ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดัน
ทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง
เจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า
“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”
แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ
“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่า”
ทุกคนเงียบกริบตั้งใจฟัง ไม่มีใครกล้าเอ่ยแทรก เจ้าสำนักกู่เจิ้งวางถ้วยชาลง แล้วหันมามองเหล่าศิษย์โดยรอบ สีหน้าของเขาราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึม
“ข้าคงต้องให้พวกเจ้าออกไปสืบหา ส่วนสำนักนี้ ข้าจะเฝ้าเอง”
กล่าวจบ เขาก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ส่วนเรื่องของศิษย์ในสำนัก… ถัวเค่อชีตายไปแล้ว ถูกจิตมารครอบงำจนทำเรื่องทรยศสำนัก น่าเสียดายยิ่งนัก” เขาถอนหายใจ “ข้าเห็นเขาเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล แต่คนที่ไม่รู้จักหักห้ามความคิดริษยาจนเกิดจิตมาร มักมีจุดจบเช่นนี้”
ทุกคนยังคงเงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะออกความเห็น
“จางอี้หมิง”
เสียงเรียกชื่อเขาทำให้จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้น เขารับรู้ถึงความกดดันจากสายตาของอาจารย์
“เจ้าตัดสินใจได้ไม่ดีนัก จริงอยู่ที่ถัวเค่อชีกระทำความผิด เพียงแต่การกระทำของเจ้านั้นขัดต่อกฎของสำนัก หากพิจารณาดีๆ ก็ไม่ผิดอะไรมากหรอก แต่การกระทำของเจ้าที่เต็มไปด้วยโทสะ เสี่ยงต่อการที่จิตจะเข้าสู่ห้วงมารเช่นกัน”
เจ้าสำนักหยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ
“ดังนั้น… เจ้าคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”
สิ้นคำ ทุกคนในห้องพลันแตกตื่น ศิษย์พี่บางคนขยับตัวขึ้นเหมือนจะทักท้วง แต่ทันใดนั้นเอง เจ้าสำนักดีดนิ้วเบาๆ
“ปัง!”
เสียงคลื่นพลังเบาๆ แผ่ซ่านออกไป ทุกคนรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
จางอี้หมิงรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่มิติอีกแห่งหนึ่ง รอบตัวกลายเป็นความว่างเปล่า ที่นี่มีเพียงเขากับเจ้าสำนักกู่เจิ้งเท่านั้น
“เสี่ยวอี้เอ๋ย” เสียงของเจ้าสำนักฟังดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจ นี่ไม่ใช่การขับออกจากสำนักอย่างเป็นทางการ ข้าเพียงให้เจ้าไปพักผ่อน”
จางอี้หมิงขมวดคิ้ว “พักผ่อน?”
“ใช่” เจ้าสำนักพยักหน้า “จากนี้ไป ข้าจะมอบภารกิจบางอย่างให้เจ้า… เป็นภารกิจที่ศิษย์แห่งเทียนหยางมิอาจทำได้ และมีเจ้าเพียงคนเดียวที่กระทำได้”
จางอี้หมิงมองอาจารย์ด้วยความสงสัย “แล้วภารกิจนั้นคืออะไร?”
“เมื่อถึงเวลา เจ้าจะรู้เอง”
เจ้าสำนักพูดเพียงเท่านั้น แล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออก “เจ้าจงจำไว้” เสียงของเจ้าสำนักเข้มขึ้น “ห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
จางอี้หมิงพยักหน้ารับคำสั่ง
“ดาบของสำนัก เจ้าเก็บไว้ใช้ ส่วนดาบติดตัวของเจ้าเล่มนั้น…” เจ้าสำนักมองลึกเข้าไปในดวงตาของจางอี้หมิง “ไม่จำเป็น อย่าใช้มันเด็ดขาด”
จางอี้หมิงกำมือแน่น เขารู้ดีว่าดาบเล่มนั้นที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมีอานุภาพรุนแรงมากเพียงไร
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ทันใดนั้น เจ้าสำนักดีดนิ้วอีกครั้ง ในโลกแห่งความเป็นจริง เวลาผ่านไปเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น และไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจางอี้หมิงในเมื่อครู่
จางอี้หมิงก้าวออกมาจากที่นั่ง แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าอาจารย์ คารวะด้วยความเคารพสูงสุด
“เป็นอาจารย์เพียงครั้งเดียว ถือเป็นอาจารย์ตลอดชีวิต ศิษย์ขอตัวลา”
เขาก้มศีรษะลงแนบพื้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ศิษย์พี่คนอื่นๆ มองตามด้วยสีหน้าตกตะลึง บางคนพยายามจะทักท้วง แต่เจ้าสำนักยกมือขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็นเชิงห้าม
ก่อนที่จางอี้หมิงจะพ้นประตู เจ้าสำนักกล่าวขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย “สมดุลลมปราณเจ้ากลับมาปกติแล้วหนิ ยินดีด้วย”
จางอี้หมิงชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นเขาหันกลับมาคารวะอีกครั้ง แล้วประตูก็ปิดลง…
แสงแดดยามเช้าส่องกระทบเรือนพักของจางอี้หมิง เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเรียบง่าย ตรงบ่าแบกดาบสองเล่ม หนึ่งคือดาบประจำสำนัก อีกหนึ่งคือดาบคู่ใจที่ติดตัวมาตลอดชีวิต
เขาก้าวเดินออกไปอย่างเงียบงัน ปลายทางของเขาคือประตูใหญ่แห่งสำนักเทียนหยาง เมื่อมาถึงที่นั่น ศิษย์น้องซ่งอินรีบก้าวมาดักหน้าแล้วคารวะด้วยความเคารพ
“ศิษย์พี่จากกันครานี้ ไม่รู้จะได้พบกันอีกเมื่อใด ข้าขอมอบพู่กันนี้เป็นของขวัญจากลา ต่อจากนี้ วิชาเวทอักษรที่ท่านถ่ายทอดให้ ข้าจะเป็นผู้สืบทอดและกลายเป็นอันดับหนึ่งในสำนักแทนท่านเอง”
จางอี้หมิงรับพู่กันมา พลางแค่นเสียงหัวเราะ “คิดจะมาแทนข้าน่ะหรือ? มันไม่ง่ายนักหรอก!”
“หากอยากพบข้าน่ะหรอ ก็ไปที่…” เขากำลังจะกล่าวต่อว่าหากคิดถึงกัน ก็ไปพบกันที่สำนักสังคีต ทว่าทันทีที่เหลือบเห็นแม่นางหลินหนิงและหวงจื่อรั่วยืนอยู่ด้านข้าง คำพูดนั้นก็ต้องกลืนลงไปเสีย เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง
ศิษย์น้องซุนสีห่าวเดินเข้ามาคุกเข่าคารวะ แล้วกล่าวสั้น ๆ ว่า “พี่เขย ข้าจะคิดถึงท่าน!”
จางอี้หมิงส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วบอกให้ลุกขึ้น “หากอยากเรียกข้าว่าพี่เขย เจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนให้มาก ถึงเวลานั้นข้าค่อยพิจารณาให้เจ้าเข้าหาน้องสาวข้า”
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากเหล่าศิษย์ที่ยืนอยู่รอบ ๆ บรรยากาศที่เศร้าหมองพลันผ่อนคลายลง หลินหนิงเดินเข้ามา นางมีดวงตากลมโตสดใสเป็นปกติ แต่ในเวลานี้กลับมีแววเศร้าหมองลงไปมาก
“ศิษย์พี่ พวกเราจะพบกันอีกหรือไม่?” นางถามเสียงแผ่วเบา
“วันหยุดเจ้าก็เดินตามแม่นางจื่อรั่วไปที่จวนข้าสิ ข้าจะเลี้ยงหม้อไฟเจ้าเอง” จางอี้หมิงตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลินหนิงอมยิ้มเล็กน้อย “ตกลง!” นางรับคำพร้อมดวงตาที่เป็นประกายขึ้นเล็กน้อย
แม่นางน้อยเอ๋ย ข้ามีเวลาอยู่กับเจ้าน้อยไปจริงๆ พบกันคราวหน้าข้าจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านเลย
หวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ก้าวออกมา นางเป็นหญิงงามผู้สง่างาม และเปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็น “ข้ามาที่นี่เพราะคำสั่งของท่านอ๋องให้คอยคุ้มกันท่าน ฉะนั้นท่านไม่อยู่ที่นี่แล้ว ข้าขอติดตามท่านไปด้วยได้หรือไม่?”
