Share

บทที่ 52 นิทาน

“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า

“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”

มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตาย

เมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม

“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”

นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”

“!!!”

จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว เจอกันคราวหน้าคงต้องสับให้เป็นชิ้น”

เมื่อเป็นพะโล้เสร็จ จางอี้หมิงก็เดินทางกลับไปยังจวนอ๋องสกุลจาง ที่ตั้งใหญ่โตดูดีภายในเมื่อหลวงนั้นในทันที

เมื่อกลับถึงจวนสกุลจาง จางอี้หมิงจัดแจงวางอาหารลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมของอาหารหลากชนิดลอยฟุ้งไปทั่วห้อง อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรของเป็ดพะโล้ที่ถูกเคี่ยวนานข้ามคืนจนเข้าเนื้อ หอมจนกระทบจมูกของจางอี้หมิงเต็มแรง

จางอี้หมิง คีบเนื้อเป็ดมาชิ้นหนึ่ง แล้วกัดเข้าไป ความชุ่มฉ่ำของน้ำพะโล้แตกออกเต็มปาก กลิ่นหอมคลุ้งกระจายไปทั่ว

“นับว่ารสชาติดี เพียงแต่…”

แม้ว่ารสชาติเป็ดพะโล้ของหออาหารรสเลิศโอชาจะยอดเยี่ยม แต่นับว่าน้อยกว่าที่แม่นางซงเอ๋อร์ทำเองอยู่หลายส่วน เพียงแต่ว่า ในเวลานี้แม่นางซงเอ๋อร์อยู่ในสถานะที่ไม่จำเป็นต้องทำอาหารด้วยตัวเองหากจางอี้หมิงเอ่ยปาก “แม่นางน้อยเอย เจ้าทำตัวเหมือนนายหญิงขึ้นทุกวันแล้ว”

ระหว่างรับประทานอาหาร จางหลันซือผู้เป็นน้องสาวเงยหน้ามองพี่ชายก่อนเอ่ยปาก “พี่ใหญ่ ท่านจำได้หรือไม่…”

“จำไม่ได้”

“ข้ายังไม่ได้ถามท่าน” จางหลันซือกลอกตา

“ว่ามา”

“ท่านจำได้หรือไม่ ท่านเคยบอกว่า หากท่านมีเวลาว่างจะเขียนนิยายให้ข้าอ่านเล่มหนึ่ง”

“ข้าไม่ว่าง” จางอี้หมิงกล่าวพลางคีบเนื้อน่องเป็ดเข้าปาก เคี้ยวอย่างสบายใจ

จางหลันซือมองพี่ชายอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนแววตานางจะแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ “เช่นนั้นต่อจากนี้เป็นต้นไป ข้าจะให้ซงเอ๋อร์นอนที่ห้องข้า”

เสียงเคี้ยวอาหารของจางอี้หมิงหยุดลงทันที เขาวางตะเกียบลง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เตรียมกระดาษและหมึกชั้นดีมาให้ข้าด้วย”

เมื่อสิ้นสุดมื้ออาหาร จางอี้หมิงก็พาตัวซงเอ๋อร์กลับห้องนอนตามปกติเหมือนดั่งทุกวัน

แม่นางซงเอ๋อร์ รูปร่างงดงามประดุจเทพธิดาจุติ ใบหน้างามละมุนราวกับหยกขาว ปากแดงระเรื่อดังกลีบกุหลาบ จมูกโด่งรับกับโครงหน้าประณีต คิ้วเรียวดั่งโค้งจันทร์ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายราวกับดวงดาราที่เปล่งประกายในราตรี เส้นผมยาวสลวยดำขลับ ร่วงหล่นดุจแพรไหมอันล้ำค่า ผิวกายนวลเนียนเปล่งประกายดังมุกเรืองรอง ทุกอิริยาบถของนางล้วนอ่อนหวานงดงามจนมิอาจละสายตา

แม้แต่จางหลันซือ น้องสาวของเขา ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่งามที่สุดในบรรดาคุณหนูชั้นสูงของเมืองหลวง ก็ยังคงด้อยกว่าซงเอ๋อร์อยู่หลายส่วน

จางอี้หมิงทอดสายตามองนางอย่างพึงใจ ในใจพลันคิดขึ้นว่า “โชคดีนักที่แม่นางซงเอ๋อร์เป็นของข้าเพียงผู้เดียว หากนางต้องถูกส่งไปให้คุณชายตระกูลใด ข้าคงก่อเหตุรุนแรงกับครอบครัวนั้นเป็นแน่”

