เมื่อเดินทางมาถึงอำเภอฉือ จี๋ไห่ได้รับข่าวร้ายทันที อนุภรรยาที่รักของเขาคลอดยาก นางเจ็บท้องถึงสองวันสองคืน พอคลอดออกมาได้ กลับตกเลือดอย่างรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังสลบไสลไม่ได้สติ ลูกน้องของเขาคนหนึ่งเอ่ยแนะนำให้มาหาหลินซือเยว่ นางรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจช่วยเหลืออนุภรรยาของเขาได้
จี๋ไห่ต้องหลบสายตาผู้คนมาหาหลินอ้าย ให้เขาส่งข้อความหาหลินซือเยว่ให้มาพบเขาที เหตุเพราะเหล่านักโทษต้องถูกคุม อยู่ในลานกว้างของวัดใหญ่ประจำอำเภอ ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้เอง
“เอาป้ายชื่อของข้าไปเชิญนางออกมาที” นอกจากใช้ป้ายชื่อเชิญหลินซือเยว่แล้ว ยังต้องการให้นายทหาร ได้เห็นป้ายผ่านทางนี้ด้วย “บอกว่าข้ารออยู่ด้านข้างวัดใหญ่ใต้ต้นพุทราป่า
หลินอ้ายเหลือบมองป้ายชื่อเล็กน้อย ก่อนจะรับมาถือไว้แล้วหันหลังไปหาเผิงฉือ ให้นางไปรายงานเรื่องนี้กับหลินซือเยว่
“คุณหนูไม่จำเป็นต้องไปก็ได้นะเจ้าคะ คนแบบนั้นไม่คู่ควร” เผิงฉือไม่เห็นด้วย
“ไม่เป็นไร เขาไม่ได้เลวจนให้อภัยไม่ได้ ป้าเผิงเอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้า” หลินซือเยว่เอ่ยแล้วรอให้เผิงฉือนำของมาให้ นางเขียนเทียบยาแบบคร่าว ๆ ยื่นให้หลินอ้าย “กลับไปบอกจี๋ไห่ ให้ไปซื้อยาตามนี้ ต้มให้อนุภรรยาของเขากินทุกวัน วันละสามเวลาติดต่อกันสามวัน”
“ขอรับคุณหนู” หลินอ้ายรีบรับเทียบยาแล้วนำกลับไปส่งให้จี๋ไห่ พร้อมกับคำกำชับของนาง
จี๋ไห่รับเทียบยามาแล้วกลืนน้ำลายหนืด ๆ ลงคอ เขายังไม่ได้เอ่ยคำพูดใด นางกลับรู้ว่าอนุภรรยาของเขากำลังต้องการการรักษา นี่ไม่ใช่เทพเซียนของจริงหรอกหรือ เขารีบนำเทียบยาให้คนไปซื้อ แล้วกลับไปต้มให้อนุภรรยาที่รักได้กิน ผ่านไปเพียงคืนเดียวนางก็ฟื้นขึ้นมา พูดคุยกับเขาได้แล้ว
หลินซือเยว่มอบเงินจำนวนหนึ่งให้หลินอ้ายนำไปให้จี๋ไห่ นางฝากเขาซื้ออาหารแห้งและยาจำนวนหนึ่งในอำเภอฉือมาให้ เนื่องจากติดหนี้บุญคุณของหลินซือเยว่ จี๋ไห่จึงไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เขาให้คนของเขาไปจัดการให้อย่างลับ ๆ ตอนมอบของก็มอบให้ยามดึกดื่น โดยใส่ไว้กับผ้าห่มนำกลับเข้าไปในลานวัด เรียกหลินอ้ายมาเอาไปไว้ที่รถม้า เนื่องจากความมืดทุกคนจึงไม่ทันเห็น ว่าพวกเขาส่งสิ่งใดให้กัน
“เยว่เอ๋อร์เจ้าไปดูพี่ห่าวหรานของเจ้าหน่อย เหตุใดถึงได้เพ้อพิษไข้อีกแล้วล่ะ ตอนแรกดูเหมือนจะดีขึ้นเลย” น้ำเสียงของจูฮูหยินร้อนรนเป็นอย่างมาก
“ข้าไปดูให้เจ้าค่ะ”
หลินซือเยว่คาดว่าอาการของเขาจะไม่ติดเชื้อรุนแรง แต่นางคาดผิดวันนี้เขากลับมีไข้หนักขึ้น นางอังหลังมือที่หน้าผากของคนป่วย ก่อนถอนหายใจเบา ๆ ออกมา “ท่านป้านำผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวให้เขาเถอะเจ้าค่ะ”
“เยว่เอ๋อร์ไม่มีวิธีรักษาอื่นแล้วหรือ”
“คุณหนูรองขอรับได้ของมาแล้วครับ” หลินอ้ายโผล่มาได้จังหวะพอดี
หลินซือเยว่ยกยิ้มเล็กน้อย “ป้าเผิงตั้งเตาต้มยา” นางค้นหาห่อยาจนเจอ ยื่นให้แก่เผิงเจือจัดการต้มให้
“ท่านป้าข้าขอให้คนไปซื้อยามาให้แล้ว พอป้าเผิงต้มเสร็จท่านก็ป้อนให้เขาดื่มนะเจ้าคะ แต่ระหว่างนี้ท่านคอยเช็ดตัวให้เขา อย่าให้ไข้สูงไปกว่านี้อีก”
“ได้ ๆ ข้าฟังเจ้า” แม้ไม่รู้ว่าหลินซือเยว่ใช้ใครไปซื้อยามาให้ แต่นางนับว่าเป็นหนี้บุญคุณใหญ่หลวงอีกครั้ง
กลิ่นยาต้มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณลานวัด คนอยู่ไกลหน่อยมองไม่เห็น และไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่คนตระกูลหยางที่อยู่ใกล้ ๆ กับรถม้าของหลินซือเยว่ พวกเขารู้ดีว่าคุณหนูหลินผู้นี้ กำลังช่วยเหลือรองแม่ทัพหยางห่าวหรานของพวกเขาอยู่
หลินเต๋อมีหลายเรื่องที่อยากถามบุตรสาว พอนางเดินมานั่งอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงช่วยเหลือคนตระกูลหยางผู้นั้น”
“ไม่ใช่ท่านพ่ออยากถามว่าข้าไปเอายามาจากไหนหรอกรึ”
“นั่นก็ด้วยข้าอยากรู้เหมือนกัน ข้าเห็นหลินอ้ายนำห่อผ้ามาให้เจ้า เขารับมาจากทหารผู้คุ้มกัน”
หลินซือเยว่นึกขำเล็กน้อย บิดาของนางก็หาใช่คนหูตาบอดมืด กลับมองเห็นเรื่องที่นางทำอยู่ นางคงจะดูเบาเขาไม่ได้เสียแล้ว
“เยว่เอ๋อร์พ่อเจ้าแค่เป็นห่วง เจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่นไป” เถียนฮูหยินเห็นสีหน้าบุตรสาวเย็นชายิ่งนัก จึงคิดว่านางอาจกำลังไม่พอใจอยู่
“ข้าไม่ขอปิดบังพวกท่าน ข้าอยู่อารามเต๋าเรียนรู้เรื่องรักษาเล็กน้อย นอกจากนั้นยังทำนายทายทักได้นิดหน่อย ข้าช่วยบรรเทาความทุกข์ให้จี๋ไห่ และไหว้วานเขาซื้อยาเข้ามาให้ เรื่องก็มีเพียงเท่านี้” นางไม่รู้ว่าก่อนหน้าพวกเขาเชื่อเรื่องรักษา หรือทำนายหรือไม่ นางจึงอยากย้ำเตือนอีกครั้ง
“หรือพวกท่านไม่เชื่อข้า”
“เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว” เถียนฮูหยินรีบจับมือบุตรสาวคนโตมาตบปลอบเบา ๆ
“ข้าก็เชื่อพี่รองเจ้าค่ะ” หลินซูฮวาเข้ามากอดแขนพี่สาวของตัวเองอีกคน นางเห็นทุกอย่างที่พี่สาวทำ ต้องเรียกว่าเชื่อไปแล้วเกินกว่าครึ่ง
หลินซือเยว่หันไปทางบิดา “ท่านพ่อล่ะ ท่านเชื่อข้าไหม”
หลินเต๋อกลอกตาเบา ๆ “พวกนางเชื่อเจ้า หากข้าไม่เชื่อก็คงดูเป็นคนเลวไปแล้วกระมัง”
“เหลวไหล เชื่อก็เชื่อสิ ไยต้องเอาข้ากับซูฮวาไปอ้างด้วย” เถียนฮูหยินถลึงตาใส่สามี
เผิงฉือเดินหอบผ้าห่มกับเสื่อปูพื้นมาทางนี้ จากนั้นพวกเขาพากันนอนอยู่รอบ ๆ กองไฟ โชคดีที่ลานวัดยังมีการกางกระโจมหนังสัตว์เอาไว้ รอบด้านยังมีกำแพงกั้น ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน จึงได้ล้มตัวนอนแล้วหลับสนิทในทันที มีเพียงหลินซือเยว่ที่ต้องตื่นตัวไว้ตลอดเวลา นางรู้ว่ายามดึกต้องเข้าไปวัดไข้ดูอาการของคนป่วย
“ท่านป้าเหตุใดยังไม่นอนอีกเจ้าคะ” นางเปิดผ้ากั้นรถม้าเข้าไปถาม
“ข้านอนไม่หลับหรอกเยว่เอ๋อร์ ไม่รู้พี่ห่าวหรานของเจ้าจะอาการกำเริบขึ้นอีกเมื่อใด”
พี่ห่าวหรานเป็นของข้าตอนไหน !
นางอยากถามหลายหนแล้ว แต่ก็ยังเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ “ข้ามาวัดไข้ดูอาการเขาเจ้าค่ะ ท่านป้าลงมาก่อนครู่หนึ่งได้หรือไม่”
“ได้สิ ๆ” จูฮูหยินรีบลงจากรถม้า หลีกทางให้หลินซือเยว่ขึ้นไปดูอาการของหยางห่าวหราน
นางอังหลังมือที่หน้าผาก เขามีเพียงอาการไข้ต่ำ ๆ ไม่ได้หนักหนาแต่อย่างใด ครั้นตรวจชีพจรดูพบว่ากลับมาเต้นได้เกือบปกติแล้ว จึงหยิบเม็ดยาลดไข้ออกมาป้อนเขาอีกหนึ่งเม็ด “ท่านป้าข้าขอน้ำหน่อยเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งป้อนยาเม็ดให้เขาไป”
“ได้ ๆ รอครู่หนึ่งนะ” จูฮูหยินรีบรินน้ำที่อยู่ในกาต้มด้านข้างรถม้าให้นาง เพราะถูกหลินซือเยว่กำชับให้ต้มน้ำร้อนพร้อมใช้อยู่ตลอดเวลา เตาต้มน้ำกาน้อยนี้จึงมีถ่านเติมไว้ทั้งคืน ว่าไปรถม้าคันนี้ช่างเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินจริงๆ
หลินซือเยว่รับน้ำต้มที่อุ่นอยู่ ช้อนต้นคอของหยางห่าวหรานขึ้น บีบปลายคางของเขาให้ปากอ้าออก จากนั้นกรอกน้ำจากจอกลงไปอย่างช้า ๆ ดันคางของเขาขึ้น ใช้กำลังภายในบังคับให้เขากลืนน้ำลงไปในลำคอ จากนั้นก็วางเขาลงนอนที่เดิม ผ้าม่านที่ถูกเลิกค้างไว้ ทำให้จูฮูหยินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นางพลันขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา
“ท่านป้าเป็นอันใดเจ้าคะ” หลังลงจากรถม้า นางเห็นจูฮูหยินสะอื้นไห้เบา ๆ จึงได้เอ่ยถาม
“เยว่เอ๋อร์ยามนี้ตระกูลหยางของข้าถูกคนให้ร้าย จนต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ มีเพียงเจ้ากับครอบครัวของเจ้า ที่กล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนพวกเจ้าได้อย่างไร นี่เจ้ารับสร้อยข้อมือชิ้นนี้ไปเถอะนะ” จูฮูหยินดึงสร้อยหยกสีขาวบริสุทธิ์ ออกมาข้อมือของตัวเอง เตรียมสวมใส่ให้กับหลินซือเยว่
“ท่านป้าไม่ต้องทำเช่นนี้ ท่านกับข้ามีวาสนาต่อกัน อย่าได้คิดมากไปเลย สร้อยข้อมือนี้ข้าไม่อาจรับได้จริง ๆ”
“ดูเจ้าสิ อายุเพียงเท่านี้กลับวางตัวเป็นผู้ใหญ่จนน่าเกรงขาม ผู้ใหญ่ให้ของเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ”
เมื่อเอาเรื่องอาวุโสขึ้นมาพูด หลินซือเยว่จึงตระหนักได้ว่า ตัวเองนั้นยังเป็นผู้น้อยในวัยสิบหกปีเท่านั้น “เช่นนี้ข้าต้องขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ” ถือว่าเป็นค่ารักษาก็แล้วกัน
“ดี ๆ เจ้ารีบไปนอนต่อเถอะ”
“เจ้าค่ะ ท่านป้าก็นอนได้แล้วนะเจ้าคะ เขาคงหลับไปถึงเช้าเลย ป้อนยาไปแล้วไม่มีอันใดต้องเป็นห่วง ส่วนยาต้มค่อยดื่มตอนเช้าอีกที”
“ได้ ๆ ข้าจำได้แล้ว เจ้ารีบไปนอนเถอะ” จูฮูหยินปัดมือให้นางรีบกลับไปนอน