ผิดแล้ว เจ้าไม่เคยคุ้มกันข้า เอาเถอะ ข้าจะให้คนงามอย่างเจ้ามาปกป้องข้าได้อย่างไร
จางอี้หมิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ “เจ้าเป็นคนของจวนข้า ฉะนั้นจงฟังคำสั่งข้า”
หวงจื่อรั่วนิ่งเงียบ ตั้งใจฟังคำสั่ง
“จงตั้งใจฝึกฝนให้ดี และคอยปกป้องแม่นางหลินหนิงให้ข้าด้วย หากเจ้าไม่เก่งขึ้น ข้าจะลงโทษเจ้า!”
หวงจื่อรั่วพยักหน้ารับคำ แต่นัยน์ตาของนางเผยให้เห็นความรู้สึกบางอย่าง ที่ไม่อาจเปิดเผยมันออกมา ‘ข้าเพียงอยากอยู่ข้างกายท่านเท่านั้น…’
เมื่อกล่าวอำลากับทุกคนเสร็จ จางอี้หมิงมุ่งหน้าไปยังประตูสำนัก เมื่อไปถึง เขาพบว่ามีหญิงงามอีกคนหนึ่งรออยู่ที่นั่น เจียงเยว่ ศิษย์พี่ที่เป็นดั่งพายุพัดผ่านหัวใจของเขา สีหน้างดงามของนางแฝงด้วยความเศร้า
“จะร้องไห้ไปใย? น่าขันยิ่งนัก” จางอี้หมิงกล่าว พร้อมเสียงหัวเราะ หึหึ เบาๆ
“หากตอนนั้นเจ้าไม่ปกป้องข้า เรื่องเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น..." เจียงเยว่เอ่ยเสียงสั่นไหว
จางอี้หมิงก้าวเข้าไปใกล้ กระซิบเบา ๆ “หากข้าไม่ทำเช่นนั้น ข้าจะรู้ถึงจิตใจท่านหรือ? ถึงอย่างไรก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”
เจียงเยว่หน้าแดงเล็กน้อย นางไม่กล่าวสิ่งใดต่อ แต่หยิบถุงหอมใบหนึ่งออกมา แล้วแอบยัดใส่มือเขา
“เก็บไว้ให้ดี ห้ามห่างกายเด็ดขาด... เจอกันคราหน้าค่อยเอามาคืนข้า”
จางอี้หมิงสูดกลิ่นหอมจากถุงหอมเบา ๆ ก่อนพยักหน้า “ตกลง…ตอนข้าไม่อยู่ ท่านอย่าหวั่นไหวกับใครล่ะ”
“เจ้านั่นแหละ” เจียงเยว่หน้าแดงเล็กน้อย
“ข้าไม่รับปาก!”
จากนั้น เขาหันหลังเดินออกไปจากประตูสำนัก ไม่หันกลับมามอง มือข้างหนึ่งโยกขึ้นโบกเบา ๆ เป็นการลาจาก
เหล่าศิษย์พี่ ศิษย์น้อง และสตรีทั้งหลายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตของเขายืนมองแผ่นหลังนั้นไกลออกไป ราวกับว่าชะตากำลังจะพัดพาเขาไปสู่เส้นทางใหม่ที่ไม่อาจคาดเดาได้และก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร
— จบภาคหนึ่ง —
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร