เมื่อ จางอี้หมิง อุ้มหวงจื่อรั่ว มาถึงหน่วยแพทย์ ศิษย์ของหน่วยแพทย์ ต่างรีบพานางเข้าไปยังด้านในเพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วน
เมื่อถึงเตียง จางอี้หมิงค่อยๆ วางหวงจื่อรั่วลงด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวนางลง แขนของหวงจื่อรั่วกลับกอดคอเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
จางอี้หมิงเหลือบมองใบหน้าของนางที่ซีดเซียว แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความงามที่เปล่งประกายแม้ในยามหมดสติ ในใจเขาคิดอย่างขบขัน
“หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าก็ยินดีให้เจ้ากอดไว้ไม่ปล่อย”
ในตอนนั้นเอง หลินหนิง ที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาช่วยดึงแขนของหวงจื่อรั่วออกจากคอของจางอี้หมิง นางจัดท่าทางให้หวงจื่อรั่วนอนราบลงบนเตียงอย่างเรียบร้อย
แม้ตอนนี้สีหน้าของนางจะซีดเผือก แต่ทว่าก็มิอาจกลบกั้นความงามของนางได้แม้แต่น้อย ยากนักที่จางอี้หมิงจะละสายตา ออกจากนางได้
แม่นางผิงกั๋ว ศิษย์หญิงผู้มีตำแหน่งประจำหน่วยแพทย์ เดินเข้ามาตรวจดูอาการ ก่อนจะเงยหน้ามองจางอี้หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ข้าต้องตรวจร่างกายนางอย่างละเอียด ขอเชิญศิษย์พี่ออกไปรอด้านนอกก่อนเถอะ”
จางอี้หมิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปยังห้องรับรองที่อยู่ด้านข้าง หลินหนิงตามออกมาในเวลาต่อมา สีหน้าของนางยังคงเต็มไปด้วยความกังวล
หลินหนิงหันไปมองจางอี้หมิงแล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“จื่อรั่วจะเป็นอะไรหรือไม่?”
จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อย ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ไม่มีปัญหาหรอก นางแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิด ไม่นานก็คงฟื้นตัว”
คำตอบนั้นช่วยให้หลินหนิงคลายความกังวล นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถาม
“ข้าสงสัย ทำไมทวนนั้นถึงยอมรับจื่อรั่ว?”
จางอี้หมิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแฝงความลึกลับ
“เจ้ามีคำถามเยอะยิ่งนัก แต่ถ้าจะให้ตอบ...ก็เพราะเหตุผลเดียวกับที่กระบี่เล่มนั้นเลือกเจ้า”
หลินหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงง นางถามต่อ
“แล้วเหตุใดกระบี่จึงเลือกข้า?”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเจือความขี้เล่น
“คงเป็นเหตุผลเดียวกับที่มีบุรุษรูปงามมาเลือกเจ้า”
หลินหนิงส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ คำพูดนั้นทำให้นางรู้สึกเขินเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่มีบุรุษใดเลือกข้า!”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ แต่ในใจเขาแอบคิดว่า “แม่นางน้อยเอ๋ย หากไม่มีอะไรผิดพลาด ข้านี่แหละจะเป็นคนเลือกเจ้าเอง”
หลินหนิงยังคงไม่หมดคำถาม ก่อนนางจะนึกอะไรขึ้นมาบางอย่างได้แล้วถามว่า
“เหตุใดศิษย์หน่วยแพทย์จึงเรียกท่านว่าศิษย์พี่?”
จางอี้หมิงหันมามองหลินหนิง เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“ความจริงเป็นเช่นนั้น”
คำตอบนั้นทำให้หลินหนิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“เป็นเช่นนั้น…คือเช่นไหน? ท่านเป็นศิษย์พี่จริงๆ?”
จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อย ขยับตัวเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ
“ข้าสูญเสียพลังปราณไปเมื่อปีก่อน จึงมาฝึกวิชาร่วมกับพวกเจ้าที่นี่ ข้าก็คือจางอี้หมิง หรือว่า ‘ท่านต้าหมิง’ ที่เจ้ารู้จักนั่นแหละ”
แล้วตำรานั้นข้าก็โก่งราคาเจ้า เอาเถอะ เรื่องนี้ข้าจะไม่บอกให้เจ้าเสื่อมศรัทธาแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินคำว่า "ท่านต้าหมิง" หลินหนิงรีบเข้าไปจับมือของจางอี้หมิง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตของนางจ้องมองนัยตาของเขา แววตาแฝงไปด้วยประกายอันงดงาม
“เป็นจริงเช่นนั้นหรือ? ท่านคือท่านต้าหมิงที่ข้าเคยอ่านในตำราสอบ!”
จางอี้หมิงมองดวงตาของหลินหนิงที่เปล่งประกายอยู่ใกล้ๆ ใจของเขาเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่ได้รีบตอบคำถามนั้น
ทางด้านหลินหนิงเอง เมื่อเห็นสายตาของจางอี้หมิงที่มองนางอยู่เช่นกัน ใจของนางก็เต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ขณะที่ทั้งสองยืนใกล้กันและบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงัน แม่นางผิงกั๋ว แห่งหน่วยแพทย์ก็เปิดประตูออกมา เสียงกระแอมเบาๆ
ทั้งสองสะดุ้งและรีบละสายตาออกจากกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
จางอี้หมิงและหลินหนิงถอยห่างออกจากกันเล็กน้อย ใบหน้าของทั้งสองคนแดงเรื่ออย่างชัดเจน
“แม่นางหวงรู้สึกตัวแล้ว พวกท่านสามารถเข้าไปเยี่ยมได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางอี้หมิงและหลินหนิงพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะเดินตามแม่นางผิงกั๋วเข้าไปยังด้านใน
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง พวกเขาพบว่า หวงจื่อรั่ว รู้สึกตัวแล้ว หลินหนิงรีบเดินเข้าไปประคองหวงจื่อรั่วให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
หวงจื่อรั่วยิ้มอ่อนๆ พลางพยักหน้า
ขณะที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกันอย่างสบายใจ เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอก ประตูเปิดออกพร้อมการปรากฏตัวของ ซุนสีห่าว ที่ถูกส่งตัวมาก่อนหน้า
ซุนสีห่าว เดินเข้ามาด้วยท่าทีไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าซีดเซียวจากการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ แต่ดวงตาของเขายังคงแฝงไว้ด้วยความเย่อหยิ่ง เขาโบกพัดในมือเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“นึกว่าข้าจะเป็นคนเดียวที่ต้องมาเยือนหน่วยแพทย์ ที่แท้ยังมีพวกอ่อนหัดมาที่นี่เช่นกัน”
หลินหนิง หันไปมองเขาด้วยสีหน้าสงบก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ถึงแม้พวกเราจะอ่อนหัด แต่ทวนวิเศษเล่มนั้นก็เป็นของจื่อรั่วแล้ว เจ้าล่ะ ได้อะไรติดมือมาบ้างหรือยัง?”
คำพูดนั้นทำให้ซุนสีห่าวถึงกับชะงัก ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ? นางสามารถครอบครองทวนเล่มนั้นได้?”
จางอี้หมิง กอดอก ยิ้มเย้ยเล็กน้อย ก่อนพูดเสริม
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง หากเจ้าอยากเห็นทวนเล่มนั้น เจ้าก็ลองเรียกนางว่า 'ท่านย่า' ดูสิ เดี๋ยวนางจะเอาให้เจ้าดู”
จางอี้หมิงหยุดเล็กน้อยก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“แล้วก็อย่าลืมเรียกข้าว่า 'ท่านปู่' ด้วยล่ะ จะได้ครบถ้วนสมบูรณ์”
คำพูดของจางอี้หมิงทำให้ซุนสีห่าวหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย เขากัดฟันแน่น ก่อนจะสะบัดพัดในมือแล้วหันหลังรีบวิ่งออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก
หลังจากที่ซุนสีห่าวออกไป หวงจื่อรั่ว ที่ยังนั่งอยู่บนเตียงก็มองหน้าจางอี้หมิงด้วยความสงสัย
“เหตุใดเจ้าจึงบอกให้เขาเรียกข้าว่า 'ท่านย่า' แล้วเรียกเจ้าว่า 'ท่านปู่'?”
จางอี้หมิง ยิ้มมุมปาก แต่ไม่ตอบคำถาม เขาเพียงพูดว่า
“เจ้าพักผ่อนเถอะ อย่าใส่ใจ” กล่าวจบจางอี้หมิงก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร