ในอีกด้านหนึ่ง เหวิ่นจือหยูยังคงรู้สึกกังวลกับพระบรมราชโองการที่ทรงมีคำสั่งให้จัดงานแต่งงานอย่างเร่งด่วน นางพยายามหาทางออกจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ทางเลือกของนางก็ยิ่งแคบลง
เหวิ่นจือหยูต้องเผชิญกับความกดดันจากองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ พระคู่หมั้นที่ประกาศออกมาชัดเจนว่าไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธรับสั่งของฮ่องเต้ได้ ในขณะที่ทั้งคู่ต่างต้องทรมานจากการแต่งงานที่ไม่เต็มใจ และทุกข์ทรมานจากการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ตัวเหวิ่นจือหยูไม่เท่าไหร่เพราะวาดรวีรู้ว่าจือหยูคนเดิมแอบชอบพอองค์ชายอยู่ แต่องค์ชายนี่ซินอกจากจะไม่ได้ชอบพอกับจือหยูคนเดิมเเล้วยังบอกว่าเกลียดคนนิสัยเช่นนางด้วยซ้ำ
เหวิ่นจือหยูถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ นางหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นตัวอักษรจีนที่สง่างาม ราวกับกำลังใช้การเขียนเป็นวิธีการระบายความเครียดและความกังวลที่ทับถมอยู่ในใจ
“ข้าควรทำอย่างไรต่อไป” นางพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะที่มองตัวอักษรที่เขียนเสร็จแล้ว
ในขณะที่เหวิ่นจือหยูครุ่นคิด เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของนางเข้ามาอย่างเงียบๆ
“คุณหนูเจ้าคะ นายท่านต้องการพบคุณหนูที่ห้องทำงานเจ้าค่ะ ” สาวใช้รายงานด้วยท่าทางสุภาพ
เหวิ่นจือหยูรีบลุกขึ้น นางไม่เคยปฏิเสธการเข้าพบของบิดา และในเวลานี้นางก็รู้สึกว่าต้องการคำแนะนำจากท่านพ่อมากที่สุด นางเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องทำงานของบิดา ใจที่หนักอึ้งเริ่มรู้สึกเบาลงเมื่อคิดถึงความอบอุ่นจากคำปลอบโยนที่นางมักได้รับจากท่านพ่อเสมอมา
ขณะที่เหวิ่นจือหยูเดินทางมาที่ห้องรับรอง นางรู้สึกได้ถึงสายตาของน้องสาวเหวิ่นลี่หยาที่มองนางอยู่จากที่ไกลๆ ราวกับจับจ้องนางด้วยความโกรธ นางรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยาไม่เคยพอใจกับการที่นางได้หมั้นหมายและได้แต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ แต่กำหนดการรวมถึงพระบรมราชโองการออกมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก็ยังไม่สามารถทำให้น้องสาวเลิกชิงชังได้
เหวิ่นลี่หยาเดินเข้ามาใกล้พี่สาวก่อนจะยิ้มบางๆ ที่ดูเหมือนจะซ่อนความหมายบางอย่างแฝงไว้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูห่วงใยแต่แฝงด้วยความเยาะเย้ย
“พี่จือหยู พี่จะไปไหน คงไม่ใช่ไปอ้อนให้ท่านพ่ออีกหรอกนะ”
เหวิ่นจือหยูรู้ดีว่าน้องสาวพูดเช่นนี้เพียงเพื่อยั่วให้นางโกรธ แต่ในครั้งนี้ นางกลับเลือกที่จะยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ
“ไม่จำเป็น เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อรักข้ามากกว่าลูกอนุอย่างเจ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
คำตอบที่นิ่งสงบของเหวิ่นจือหยูทำให้เหวิ่นลี่หยารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางหวังว่าพี่สาวจะโต้กลับหรือตอบสนองด้วยอารมณ์ แต่กลับพบกับความเยือกเย็นที่ไม่คุ้นเคย พร้อมกับการย้ำให้รู้สึกเจ็บจากการพูดถึงตำแหน่งแม่ของนาง
“เราจะได้เห็นกัน” เหวิ่นลี่หยาพูดก่อนจะเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ
เหวิ่นจือหยูมองตามน้องสาวไป นางรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างนางกับเหวิ่นลี่หยานั้นยังไม่จบ นางจะต้องพยายามเอาชนะทั้งในสายตาขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและเอาชนะความอิจฉาของเหวิ่นลี่หยาให้ได้
เมื่อเหวิ่นจือหยูเข้าไปในห้องของบิดา ขุนนางเหวิ่นจวิ้นอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้รับรอง ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวกลับดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวคนโตเดินเข้ามา ขุนนางเหวิ่นเป็นคนที่เคร่งครัดกับเรื่องการทำงาน แต่กลับมีความเมตตาและความเข้าใจต่อบุตรสาวเป็นพิเศษ
“ลูกหยูเอ๋อร์” ท่านพ่อเอ่ยเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เข้ามานั่งก่อน”
เหวิ่นจือหยูนั่งลงข้างๆ ท่านพ่อ สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลจนเหวิ่นจวิ้นอี้มองออกได้ทันที
“พ่อรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจเป็นเรื่องที่ลูกรู้สึกลำบากใจ” ท่านพ่อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แต่บางครั้งในชีวิต เราไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วได้”
เหวิ่นจือหยูพยักหน้าเบาๆ นางรู้ว่าบิดาของนางพูดถูก การแต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเป็นรับสั่งจากฮ่องเต้ ไม่มีทางเลือกอื่นที่นางจะปฏิเสธได้ แต่นางยังคงไม่อาจสลัดความรู้สึกวิตกกังวลออกไปได้
“ท่านพ่อ” นางพูดเสียงแผ่ว
“ลูกรู้ว่าลูกเคยทำตัวไม่ดี ลูกทำให้หลายคนไม่ชอบ แต่ลูกกลัวว่าลูกจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้พอที่จะทำให้เขายอมรับลูกได้”
ขุนนางเหวิ่นฟังคำพูดของลูกสาวอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกมือลูบศีรษะนางเบาๆ อย่างอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู
“ลูกทำได้ดีแล้วนะ หยูเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าลูกได้พยายามปรับปรุงตัวเองอย่างมากมาย หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พ่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวลูก ลูกกำลังเดินไปในทางที่ถูกต้อง”
เหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ท่านพ่อส่งผ่านมาถึง นางยิ้มออกเล็กน้อย อย่างมีกำลังใจถึงแม้ในใจก็ยังมีความกังวลอยู่ลึกๆ
“แต่เขายังไม่เชื่อใจลูก” นางพูดเบาๆ
“ลูกรู้สึกว่าเขายังคงไม่เห็นคุณค่าในตัวลูก”
ขุนนางเหวิ่นมองหน้าบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “ความไว้วางใจต้องใช้เวลาในการสร้าง อย่าเพิ่งยอมแพ้ ต่อให้ตอนนี้เขายังไม่เชื่อใจลูก แต่หากลูกแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความมุ่งมั่น เขาก็จะเห็นในที่สุด”
“หยูเอ๋อร์ ฟังนะลูก เจ้าเป็นลูกสาวของพ่อ และพ่อคนนี้ก็เชื่อมั่นในตัวลูก พ่อรู้ว่าลูกฉลาด แข็งแกร่ง และกล้าหาญ พ่อเห็นศักยภาพในตัวลูกมาโดยตลอด สิ่งสำคัญคือลูกต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด ลูกก็จะสามารถก้าวผ่านมันไปได้”
เหวิ่นจือหยูฟังคำพูดของบิดา หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้น นางเริ่มเชื่อว่าบางทีนางอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อได้ ถ้านางตั้งใจและมุ่งมั่นพอ
“ท่านพ่อ ลูกจะพยายาม” เหวิ่นจือหยูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น
“ลูกจะไม่ยอมแพ้ จือหยูคนนี้จะทำให้เขาเห็นว่าลูกเป็นคนที่เขาสามารถไว้ใจได้”
ขุนนางเหวิ่นยิ้มให้กับลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ “นั่นแหละคือคำตอบที่พ่ออยากได้ยิน พ่อรู้ว่าหยูเอ๋อร์ของพ่อทำได้ และพ่อจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอลูกรัก”
เหวิ่นจือหยูยิ้มอย่างมั่นใจมากขึ้น นางรู้ว่าการเดินทางในเส้นทางนี้จะไม่ง่าย แต่ด้วยความรักและการสนับสนุนจากบิดา นางก็พร้อมที่จะเผชิญกับทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต