Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

Share

บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมาก

พ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้น

จางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซน

ข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้ม

ซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูง

รถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่

“พี่สะใภ้ เกิดอะไรขึ้นกัน?” นางเอ่ยถามพลางหันไปมองซงเอ๋อร์

ซงเอ๋อร์ขยับม่านหน้าต่างขึ้น เปิดเผยให้เห็นบรรยากาศเบื้องนอก นางเหลือบมองไปยังต้นแถว ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย “เหมือนต้นทางจะอยู่ที่ร้านผ้าแพรต่วนของนายหญิงเจ้าค่ะ”

จางหลันซือขมวดคิ้ว “ร้านของท่านแม่หรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ สงสัยวันนี้คงมีเนื้อผ้าชั้นดีของใหม่ออกขาย”

“ผ้าชั้นดีของใหม่? ทำไมข้าจึงไม่รู้เรื่อง”

“ข้าน้อยไม่ทราบ”

จางหลันซือมิรอช้า นางเอ่ยสั่งคนขับรถม้า “ไปที่ร้านของท่านแม่โดยเร็ว!”

คนขับรถม้ารับคำสั่ง ก่อนกระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้า เสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังก้อง รถม้าสีดำขลับพุ่งตรงไปยังร้านผ้าแพรต่วนของสกุลจางอย่างรวดเร็ว

เมื่อรถม้าหยุดลงตรงหน้าร้านผ้าแพรของสกุลจาง ภาพที่ทั้งสองเห็นคือ จางอี้หมิง กำลังนั่งเขียนอักษรภาพขายอยู่หน้าร้านผ้าแพรต่วนของจวนสกุลจาง พู่กันในมือของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม เส้นหมึกดำสนิทลากไปบนกระดาษเป็นตัวอักษรที่แข็งแรงแต่สง่างาม รอบตัวมีผู้คนมากมายมุงดูและรอซื้อผลงานของเขา

นับตั้งแต่วันที่จางอี้หมิงก้าวออกจากสำนักเทียนหยาง สิ่งที่เขาทำในตอนกลางวันคือการเขียนอักษรภาพขายที่หน้าร้านของมารดาเลี้ยง

ส่วนช่วงเย็นจะใช้เวลาฝึกฝนวิชาดาบและเดินลมปราณในลานบ้าน หลังจากสูญเสียสมดุลพลังปราณเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา บัดนี้เขาได้ทุกอย่างกลับคืนมาแล้ว แต่สิ่งที่แลกมาคือการก้าวออกจากสำนักเทียนหยาง สำนักฝึกตนอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรต้าเฉิง เพราะว่ามีแค่แห่งเดียว

แม้จะเสียสถานะศิษย์สำนักใหญ่ แต่การได้ศิษย์พี่เจียงเยว่คนงามมาช่วยปรับสมดุลพลังปราณให้ก็นับว่าคุ้มค่า น่าเสียดายยิ่งนัก ที่นับแต่วันนั้นยังไม่มีโอกาสได้สานต่อ

ส่วนในยามกลางคืน… ส่วนใหญ่มักใช้เวลานอนกอดแม่นางซงเอ๋อร์ แต่บางครั้งก็แอบหนีไปหาความสำราญที่สำนักสังคีตกับแม่นางฉีเหอเป็นบางครั้ง ซงเอ๋อร์ของข้ายังไม่ยินยอมให้ข้าล่วงล้ำอาณาเขต เอาเถอะ วันใดวันหนึ่งก็ต้องมาถึง ฉะนั้นก็ปล่อยทุกอย่างตามธรรมชาติเถอะ

ช่วงเวลาที่ก้าวออกจากสำนักเทียนหยางจึงเป็นช่วงเวลาพักผ่อนที่คุ้มค่ายิ่งนัก เพียงแต่ไม่รู้อีกนานแค่ไหนที่ภารกิจไถ่บาปซึ่งท่านอาจารย์เจ้าสำนักกล่าวถึงจะมาถึง

จางหลันซือก้าวลงจากรถม้า กวาดสายตามองพี่ชายของนางอย่างสงสัยก่อนเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่?”

จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไม่เห็นหรือ? ข้ากำลังทำมาหากิน แล้วเจ้าเล่า? พาซงเอ๋อร์ของข้าไปไหนมา?”

ซงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างจางหลันซือหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า “ของข้า” แต่ก็ยังคงนิ่งสงบ

“พวกข้าไปเรียนหนังสือเพิ่งกลับมา” จางหลันซือตอบ ก่อนจะมองพี่ชายด้วยสายตาสงสัย “ท่านไม่เบื่อหรือ ทำเช่นนี้ทุกวัน?”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “หากข้าเบื่อ ก็แค่นำเงินไปต่อเงินที่สำนักบ่อนเบี้ย หรือไปแข่งเดินหมากกับพวกบัณฑิตจืดชืดที่สำนักเดินหมาก เพียงเท่านี้ก็แก้เบื่อได้”

จางหลันซือหัวเราะคิกคัก ก่อนแกล้งเอ่ยทีเล่นทีจริง “แล้ว… สำนักสังคีตเล่า ท่านได้ไปหรือไม่?”

จางอี้หมิงแสร้งทำหน้าขึงขัง ก่อนตอบเสียงหนักแน่น “สถานที่เช่นนั้นไม่ใช่สถานที่ของผู้ชายสกุลจาง!”

กล่าวจบ เขาลอบส่งยิ้มให้ซงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ คิดในใจว่า หากข้าไม่ตอบเช่นนี้ ซงเอ๋อร์คนงามของข้าคงจะมองข้าเป็นคนเจ้าชู้มักมากในกาม เหอๆ… ใช้คำว่า “ผู้ชายสกุลจาง” เช่นนี้ ท่านพ่อของข้าก็จะมีภาพลักษณ์ที่ดีไปด้วย หวังว่ามารดาเลี้ยงคงได้ยินคำพูดแสนจริงใจของข้า

จากนั้นจางอี้หมิงก็หันไปบอกน้องสาว “เจ้ากลับไปรอที่บ้าน เดี๋ยวพี่ใหญ่จะหาของกินดีๆ ไปให้”

จางหลันซือพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปทางซงเอ๋อร์ "พวกเราไปกันเถอะ" จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถม้ากลับไปยังจวนสกุลจาง ทิ้งให้จางอี้หมิงก้มหน้าก้มตาเขียนอักษรขายต่อไป

ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมาก

พ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้น

จางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซน

ข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้ม

ซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูง

รถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่

“พี่สะใภ้ เกิดอะไรขึ้นกัน?” นางเอ่ยถามพลางหันไปมองซงเอ๋อร์

ซงเอ๋อร์ขยับม่านหน้าต่างขึ้น เปิดเผยให้เห็นบรรยากาศเบื้องนอก นางเหลือบมองไปยังต้นแถว ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย “เหมือนต้นทางจะอยู่ที่ร้านผ้าแพรต่วนของนายหญิงเจ้าค่ะ”

จางหลันซือขมวดคิ้ว “ร้านของท่านแม่หรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ สงสัยวันนี้คงมีเนื้อผ้าชั้นดีของใหม่ออกขาย”

“ผ้าชั้นดีของใหม่? ทำไมข้าจึงไม่รู้เรื่อง”

“ข้าน้อยไม่ทราบ”

จางหลันซือมิรอช้า นางเอ่ยสั่งคนขับรถม้า “ไปที่ร้านของท่านแม่โดยเร็ว!”

คนขับรถม้ารับคำสั่ง ก่อนกระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้า เสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังก้อง รถม้าสีดำขลับพุ่งตรงไปยังร้านผ้าแพรต่วนของสกุลจางอย่างรวดเร็ว

เมื่อรถม้าหยุดลงตรงหน้าร้านผ้าแพรของสกุลจาง ภาพที่ทั้งสองเห็นคือ จางอี้หมิง กำลังนั่งเขียนอักษรภาพขายอยู่หน้าร้านผ้าแพรต่วนของจวนสกุลจาง พู่กันในมือของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม เส้นหมึกดำสนิทลากไปบนกระดาษเป็นตัวอักษรที่แข็งแรงแต่สง่างาม รอบตัวมีผู้คนมากมายมุงดูและรอซื้อผลงานของเขา

นับตั้งแต่วันที่จางอี้หมิงก้าวออกจากสำนักเทียนหยาง สิ่งที่เขาทำในตอนกลางวันคือการเขียนอักษรภาพขายที่หน้าร้านของมารดาเลี้ยง

ส่วนช่วงเย็นจะใช้เวลาฝึกฝนวิชาดาบและเดินลมปราณในลานบ้าน หลังจากสูญเสียสมดุลพลังปราณเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา บัดนี้เขาได้ทุกอย่างกลับคืนมาแล้ว แต่สิ่งที่แลกมาคือการก้าวออกจากสำนักเทียนหยาง สำนักฝึกตนอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรต้าเฉิง เพราะว่ามีแค่แห่งเดียว

แม้จะเสียสถานะศิษย์สำนักใหญ่ แต่การได้ศิษย์พี่เจียงเยว่คนงามมาช่วยปรับสมดุลพลังปราณให้ก็นับว่าคุ้มค่า น่าเสียดายยิ่งนัก ที่นับแต่วันนั้นยังไม่มีโอกาสได้สานต่อ

ส่วนในยามกลางคืน… ส่วนใหญ่มักใช้เวลานอนกอดแม่นางซงเอ๋อร์ แต่บางครั้งก็แอบหนีไปหาความสำราญที่สำนักสังคีตกับแม่นางฉีเหอเป็นบางครั้ง ซงเอ๋อร์ของข้ายังไม่ยินยอมให้ข้าล่วงล้ำอาณาเขต เอาเถอะ วันใดวันหนึ่งก็ต้องมาถึง ฉะนั้นก็ปล่อยทุกอย่างตามธรรมชาติเถอะ

ช่วงเวลาที่ก้าวออกจากสำนักเทียนหยางจึงเป็นช่วงเวลาพักผ่อนที่คุ้มค่ายิ่งนัก เพียงแต่ไม่รู้อีกนานแค่ไหนที่ภารกิจไถ่บาปซึ่งท่านอาจารย์เจ้าสำนักกล่าวถึงจะมาถึง

จางหลันซือก้าวลงจากรถม้า กวาดสายตามองพี่ชายของนางอย่างสงสัยก่อนเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่?”

จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไม่เห็นหรือ? ข้ากำลังทำมาหากิน แล้วเจ้าเล่า? พาซงเอ๋อร์ของข้าไปไหนมา?”

ซงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างจางหลันซือหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า “ของข้า” แต่ก็ยังคงนิ่งสงบ

“พวกข้าไปเรียนหนังสือเพิ่งกลับมา” จางหลันซือตอบ ก่อนจะมองพี่ชายด้วยสายตาสงสัย “ท่านไม่เบื่อหรือ ทำเช่นนี้ทุกวัน?”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “หากข้าเบื่อ ก็แค่นำเงินไปต่อเงินที่สำนักบ่อนเบี้ย หรือไปแข่งเดินหมากกับพวกบัณฑิตจืดชืดที่สำนักเดินหมาก เพียงเท่านี้ก็แก้เบื่อได้”

จางหลันซือหัวเราะคิกคัก ก่อนแกล้งเอ่ยทีเล่นทีจริง “แล้ว… สำนักสังคีตเล่า ท่านได้ไปหรือไม่?”

จางอี้หมิงแสร้งทำหน้าขึงขัง ก่อนตอบเสียงหนักแน่น “สถานที่เช่นนั้นไม่ใช่สถานที่ของผู้ชายสกุลจาง!”

กล่าวจบ เขาลอบส่งยิ้มให้ซงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ คิดในใจว่า หากข้าไม่ตอบเช่นนี้ ซงเอ๋อร์คนงามของข้าคงจะมองข้าเป็นคนเจ้าชู้มักมากในกาม เหอๆ… ใช้คำว่า “ผู้ชายสกุลจาง” เช่นนี้ ท่านพ่อของข้าก็จะมีภาพลักษณ์ที่ดีไปด้วย หวังว่ามารดาเลี้ยงคงได้ยินคำพูดแสนจริงใจของข้า

จากนั้นจางอี้หมิงก็หันไปบอกน้องสาว “เจ้ากลับไปรอที่บ้าน เดี๋ยวพี่ใหญ่จะหาของกินดีๆ ไปให้”

จางหลันซือพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปทางซงเอ๋อร์ "พวกเราไปกันเถอะ" จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถม้ากลับไปยังจวนสกุลจาง ทิ้งให้จางอี้หมิงก้มหน้าก้มตาเขียนอักษรขายต่อไป

