“ทำไมทุกอย่างถึงกลับตาลปัตรไปเช่นนี้” เหวิ่นลี่หยาคิดในใจอย่างเคียดแค้น ปลายนิ้วจิกลงในฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ ความไม่พอใจและความริษยาแล่นพล่านไปทั่วร่างราวกับเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ
นางไม่เคยคิดเลยว่าพี่สาวอย่าง เหวิ่นจือหยู จะได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้แต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ เหวิ่นลี่หยามั่นใจว่านิสัยเกรี้ยวกราดและเอาแต่ใจของพี่สาวจะทำลายโอกาสนี้ไปเอง แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไม่เพียงแค่การหมั้นหมายสำเร็จเท่านั้น แต่ยังมีพระราชโองการให้เร่งจัดงานแต่งงานให้เร็วขึ้นอีก ทุกอย่างราวฟ้าผ่าลงมากลางใจ เหวิ่นลี่หยาก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่ควรเป็นของนางถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา
นางเดินวนไปมาภายในเรือนพัก ริมฝีปากบางกัดแน่นเพื่อต้องการสะกดกลั้นความคับแค้นใจ
“ทำไมถึงต้องเป็นเหวิ่นจือหยู ทำไมนางถึงได้รับทุกอย่าง ทั้งๆ ที่นางไม่สมควรได้รับ เพียงเพราะนางเป็นลูกภริยาเอกเท่านั้นเองหรือ”
ความริษยาเกาะกินใจจนใบหน้าที่เคยอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว นางพึมพำต่อหน้ากระจกบานสูง
“นางไม่สมควรได้เป็นพระชายา ไม่สมควรได้ครอบครององค์ชายแม้แต่น้อย” เสียงของนางแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่อัดแน่นราวกับจะระเบิดออกมา
ขณะที่เหวิ่นลี่หยากำลังจมอยู่ในห้วงความคิด สาวใช้ของนางก็เข้ามาอย่างเร่งรีบ “คุณหนูเจ้าคะ ข้าเห็นองครักษ์เฟิ่งมาพบคุณหนูจือหยูเจ้าค่ะ เขามาแจ้งกำหนดการเข้าเฝ้าองค์ชายเจ้าค่ะ”
คำรายงานนั้นทำให้เหวิ่นลี่หยาชะงัก นางหยุดเดิน หันขวับไปมองสาวใช้ด้วยแววตาที่เปล่งประกายเจ้าเล่ห์ “องครักษ์เฟิ่งอย่างนั้นหรือ”
นางรู้ดีว่า องครักษ์เฟิ่ง เป็นคนสนิทที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อไว้วางใจ หากนางสามารถทำให้องครักษ์ผู้นี้อยู่ข้างนางหรือช่วยสนับสนุนบางสิ่ง มันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกสถานการณ์ให้นางจะยึดสิ่งที่ต้องการกลับคืนมาได้
“ข้าจะไปดักรอพบองครักษ์เฟิ่ง” เหวิ่นลี่หยาสั่งเสียงเฉียบพลัน ก่อนจะรีบจัดเสื้อผ้าและเตรียมตัวให้งดงามที่สุด
องครักษ์เฟิ่งกำลังจะเดินทางกลับ เมื่อเหวิ่นลี่หยาปรากฏตัวตรงทางเดินในสวน นางยิ้มอย่างอ่อนหวาน กล่าวทักทายด้วยท่าทางที่อ่อนโยนและอ่อนน้อมออกมา แต่ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เพราะนางรู้ดีว่าเขามีอิทธิพลและความใกล้ชิดกับองค์ชายมากเพียงใด
“องครักษ์เฟิ่ง โปรดรอก่อนเจ้าค่ะ”
องครักษ์หนุ่มหยุดเท้า หันมามองเหวิ่นลี่หยาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาทำความเคารพเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่ม
“คุณหนูเหวิ่น มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือ”
เหวิ่นลี่หยายิ้มอ่อนโยนและก้าวเข้ามาใกล้ “องครักษ์เฟิ่ง ข้าดีใจที่ได้พบท่าน ข้าขอรบกวนเวลาสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ พอดีข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่าน”
องครักษ์เฟิ่งพยักหน้าเบาๆ นางจึงชวนเขานั่งลงที่ศาลากลางสวน พร้อมกับเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและสุภาพ
“ข้าได้ยินว่าท่านเป็นคนที่องค์ชายทรงไว้วางใจมาก”
เขาเพียงพยักหน้ารับ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ขณะที่สายตาเฉียบคมของเขาจับจ้องเหวิ่นลี่หยาราวกับอ่านความนัยในคำพูดว่านางต้องการสื่ออะไร
“ข้าอยากปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของพี่สาวข้ากับองค์ชาย” ไม่นานเหวิ่นลี่หยาเริ่มเข้าประเด็น นางถอนหายใจเบาๆ ราวกับกำลังหนักใจ
องครักษ์เฟิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ท่านกังวลเรื่องใดหรือคุณหนูเหวิ่น”
“ข้ากังวลว่าอาจเกิดปัญหาในอนาคต”
คำพูดของเหวิ่นลี่หยาฟังดูนอบน้อมและมีเจตนาดี แต่องครักษ์เฟิ่งกลับจับได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล เขาไม่ได้ขัดจังหวะ แต่มองนางด้วยแววตาที่นิ่งสงบ รอให้นางพูดต่อเผยสิ่งที่อยู่ในใจนางออกมา
“ข้าเป็นห่วงเรื่องงานแต่งงานของพี่สาวข้ากับองค์ชาย ข้าคิดว่ามันเกิดขึ้นเร็วเกินไป พี่จือหยูน่าจะยังไม่พร้อมที่จะเป็นพระชายาที่ดีขององค์ชาย และข้าเกรงว่างานแต่งนี้จะนำปัญหามาให้กับองค์ชายในภายหลัง”
แม้คำพูดของนางจะฟังดูนอบน้อม แต่องครักษ์เฟิ่งกลับรู้สึกได้ถึงความไม่จริงใจที่ซ่อนอยู่ เขารู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยาเองก็มิได้หวังดีกับพี่สาวของนาง อย่างในงานหมั้นนางก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางพร้อมจะขัดขวางจนเกือบจะโดนฮ่องเต้ลงโทษ เขาจึงได้แต่นั่งฟังเงียบๆ
“ข้าขอพูดตามตรง พี่จือหยู นางมีนิสัยดื้อรั้นและไม่เคยใส่ใจเรื่องมารยาทกุลสตรี แม้ตอนนี้นางจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ข้าเกรงว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่ยั่งยืน” นางกล่าวพร้อมทำทีเป็นถอนหายใจ
องครักษ์เฟิ่งยังคงนิ่งฟัง เหวิ่นลี่หยาจึงพยายามดึงความสนใจต่อไป “หากท่านองครักษ์เฟิ่งสามารถช่วยโน้มน้าวองค์ชายใช้ชะลอการแต่งงาน หรืออย่างน้อยแจ้งเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ข้าจะซาบซึ้งในน้ำใจท่านยิ่งนัก”
องครักษ์เฟิ่งยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบรับคำขอ เขาลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ข้าเข้าใจในความกังวลของท่านคุณหนูเหวิ่น ขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่ท่านมีต่อองค์ชาย แต่ข้าเชื่อว่าพระองค์ทรงมีวิจารณญาณที่ดีและปรีชาสามารถพอที่จะจัดการทุกสิ่งได้ ท่านไม่ต้องกังวล”
คำตอบขององครักษ์เฟิ่งทำให้เหวิ่นลี่หยาต้องฝืนยิ้มแม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความหงุดหงิด นางรู้ว่าองครักษ์เฟิ่งไม่ได้เป็นคนเชื่อคนง่ายอย่างที่นางคิด แต่นางยังไม่ละความพยายาม
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอฝากความหวังไว้กับท่านองครักษ์” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน
“ท่านเป็นคนที่องค์ชายไว้วางใจ ข้าก็เชื่อว่าท่านจะช่วยทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี”
องครักษ์เฟิ่งยิ้มตอบกลับ แต่ในใจเขากลับรู้สึกถึงแผนการที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของเหวิ่นลี่หยาอย่างชัดเจน
หลังจากองครักษ์เฟิ่งจากไป เหวิ่นลี่หยากลับมายืนหน้ากระจกอีกครั้ง มือของนางบีบแน่นจนเล็บจิกลงในฝ่ามือด้วยความโกรธที่พยายามระงับอยู่ภายใน นางมองใบหน้าของตนเองในกระจก รอยยิ้มอ่อนโยนที่เคยใช้เป็นหน้ากากเริ่มจางหายไป กลับกลายเป็นใบหน้าบูดบึ้ง สายตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่ซ่อนอยู่ลึกภายใน
“มันน่าเจ็บใจนัก ข้าจะไม่ยอมแพ้” นางพึมพำขณะมองออกไปยังสวนหลวงที่อยู่ไกลลิบ
“เหวิ่นจือหยู เจ้าอาจจะได้รับความกรุณาจากฮ่องเต้ แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้ เจ้าจะไม่มีวันได้ครอบครองสิ่งที่ข้าปรารถนาเด็ดขาด”
เหวิ่นลี่หยารู้ดีว่านางไม่มีทางปล่อยให้เหวิ่นจือหยูได้ดีไปกว่านาง เหวิ่นจือหยูไม่สมควรได้ครอบครององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ นางคิดถึงทุกแผนการที่นางพยายามใช้อยู่ตลอดเพื่อทำให้เหวิ่นจือหยูล้มเหลว แต่ไม่ว่าครั้งไหนเหวิ่นจือหยูกลับรอดไปได้เสมอ แผนการที่ล้มเหลวเหล่านั้นยิ่งทำให้นางหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ
“งานแต่งครั้งนี้จะต้องไม่สำเร็จ” เหวิ่นลี่หยาพึมพำกับตัวเอง นางคิดถึงวิธีการที่จะทำลายพิธีการนี้ให้พังทลาย หรืออย่างน้อยก็สร้างปัญหาที่ยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้หลี่หยวนเจ๋อเกลียดชังพี่สาวของนางอย่างไม่มีวันลืม