หลินซือเยว่เดินกลับไปยังที่นอนของตัวเอง ฝีเท้านางเบาจนคนอื่นแทบไม่รู้สึกตัว แต่เสียงพูดคุยกันของพวกนางนั้น มีหรือคนมีวรยุทธ์สูงส่ง เช่นนักรบตระกูลหยางจะไม่ได้ยิน พวกเขารู้ความเคลื่อนไหวเรื่องอาการป่วยของหยางห่าวหรานแล้ว ถึงได้พากันนอนหลับไปอย่างสนิทใจ
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสียงผู้คนพูดคุยกันจอแจดังขึ้น หลังกินยาไปแล้วอาการของหยางห่าวหรานก็ทรงตัว ไข้เริ่มลดลงใบหน้าไม่ซีดเผือดเหมือนตอนแรก เขาตื่นเช้ามามองเห็นมารดาที่นอนเฝ้าอยู่ด้านข้าง ไม่คิดว่าบ้านรองตระกูลหลิน จะยังให้เขากับมารดาอยู่บนรถม้าคันนี้
“เป็นอย่างไรบ้างห่าวหราน” บิดาของเขาเดินมาถามหลังจากตื่นมาได้พักหนึ่งแล้ว
“ข้าดีขึ้นมากแล้วท่านพ่อ ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีนี่ยาต้มเจ้าดื่มยานี่จะได้หายเร็ว ๆ”
“ท่านแม่ยาต้มนี่ได้มาจากไหนหรือขอรับ”
“เยว่เอ๋อร์หามาให้เจ้าโดยเฉพาะ รีบกินเถอะอย่าให้คนอื่นเห็นหม้อยา มันจะไม่ดี”
สองพ่อลูกมองตากันก็เข้าใจในทันที ยามนี้ท้องฟ้ายังมืดอยู่ คนจึงไม่ทันสังเกตเห็นหม้อต้มยา พวกเขาจึงรีบเก็บเตากับหม้อเข้าไปในรถม้า หลังจากยาเย็นแล้วหลินซือเยว่แนะนำให้กรอกใส่ถุงน้ำเอาไว้ เพื่อที่จะให้คนป่วยได้ดื่มง่ายระหว่างเดินทาง
ยามที่ต้องออกเดินทางหยางห่าวหรานอยากลงมาเดินร่วมกับบิดา แต่หลินซือเยว่ให้เผิงฉือไปบอกสองแม่ลูก ว่าอาการของเขายังไม่สามารถลงมาเดินได้ ให้พวกเขาทั้งคู่ดูแลกันอยู่บนรถม้าไปก่อน
“ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ให้ข้าลงไปแล้วให้บิดาของเยว่เอ๋อร์ขึ้นมานั่งก็ได้” จูฮูหยินนึกเกรงใจขึ้นมา นางกับบุตรชายใช้รถม้าผู้อื่น จนทำให้เจ้าของต้องลงไปเดินทางเช่นนี้ คิดไปแล้วช่างลำบากใจจริง ๆ
“ฮูหยินอย่าได้เกรงใจไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูพูดสิ่งใดย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพราะฉะนั้นแค่เชื่อที่นางบอกก็พอเจ้าค่ะ” แววตาเผิงฉือแสดงออกถึงความไว้วางใจในตัวของหลินซือเยว่
จูฮูหยินนึกตามคำพูดของอีกฝ่ายก็พลันพยักหน้าลงเห็นด้วย “ข้าเข้าใจแล้วฝากขอบคุณนางด้วย” ตั้งแต่ตอนที่ตนเองป่วย จำได้ว่าหลินซือเยว่เป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วย เกิดเหตุร้ายขึ้นนางเป็นคนนำทุกคนเอาศพไปฝัง และทำพิธีสวดส่งวิญญาณให้ จากนั้นนางก็บอกว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นหากไม่รีบออกจากนี่นั้น มีสิ่งไหนบ้างที่ไม่ใช่เรื่องจริง
ยามนี้จูฮูหยินเริ่มเชื่อแล้ว ที่ว่าการเติบโตในอารามเต๋านั้น ได้ส่งผลให้เด็กสาวผู้หนึ่ง มีความสามารถเหนือมนุษย์ทั่วไป ล่วงรู้ความลับฟ้าดิน มีความสามารถรักษาผู้คนได้ ใช่แล้ว จูฮูหยินยามนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