เมื่อครั้งที่จางอี้หมิงเป็นยอดฝีมือของสำนักเทียนหยางนั้น เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้วิชาเวทอักษรและวิชาดาบ ซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่ง สำหรับผู้ฝึกตนหนึ่งคนที่จะเชี่ยวชาญทั้งสายเวทและสายยุทธ์

ตัวอักษรที่เขาเขียนนั้นนับว่ามีความงดงาม มั่นคง และให้ความรู้สึกและพลังอันนุ่มลึก เมื่อครั้งที่แอบหนีออกจากสำนักไปเที่ยวสำนักสังคีต เคยได้เข้าประลองการเขียนอักษรเพื่อเข้าไปหลับนอนกับดาวเด่น ก็เป็นเขาที่ได้รับชัยชนะ และได้ประกอบกิจการเข้าจังหวะกับแม่นางฉีเหอ

น่าเสียดายที่ตอนนั้นแม่นางฉีเหอกับจางอี้หมิงไม่ได้มีจิตคิดลึกซึ้งต่อกัน แม้ว่าครานั้นแม่นางฉีเหอจะยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ไม่สามารถช่วยจางอี้หมิงปรับสมดุลลมปราณได้สำเร็จ

เมื่อเวลาผ่านไป การค้าขายในวันนี้ก็เสร็จสิ้น เขาเดินทางกลับพร้อมกับท่านอ๋องจางส่วงผู้เป็นบิดา และมารดาเลี้ยงนามว่าหลี่เอ้อเหมียว

การค้าขายผ้าแพรต่วนนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลหลักคือ หลี่เอ้อเหมียว แม้ว่าการที่สตรีออกทำการค้าจะเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยนิยมทำ แต่ด้วยความสามารถในการคิดบัญชีของนาง ยากนักที่จะหาคนเปรียบเทียบได้ ส่วนจางส่วงผู้เป็นบิดานั้น ก็ทำหน้าที่วาดภาพขายภายในร้าน และออกแบบลวดลายปักเย็บอันสวยงามต่างๆ

แม้จางส่วงจะเป็นอ๋อง แต่ก็ไม่มีหน้าที่อันใด มีแค่ตำแหน่งและเงินทองตามที่ราชวงศ์ปัจจุบันจะให้เกียรติและเลี้ยงดูเท่านั้น

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอตัวก่อน”

            หลี่เอ้อเหมียวมารดาเลี้ยงเปิดผ้าม่านออกเล็กน้อย มองดูบุตรชายกำพร้าแม่ผู้นี้ที่กำลังขี่ม้าอยู่ด้านข้าง “คุณชายใหญ่จะไปที่ใดเล่า”

“ข้าสัญญากับหลันซือท่านว่าจะซื้ออาหารชั้นดีไปให้”

“เหตุใดต้องสิ้นเปลือง! อาหารที่บ้านมีมากมาย”

เสียงอันทุ้มใหญ่ของบิดาดังขึ้นมาจากภายในรถม้า ขณะที่มารดาเลี้ยงพยักหน้าเห็นด้วยกับคุณชายใหญ่

“ท่านควรบอกบุตรสาวท่าน ให้ทานแต่พอดี” กล่าวจบ จางอี้หมิงควบม้าแยกออกไป

จางส่วงลูบเคราเล็กน้อยทำหน้าภูมิใจเมื่อได้แสดงอำนาจ

“เหตุใดท่านกล่าววาจาเช่นนี้ หมิงเอ๋อร์จากบ้านมานาน จะแปลกอะไรหากจะอยากสานสัมพันธ์กับคนในบ้าน”

จางส่วงสีหน้าถอดสี เมื่อภรรยาแสดงอำนาจเหนือกว่า

“จริงของเจ้า ปกติบุตรชายข้ากับบ้านเดือนละครั้ง ครานี้กลับมานานนับเดือนแล้ว”

จางอี้หมิงขี่ม้ามาตามตลาด มองเห็นหออาหารรสเลิศโอชา หนึ่งในภัตตาคารชั้นดีของเมืองชั้นใน เข้าไปสั่งเป็ดพะโล้หนึ่งชุดกลับบ้าน หูเจ้ากรรมพลันได้ยินเสียงบางอย่างจากนักเล่านิทาน…

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 47 คมดาบไร้ลมปราณและไร้ปราณี

    ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 46 ขอเพียงสามกระบวนท่า

    “หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 45 เมื่อเชียนหวงปรากฏกาย

    สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status