ๆ ตรวจสอบลมปราณภายในร่างกายของตนเอง เขารับรู้ได้ทันทีว่าพลังปราณที่เคยสูญเสียสมดุลไปเนิ่นนาน บัดนี้กลับมาคงที่และไหลเวียนได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง
จางอี้หมิงแอบยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเหลือบมองเจียงเยว่อีกครั้ง ในใจอดบ่นไม่ได้ว่า
ข้าหมายตาท่านมาตั้งนาน เดิมทีคิดว่าท่านจะรังเกียจเดียดฉันท์ข้า แต่แท้จริงแล้ว ท่านกลับดีต่อข้าถึงเพียงนี้
สายตาของเขาฉายแววอบอุ่นอย่างหาที่สุดมิได้ ทันใดนั้น เปลือกตาของเจียงเยว่ขยับเล็กน้อย ก่อนที่นางจะลืมตาขึ้น สายตาหวานฉ่ำยังคงเจือด้วยความง่วงงุน นางกระพริบตาถี่สองสามครั้งก่อนจะเหลือบมองจางอี้หมิงที่กำลังจ้องมองนางอยู่แล้ว
“มองอันใดของเจ้าแต่เช้า” เจียงเยว่พูดเสียงเบา พร้อมยกมือนวดขมับของตนเองเล็กน้อย
จางอี้หมิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกระชับอ้อมแขนรั้งร่างของนางเข้ามาใกล้ขึ้น “ศิษย์พี่ นอนต่ออีกหน่อยเถิด”
เจียงเยว่ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ทว่า ทันใดนั้นก็มีเสียงจากด้านนอกดังขึ้น เป็นเสียงของศิษย์พี่เฉินเจิ้งและศิษย์พี่ฟ่านหวง
“เสี่ยวอี้! อีกหนึ่งชั่วยาม ท่านอาจารย์เรียกเจ้าไปพบที่หอเทียนหยาง!”
จางอี้หมิงตะโกนกลับไปว่า “ทราบแล้ว!”
จากนั้นเขาก็หันกลับมามองเจียงเยว่อีกครั้ง แววตาของเขามีแววขี้เล่นแฝงอยู่ “มีเวลาเหลืออีกหนึ่งชั่วยาม เรามาต่อกันอีกรอบดีหรือไม่?”
เจียงเยว่ตีเขาเบา ๆ ที่หน้าอกอย่างเขินอาย ก่อนจะเบือนหน้าหนี “พอแล้ว! เจ้าชักจะได้ใจเกินไปแล้ว” นางรีบลุกขึ้นจากเตียง คว้าผ้าคลุมขึ้นมาห่อร่าง ก่อนจะเดินไปที่อ่างน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาและแต่งตัว
จางอี้หมิงมองแผ่นหลังของนางด้วยสายตาเอ็นดู เขาลุกขึ้นตาม ใช้เวลาจัดแจงเครื่องแต่งกายของตนเอง ไม่นานนัก ทั้งสองก็เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงออกจากเรือนพัก มุ่งตรงไปยังหอเทียนหยางเพื่อพบเจ้าสำนักกู่เจิ้งในยามเช้าที่แสงแดดเริ่มส่องกระจ่างไปทั่วทั้งสำนักทันที
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
เสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูกนี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นาง
ซงเอ๋อร์ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง นางลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางงัวเงียเล็กน้อย แต่ยังคงความงดงามอ่อนโยนอย่างเรียบง่าย เมื่อเห็นจางอี้หมิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางตื่นเต็มตาในทันที รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้า“คุณชายใหญ่! ท่านตื่นแล้ว!” เสียงของซงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจจางอี้หมิงหันมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยให้ “ใช่ ข้าตื่นแล้ว”ซงเอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความปิติ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“อ๊ะ! เจ็บ…”ซงเอ๋อร์สะดุ้งรีบผละตัวออก ท่าทางของนางช่างน่าเอ็นดู “ข้าขอโทษคุณชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”จางอี้หมิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นไร เจ้าดีใจจนลืมตัว ข้าเข้าใจ”นางเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายต้องการดื่มน้ำหรือไม่?”“อืม…” เขาพยักหน้าเมื่อซงเอ๋อร์รินน้ำใส่ถ้วยและส่งให้ จางอี้หมิงรับมาดื่มพลางมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขาพลันนึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย หากเขาสูญเสียพลังปราณไปอย่างถาวร การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรชายของอ๋องสกุลจาง มีซงเอ๋อร์เป็นภรรยา
ประตูห้องของจางอี้หมิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงผอมของชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามดูสูงศักดิ์ ใบหน้าเรียวมีเคราบางๆ ดูสง่างาม ทว่าดวงตาแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ท่านอ๋องจางส่วง ผู้เป็นบิดาของจางอี้หมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี“หมิงเอ๋อร์! ลูกพ่อฟื้นแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจจางอี้หมิงค้อมศีรษะให้บิดา “ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”ท่านอ๋องจางส่วงนั่งลงข้างเตียง สังเกตบุตรชายของตนอย่างใกล้ชิด แม้จะเห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ก็โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่จางส่วง ในฐานะบุตรชายคนที่ยี่สิบสี่ของอดีตฮ่องเต้เจ้าสำราญราชวงศ์ก่อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็กที่เด็กมากเกินไป ปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ปัจจุบันจึงเมตตาไว้ชีวิต และให้เป็นอ๋องเพื่อประดับไว้เฉยๆ ไม่มีอำนาจอื่นใดพิเศษ จางส่วงจึงเลือกใช้ชีวิตเงียบสงบ เขียนภาพวาดขายเลี้ยงชีพไปวันๆ พร้อมด้วยสมบัติอีกมากมาย ท่านอ๋องหันไปเรียกซงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “ซงเอ๋อร์ นำยาบำรุงเข้ามา”ซงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาสมุนไพรสีเข้ม กลิ่นฉุนแ
จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู
จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา“ใช่แล้ว!”เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น
หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยางเมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันทีแต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี
จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอกหญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยนเสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆแม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้