เขายกแขนโอบร่างบางของซงเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน พานางเข้าไปในห้องนอน ทั้งสองไปนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ดวงดาวพร่างพราวระยิบระยับบนท้องฟ้ายามราตรี ส่องแสงกระทบกับเส้นผมดำขลับของซงเอ๋อร์ราวกับมุกดาราส่องแสงในรัตติกาล

จางอี้หมิงทอดสายตามองดาว สลับกับทอดมองใบหน้าของซงเอ๋อร์ ก่อนคิดในใจ “เจ้าว่าดวงดาวพวกนั้นงดงามหรือไม่”

“งดงามเจ้าค่ะ”

“น้อยกว่าเจ้าอยู่หลายส่วน…”

ซงเอ๋อร์เอียงอายเล็กน้อย ดวงหน้าของนางขึ้นสีระเรื่อราวกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ก่อนจะพยายามเปลี่ยนเรื่อง นางเอ่ยเสียงหวานว่า “คุณชาย ข้าน้อยมีเรื่องในสำนักศึกษาหยูเทียนจะเล่าให้ท่านฟัง ท่านอยากฟังหรือไม่?”

จางอี้หมิงวางจอกน้ำอุ่นลง พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "เชิญเจ้าเล่า" เขากล่าว พร้อมกับรินน้ำอุ่นเตรียมให้แม่นางน้อยอย่างใส่ใจ

ซงเอ๋อร์นั่งหลังตรง ก่อนเอ่ยอย่างตั้งใจ “วันนี้ท่านอาจารย์เล่าถึงแดนสวรรค์ แดนมนุษย์ และแดนปีศาจ ข้าน้อยฟังแล้วน่าสนใจมิน้อย เพียงแต่ไม่เข้าใจอยู่หลายส่วน คุณชายพอจะรู้หรือไม่ว่ามันเป็นเช่นไร?”

จางอี้หมิงฟังอย่างสนใจ ก่อนจะตบหน้าขาตัวเองเบาๆ แล้วกล่าว “เจ้า มานั่งตรงนี้ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง”

ซงเอ๋อร์เบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “คุณชาย ท่านจะมากเกินไปแล้ว” นางกล่าวพลางลุกไปนั่งบนตักอย่างเขินอาย

จางอี้หมิงยิ้มขัน ก่อนยื่นมือโอบเอวของนางอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเริ่มเล่า “โลกของเราแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ แดนสวรรค์ แดนมนุษย์ และแดนปีศาจ แต่ละแดนก็มีลัทธิฝึกตนใหญ่สองสาย คือ ลัทธิเทพ และลัทธิมาร”

ซงเอ๋อร์ตั้งใจฟัง ดวงตากลมโตของนางจับจ้องใบหน้าของจางอี้หมิง ขณะที่เขาเล่าต่อ “ลัทธิเทพของแดนสวรรค์บัดนี้แตกกระจาย ไร้ผู้นำและไร้พลัง ส่วนลัทธิมารของแดนสวรรค์กำลังเคลื่อนไหวอยู่ พวกมันอยู่เบื้องหลังการโจมตีสำนักเทียนหยางครั้งล่าสุด เป็นเหตุให้ข้าต้องลงมือสังหารศิษย์ทรยศถัวเค่อชี จนต้องเดินออกจากสำนัก เพราะผิดกฎห้ามสังหารศิษย์ร่วมสำนักไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม”

ซงเอ๋อร์ยกน้ำอุ่นให้จางอี้หมิงดื่ม พลางมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน

“เผ่าปีศาจก็เช่นกัน” จางอี้หมิงกล่าวต่อ “พวกที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีอาณาจักรต้าเฉิงเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาก็คือลัทธิมารของแดนปีศาจ เป็นเหตุให้ข้าบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี แต่โชคดีที่ข้ามีเจ้าคอยดูแลอยู่ข้างๆ จึงฟื้นขึ้นมาได้”

ซงเอ๋อร์ก้มหน้าลงเล็กน้อย หน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“แดนปีศาจยังมีลัทธิเทพอยู่ด้วย แต่แตกกระจายเป็นเผ่าต่างๆ เผ่าจิ้งจอก เผ่าปลา เผ่านก ต่างฝ่ายต่างชิงดีชิงเด่นกัน ปักษาอัคคีที่เคยโจมตีอาณาจักรต้าเฉิงร่วมกับลัทธิมารของแดนปีศาจ ก็มาจากเผ่านก คาดว่าคงถูกลัทธิมารกลืนกินพลังไปแล้ว”

ซงเอ๋อร์พยักหน้า “แล้วแดนมนุษย์เล่า?”

“แดนมนุษย์ก็มีลัทธิเทพและลัทธิมารเช่นกัน แต่ละอาณาจักรล้วนมีสำนักฝึกตนของตนเอง ซึ่งแต่ละสำนักก็เลือกฝึกตนตามแนวทางที่แตกต่างกัน เวลานี้ยังไม่มีใครเป็นผู้นำที่แท้จริง” จางอี้หมิงอธิบาย

ซงเอ๋อร์เอียงคอ ก่อนถาม “แล้วสำนักเทียนหยางล่ะ? นับเป็นลัทธิใด?”

จางอี้หมิงยิ้มบาง “ความจริงแล้ว สำนักเทียนหยางอยู่กึ่งกลาง แต่ก็เอนเอียงไปทางลัทธิเทพ แต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งครัด อีกทั้งยังระวังมิให้เข้าสู่เส้นทางมารเช่นกัน”

ซงเอ๋อร์พยักหน้าช้าๆ ก่อนเอ่ย “ช่างวุ่นวายนัก”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “ยังมีเรื่องมากมายที่ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังได้ ข้าเคยอ่านตำนานศิลาเฝิ่นเหิง นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ไว้วันหลังข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”

ซงเอ๋อร์ยิ้มบาง ดวงตาเป็นประกายก่อนพยักหน้า

จางอี้หมิงมองนางอย่างพึงใจ ก่อนกล่าวเสียงนุ่ม “คืนนี้เรานอนกันเถอะ”

ซงเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ

จากนั้นจางอี้หมิงก็อุ้มร่างบางของนางขึ้น ประคองพานางไปยังเตียงนอนอย่างอ่อนโยน แม้จะนอนร่วมกันแทบทุกคืน นางก็ยังให้เพียงแค่นอนกอดเหมือนเดิม จางอี้หมิงยังคงรอคอยช่วงเวลาในการพิชิตสาวน้อยต่อไปอย่างเต็มใจไม่ขัดขืน

ยามเช้ามืด เงาจันทร์จางหายไปในม่านฟ้าแห่งรุ่งอรุณ จางอี้หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ร่างบางของซงเอ๋อร์ยังคงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ลมหายใจของนางสม่ำเสมอ แฝงด้วยความสงบสุข เขาก้มลงมองใบหน้าของนางแวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนออกอย่างแผ่วเบา

เขาเดินออกจากห้อง ล้างหน้าล้างตา ก่อนมุ่งตรงไปยังลานฝึกตน มือแกร่งคว้าดาบประจำกายของสำนักเทียนหยาง ดาบเล่มนี้เดิมทีตามกฎแล้ว ศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนักจะต้องคืนอาวุธแก่สำนัก แต่สำหรับจางอี้หมิง เจ้าสำนักกลับอนุญาตให้เขานำดาบออกมา โดยให้เหตุผลว่าเป็นการออกจากสำนักชั่วคราว… ทว่าชั่วคราวนี้จะยาวนานเพียงใด เขาเองก็ไม่อาจทราบได้

ในลานฝึก ต้นไม้สูงใหญ่ไหวเอนตามสายลมยามเช้า เสียงดาบฟาดฝืนไม้ดังเป็นจังหวะ สะท้อนถึงการฝึกฝนที่ไม่ขาดตกบกพร่องของจางอี้หมิง เขากวัดแกว่งดาบในมือ ฟาดฟันออกไปอย่างเฉียบคมและหนักแน่น ลมหอบเบาๆ พัดผ่าน ยามที่ปลายดาบตวัดผ่านอากาศ เสียงลมดาบเฉือนอากาศดังแว่ว

ทันใดนั้น หอกเล่มหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า แทงปักลงกลางลานฝึกตน เสียงกระแทกของโลหะกับพื้นหินก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ ดวงตาของจางอี้หมิงทอประกายวาววับ เขาก้าวไปข้างหน้า มองดูหอกเล่มนั้น ก่อนแค่นยิ้มมุมปาก เอ่ยขึ้นว่า

“กลับมาแล้วหรือ?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 47 คมดาบไร้ลมปราณและไร้ปราณี

    ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 46 ขอเพียงสามกระบวนท่า

    “หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 45 เมื่อเชียนหวงปรากฏกาย

    สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status