จางอี้หมิงก้าวออกจากประตูห้องพักฟื้นของหวงจื่อรั่ว ที่ด้านนอก มีแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์แห่งหน่วยแพทย์กำลังรออยู่ นางประสานมือคารวะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ศิษย์พี่ฟางหรงกำชับไว้ว่า ท่านต้องแช่ตัวในอ่างยาทุกเจ็ดวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”
ที่หน่วยแพทย์แห่งนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดก็คือศิษย์พี่ฟางหรง และนางก็เป็นหัวหน้ากับผู้ฝึกสอน ให้แก่ศิษย์ในหน่วยแพทย์เหล่านี้ด้วย
จางอี้หมิง เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ
“ข้าต้องแช่ที่นี่หรือกลับไปแช่ที่บ้าน?”
“ตามที่ศิษย์พี่สะดวก”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างขบขัน “หากข้าแช่ที่นี่ จะมีศิษย์สาวๆ มาคอยบีบนวดให้ข้าหรือไม่?”
ผิงกั๋ว มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนตอบอย่างจริงจัง
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
น่าเสียดายยิ่งนัก!
แม่นางผิงกํ่วนั้นเป็นดรุณีสาวที่มีใบหน้างดงาม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับแม่นางหลินหนิงก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับแม่นางหวงจื่อรั่ว ก็นับว่าด้อยกว่าแบบพลิกฝ่ามือ
แต่หากเปรียบความงามระหว่างแม่นางหวงจื่อรั่วกับศิษย์พี่ฟางหรง ในสายตาของจางอี้หมิงพบว่ามีความสุสีใกล้เคียงกัน มากกว่าศิษย์พี่เจียงเยว่อยู่บ้าง
จางอี้หมิงหัวเราะเสียงดังแล้วโบกมือ
“ถ้าเช่นนั้น จัดชุดยามาให้ข้า ข้าจะกลับไปแช่ที่บ้านพักเอง”
ผิงกั๋ว พยักหน้าแล้วพูด “เชิญศิษย์พี่รอสักครู่ ข้าจะไปนำชุดยามาให้”
จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในห้องยา ทิ้งให้จางอี้หมิงยืนรอที่ด้านนอก
ห้องพักฟื้น
ภายในห้องพักฟื้นที่ หวงจื่อรั่ว นอนอยู่ หลินหนิงนั่งอยู่ข้างเตียง คุยกับหวงจื่อรั่วที่เพิ่งฟื้นตัวด้วยความตื่นเต้น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสี่ยวอี้คือใคร? เขาคือท่านจางอี้หมิง ศิษย์ระดับสูงของสำนักเชียวนะ!”
หวงจื่อรั่ว ยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ข้ารู้!”
หลินหนิง เบิกตากว้างอย่างตกใจ “รู้อยู่แล้ว? เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หวงจื่อรั่วถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ข้ารู้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะตัวข้าเองถูกท่านอ๋องจางส่วงส่งมาที่นี่ เพื่อคอยคุ้มครองจางอี้หมิงในช่วงที่เขาต้องฟื้นฟูพลังปราณ”
นางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“แต่เพียงแค่ตั้งแต่มาที่นี่ ตัวข้ากลับยังไม่เคยทำหน้าที่นี้เลย มีแต่เขาที่คอยช่วยเหลือข้าอยู่ตลอด”
หลินหนิงจับแขนหวงจื่อรั่วเบาๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เจ้ากับเขา...แท้จริงแล้วเป็นอะไรกัน?”
หวงจื่อรั่ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“นายกับบ่าว”
หลินหนิงได้ยินคำตอบนั้นก็เงียบไป ไม่พูดอะไรต่อ หวงจื่อรั่วเหลือบมองหลินหนิงเล็กน้อย ก่อนถามกลับ
“แล้วเจ้าเล่า? เจ้าชอบเขาหรือ?”
หลินหนิง หน้าแดงเล็กน้อย เธอส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่! ข้าจะไปชอบเขาได้ยังไง?”
ด้านนอกห้องพักฟื้น
แม่นางผิงกั๋ว เดินกลับมาพร้อมชุดยาสมุนไพรสำหรับแช่ตัวในมือมัดหนึ่ง นางส่งให้จางอี้หมิงพร้อมพูด
“ท่านต้มน้ำในอ่างที่บ้าน จากนั้นเทยาพวกนี้ลงไป แล้วแช่ตัวสักครึ่งชั่วยาม จะช่วยฟื้นฟูร่างกายของท่านได้”
จางอี้หมิง รับชุดยามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบใจเจ้ามาก”
ก่อนเดินจากไป เขาหันกลับมามองผิงกั๋วอีกครั้ง
“ฝากดูแลแม่นางสองคนนั้นด้วยนะ”
ผิงกั๋ว พยักหน้ารับคำ จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยก่อนหันหลังเดินไปทางบ้านพักของเขา
ระหว่างทางเดินกลับบ้านพัก จางอี้หมิง นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจำได้รางๆ ว่าที่บ้านพักของเขามีบางสิ่งที่สำคัญ แต่กลับนึกไม่ออก
เมื่อมาถึงบ้านพัก เขาเห็น ม่านพลังป้องกัน ที่ล้อมรอบบ้านไว้ ม่านพลังนี้มีคุณสมบัติป้องกันบุคคลภายนอกไม่ให้เข้ามา แต่เพราะม่านพลังนี้เกิดจากพลังปราณของจางอี้หมิงเอง เขาจึงเดินทะลุเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหา
เมื่อเข้าไปในบ้านพัก เขาก็เห็น ศิษย์พี่เจียงเยว่ ผู้มีใบหน้างดงามปานหยกขาว กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะหนังสือของเขา นางยังคงสง่างามแม้ในท่วงท่าที่เรียบง่าย กับหน้าอกทั้งสองที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น
“ท่าทางคงจะหนักน่าดู” จางอี้หมิงลอบคิดเงียบๆ ในใจ
เมื่อเห็นดังนั้น จางอี้หมิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียน
“ศิษย์พี่ยังอยู่อีกหรือ? เหตุใดถึงไม่กลับไปเรือนของท่าน”
เจียงเยว่ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา นางยังคงก้มหน้าอ่านตำรา แล้วเปล่งวาจาอันมีพลังจนทำให้สองเต้านั้นกระเพื่มเล็กๆ
“นางคณิกาผู้นั้น...เป็นสาวบริสุทธิ์หรือไม่?”
คำถามนั้นทำให้จางอี้หมิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจ้องมองเจียงเยว่ด้วยความสงสัย
“เกี่ยวอะไรกับท่าน?”
เจียงเยว่ปิดตำราลง ดวงตาคมกริบของนางจ้องมองมาที่เขา นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หากสตรีผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์แต่ไม่ได้มีจิตใจที่ลึกซึ้งต่อเจ้า พลังปราณของเจ้าจะเกิดปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อย และยังไม่คืนสมดุล แต่หากนางมีใจลึกซึ้งต่อเจ้า พลังปราณของเจ้าจะกลับคืนสมดุล เรื่องเหล่านี้เจ้าคงไม่ได้อ่านตำราให้จบสินะ"
นางพูดพร้อมกับดันหนังสือเล่มนั้นไปทางเขาเล็กน้อย ก่อนถามต่อ
“ตกลง นางคณิกาผู้นั้นเป็นอย่างไร?”
จางอี้หมิง รู้สึกกระอักกระอ่วนกับคำถาม พลันคิดในใจว่า “แม่นางฉีเหอผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นสาวบริสุทธิ์...หรือว่าข้าเป็นคนที่เปิดประสบการณ์ให้นาง? ถ้ารู้เช่นนี้ข้าก็ควรจะถนอมนางให้มากกว่านี้เสียหน่อย”
จางอี้หมิงแอบสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นางคณิกาที่ไหนจะบริสุทธิ์กัน?”
เจียงเยว่ได้ยินคำตอบนั้นก็ยกคิ้วเล็กน้อย แล้วแค่นเสียงหัวเราะ
“เจ้ายอมรับแล้วสินะว่าไปหลับนอนกับนางคณิกามา เอาเถอะ ข้าจะไม่บอกอาจารย์ในครั้งนี้”
บ้าเอ้ย! ข้าเสียท่านางจนได้ หากท่านยอมขึ้นเตียงกับข้า มีหรือข้าจะแอบไปหากินกับนางคณิกาสาว
เจียงเยว่ยืนกอดอก ก้อนทั้งสองแนบชิดกันจนเกิดร่องยาว จางอี้หมิงพลันเหลือบตาลงไปในพื้นที่ร่องระหว่างเนินสีขาวทั้งสองนั้น
หากข้าจ้องมากไปกว่านี้ ลูกข้าคงจะถูกนางควักออก อาจจะสูญเสียการมองเห็นตามลมปราณก็เป็นได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจางอี้หมิงจึงละสายตาออก
เจียงเยว่ยืนกอดออก และเปลี่ยนสายตาไปที่ ห่อยาสมุนไพร ในมือของจางอี้หมิง นางถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“นั่นคืออะไร?”
จางอี้หมิงมองห่อยาในมือแล้วตอบ
“เป็นยาจากหน่วยแพทย์สำหรับแช่ตัวเพื่อพักฟื้น”
เจียงเยว่รับห่อยามาไว้ในมือ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนออกคำสั่ง
“เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าให้ข้านอนพัก ข้าจะต้มน้ำในอ่างให้เอง ส่วนเจ้าจงไปฝึกซ้อมนอกรอบเสีย”
ข้าให้ท่านนอนพัก ท่านก็ควรนอนกับข้าเป็นการตอบแทน แต่ช่างเถอะ เท่านี้ก็นับว่าดีเหมือนกัน ข้าเองก็อยากหาเวลาฝึกขี่ดาบเช่นกัน
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะไปฝึกที่ลานด้านหลัง หากน้ำในอ่างพร้อมแล้วเรียกข้าด้วย”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร