จางซิ่วอิงมารอขึ้นเกวียนก่อนเวลาราวสิบห้านาที ระหว่างนั้นเธอยืนรอเวลาอยู่เพียงเงียบ ๆ สายตารอบข้างที่มองมาราวกับพบเจอสิ่งแปลกประหลาด เสียงตินนินทาลอยแว่วมาตามลมเป็นระยะ หญิงสาวเพียงรับรู้ทว่าไม่ได้ให้ความสนใจเอาความแม้แต่น้อย
จากความทรงจำเดิม เจ้าของร่างมักจะถูกมองและนินทาซึ่งหน้าแบบนี้อยู่เป็นประจำ เธออ่อนแอเกินกว่าจะตอบโต้คนเหล่านั้น ในที่สุดจึงทำได้แค่เพียงเดินก้มหน้าอย่างยอมรับชะตากรรมเท่านั้น ต่างจากเธอคนนี้ที่เป็นวิญญาณจากยุคอนาคต แม้จะไม่ได้โต้ตอบแต่ก็ไม่ยอมจำนนอย่างที่แล้วมา
พลันดวงตาคู่เรียวตวัดมองเจ้าของเสียงนินทาเหล่านั้นอย่างไม่ยินยอม ก่อนจะเดินเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางมั่นใจ ไม่ต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมือง
หลังจากรอจนได้เวลา เกวียนสภาพกลางเก่ากลางใหม่ก็เคลื่อนตัวออกไปยังจุดหมายปลายทางทันที เธอสังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมทางมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ซึ่งสำหรับเธอในความทรงจำเดิมคนเหล่านี้นั้นไม่ได้น่าคบหาสักเท่าไหร่
“นี่ยายเฒ่าฟางแกจะเข้าไปซื้ออะไรล่ะวันนี้ เมื่อวานแกก็ไปไม่ใช่หรือ?”เสียงเว่ยซื่อเอ่ยถามสหายที่รู้จักซึ่งมาจากหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่สมัยสาว ๆ แม้ไม่ได้สนิทสนมกันนัก แต่ถึงอย่างไรคำตอบของสหายก็ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับหล่อนอยู่แล้ว เพราะจุดประสงค์ของหล่อนคือหญิงสาวที่นั่งถัดยายเฒ่าฟางต่างหากล่ะ
“ฉันก็ไปซื้อเนื้อมาบำรุงลูกสะไภ้ฉันนะสิ นี่นะ! เมื่อวันก่อนหล่อนพึ่งคลอดหลานชายคนแรกของตระกูลออกมา หน้าตาน่าชัง ตัวนี่อวบขาวเชียวล่ะ”
ฟางซื่อที่อยากประกาศความดีใจที่มีอย่างท่วมท้นอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อมีคนถามจึงไม่อาจกักเก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ได้อีก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหญิงชราที่ทำงานในแปลงนามาทั้งชีวิตยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงรูหู
จางซิ่วอิงที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เหมือนคนอื่นก็ไม่ได้คิดอะไร หากว่าน้ำเสียงนั้นไม่ดังจนกระทบเข้ามาในโสตประสาท พร้อมกับสายตาที่แฝงความหมายบางอย่างชำเลืองมองเธออยู่ตลอดเวลาสนทนา
“ดีจริง ๆ สะไภ้บ้านแกแต่งได้ปีกว่าก็คลอดหลานชายตัวอวบอ้วนออกมาแล้ว เหมือนสะไภ้บางบ้าน…”หญิงชราร่างใหญ่กล่าวปากยื่นปากยาว ระหว่างที่พูดไม่ลืมทิ้งสายตาไว้ที่สะไภ้คนเล็กของบ้านหยาง
เดิมทีเว่ยซื่อไม่ได้มีปัญหากับจางซิ่วอิงแม้แต่น้อย แต่ด้วยนิสัยที่ชอบติฉินนินทาคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นคนที่มีจุดด่างพร้อยหรือด้อยกว่าเข้าหน่อยก็อดที่จะเหยียบย่ำด้วยคำพูดไม่ได้
จางซิ่วอิงเมื่อได้ฟังบทสนทนาของหญิงชราคู่นี้คุยกันก็เข้าใจได้ทันทีว่าตนกำลังถูกเหน็บแนมในระยะเผาขนอยู่ ทว่าในยุคนี้ไม่เหมือนยุคที่เธอจากมา ชื่อเสียงของหญิงสาวเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในใจของเธอนั้นแอบลอบจำหน้ายายแก่สองคนนี้เอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
ระหว่างเดินทางยังคงมีประโยคเสียดสีมากมายจากยายแก่สองคนนี้ให้เธอได้ยินอยู่เนือง ๆ จางซิ่วอิงทำเพียงแค่ทอดสายตามองไปยังข้างทาง ชื่นชมธรรมชาติอันแสนแร้งแค้นในยุคที่ไม่คุ้นเคย และไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงนกเสียงกาเหล่านี้มากนัก
ใช้เวลาเพียงสามสิบนาทีเกวียนก็พาเธอมาจนถึงอำเภอ จางซิ่วอิงจ่ายค่าโดยสารเสร็จเรียบร้อยจึงเดินออกมาจากจุดนั้นทันที
ร่างบางเดินสำรวจตามท้องถนนมาเรื่อย ๆ ซึ่งที่นี่มีโรงเรียนประจำอำเภอขนาดใหญ่ โรงงานยาสูบที่พ่อเธอทำงานอยู่และโรงงานทอผ้า ซึ่งช่วงเช้าและช่วงเย็นที่พนักงานเลิกงานคนค่อนข้างพลุกพล่าน ตอนที่เธอมาถึงที่นี่ยังเป็นช่วงบ่ายซึ่งอีกเกือบสามชั่วโมงกว่าที่คนงานจะเลิกงาน
จางซิ่วอิงเลือกเดินสำรวจร้านรวงต่าง ๆ รอบบริเวณ เธอสังเกตเห็นแผงลอยที่ขายอาหารเป็นส่วนใหญ่ที่มีเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้น ร้านขายข้าวสารอาหารแห้งร้านใหญ่ที่มีลูกค้าเข้าออกตลอดไม่ขาดสาย ร้านเสื้อผ้าสองร้านตั้งอยู่คนละฝั่งมุมถนนก็ไม่ได้มีแบบให้เลือกมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าสีพื้นเรียบ ๆ เน้นไปทางสีเขียวเข้ม และสีกรมท่า
เมื่อเดินสำรวจอยู่สักพักเธอยังคิดไม่ออกว่าจะทำอาชีพอะไรในยุคนี้ดี พลันนึกขึ้นมาได้จากความทรงจำว่าที่นี่มีสถานที่หนึ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งเรียกว่า “ตลาดมืด” และในยุคนี้ก็ไม่ได้มีทางการควบคุมเข้มงวดอย่างเช่นหลายปีที่ผ่านมา หญิงสาวจึงพาตัวเองไปที่แห่งนั้นทันที
เพียงเวลาไม่นานจางซิ่วอิงเดินมาหยุดอยู่ที่ที่เรียกว่า ตลาดมืด โดยใช้ความทรงจำที่ติดตัวมา ดวงตาคู่เรียวสอดส่ายไปทั่วพลางลอบสำรวจวิถีชีวิตของคนในยุคนี้ เท่าที่เธอเข้าใจปีนี้ทางการได้ลดบทบาทหน้าที่ของคูปองต่าง ๆ ลงบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทรัพยาการที่มีอย่างจำกัดก็ไม่ได้เพียงพอต่อความต้องการขนาดนั้น เนื้อสัตว์ยังเป็นสิ่งขาดแคลน รวมถึงอาหารอย่างอื่นด้วยเช่นกัน ยิ่งใกล้เข้าฤดูหนาวอาหารยิ่งเป็นที่ต้องการ
ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มพร้อมประกายวาววับในดวงตา เมื่อนึกถึงหนทางหาเงินต่อจากนี้ขึ้นมาได้แล้ว
มือเรียวกระชับกระเป๋าผ้าข้างกายที่พกติดตัวไว้แน่น จากนั้นจึงพาตัวเองเดินเข้าไปสำรวจภายในสถานที่แห่งนี้ทันที การซื้อขายเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้เอิกเกริกแต่อย่างใด โดยตลอดทางที่ผ่านมาจะมีทั้งแบบยืนเร่ขายและวางแผงขาย ดูแล้วเจ้าของตลาดมืดคงมีเส้นสายพอสมควรเลยล่ะ
ดวงตาคู่สวยสอดส่องไปทั่วทุกมุมที่ตนเองเดินผ่าน ก่อนจะไปสะดุดกับแผงขายของขนาดเล็กที่มีเนื้อวางอยู่หนึ่งชิ้น มีพ่อค้าที่ยืนทำสีหน้าลำบากใจ และตรงข้ามมีหญิงวัยกลางคนกับชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปลาย ๆ กำลังพูดคุยกันด้วยบรรยากาศตึงเครียด
หลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มเป็นผู้หยิบเนื้อชิ้นนั้นขึ้นมาจ่ายเงินแล้วเดินจากไปในทันที ส่วนหญิงวัยกลางคนเมื่อไม่ได้เนื้อที่ต้องการก็เดินหันหลังไหล่ตกออกมาจากแผงขายเช่นกัน
เห็นดังนั้นจางซิ่วอิงรู้สึกได้ถึงโอกาสอันพอเหมาะพอดี ไม่รอช้าหญิงสาวรีบเดินตรงไปหาหญิงวัยกลางคนนั้นทันที
“สวัสดีค่ะคุณป้า มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?”หญิงสาวถามออกไปด้วยท่าทีเป็นมิตร ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มเบาบางอยู่ตลอด
“เธอเป็นแม่ค้าหรือเปล่า? พอดีฉันอยากได้เนื้อ แต่วันนี้ฉันมาช้าเลยไม่ทันแผงขายเนื้อ ไม่รู้วันนี้จะมีแผงอื่นมาขายอีกหรือเปล่า”ความกังวลฉายชัดอยู่ในน้ำเสียงของหญิงชรา
วันนี้ลูกสาวของเธอกับสามีจะมาเยี่ยมบ้านหลังจากแต่งออกไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว หากที่บ้านไม่มีอาหารจานเนื้อสักจาน เกรงว่าจะทำลูกสาวขายหน้าเอาได้ ซึ่งโดยปกติที่บ้านจะทำอาหารจานเนื้อหนึ่งจานขึ้นโต๊ะอยู่แล้ว ทว่าวันนี้เนื้อที่ซื้อไว้หมดเกลี้ยง อีกทั้งที่ร้านยังมีลูกค้าเข้ามาเนืองแน่นตั้งแต่เช้า กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ก็เลยเวลาไปมากแล้ว
“หนูพอจะหาให้คุณป้าได้นะคะ ว่าแต่คุณป้าต้องการเนื้อส่วนไหน เท่าไหร่บ้างเหรอคะ?”จางซิ่วอิงถามขึ้นอย่างตื่นเต้น นี่คือโอกาสทำการค้าครั้งแรกของเธอในโลกนี้ เธอไม่ปล่อยให้โอกาสนี้สูญเปล่ารีบถามความต้องการของลูกค้ารายแรกในทันที
พอได้ยินว่าหญิงสาวรุ่นลูกสามารถหาเนื้อให้เธอได้ ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยจึงคลายความกังวลลงได้หลายส่วน จากนั้นไม่ลืมที่จะถามหาของอย่างอื่นจากเธออีกด้วย “นอกจากเนื้อเธอมีอย่างอื่นขายอีกหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็มีหลายอย่างค่ะคุณป้า พอดีว่าสามีของฉันพอจะมีเส้นสายอยู่บ้างน่ะค่ะ” จางซิ่วอิงรีบตอบรับด้วยความดีใจ ใบหน้าสวยยิ้งกว้างจนตาแทบปิด
“อย่างนั้นฉันเอาตามรายการนี้ เธอพอจะหาได้หรือไม่ล่ะ?”
มือเรียวรับกระดาษใบเล็กที่มีรายการสินค้านับสิบอย่างมาอ่านเพียงครู่เดียว ก่อนจะตอบรับไป “อ่า ได้ค่ะ แต่ต้องใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมง ไม่ทราบว่าคุณป้าจะไปเดินดูอย่างอื่นก่อน หรือจะรออยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นะคะ”
จากรายการที่เธอถืออยู่ในมือ คร่าว ๆ จะมีขาหมูห้าขา เนื้ออย่างดีราวแปดชั่ง เครื่องเทศและผักสดอีกหลายรายการ
จางซิ่วอิงไม่ได้มีปัญหากับรายการสินค้าแต่อย่างใด เพราะในมิติของเธอมีของพวกนี้เพียงพออยู่แล้ว แถมยังเป็นวัตถุดิบอย่างดีอีกต่างหาก แต่ทว่าจะให้ควักออกมามากมายขนาดนี้ในชั่วพริบตาก็เกรงว่าคุณป้าจะตกใจเอาได้
“อย่างนั้นเธอเอาไปส่งฉันที่ร้านขายของแห้งที่มุมถนนฝั่งนู้นก็แล้วกัน ส่วนเรื่องราคาเธอจะคิดอย่างไร?”เรื่องราคาเป็นสิ่งสำคัญมากที่แม่ค้าอย่างเธอต้องตกลงให้ชัดเจนทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน
จางซิ่วอิงหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เรื่องราคาหนูคิดตามที่คุณป้าเคยซื้อก่อนหน้านี้เลยค่ะ แล้วอีกครึ่งชั่วโมงหนูเอาไปส่งคุณป้าที่ร้านนะคะ”
ถึงอย่างไรสินค้าทุกรายการก็ไม่ได้มีต้นทุนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะขายราคาไหนเธอก็ไม่มีวันขาดทุนอย่างแน่นอน
“ได้ ฉันชื่อหลี่ฟางอิง เป็นเจ้าของร้านนั้น”
“ค่ะ หนูชื่อจางซิ่วอิงนะคะ”หญิงสาวกล่าวแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะแยกตัวจากคุณป้าฟางอิงหลังจากนั้น
เธอเดินตรงไปยังมุมตึกที่ค่อนข้างไร้ผู้คน ก่อนจะเลี้ยวขวาไปยังซอกตึกที่ลับตาคนมากพอที่จะหยิบของหายรายการออกมาตามคำสั่งซื้อ
ไม่นานจางซิ่วอิงพร้อมสินค้าพะรุงพะรังก็มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายอาหารแห้งตระกูลเฉิง ภายในร้านมีสินค้าข้าวสาร และอาหารแห้งให้เลือกสรรละลานตา ลูกค้าเดินเข้าออกกันขวักไขว่ไม่ขาดสาย ดูแล้วกิจการคงรุ่งเรืองมากทีเดียว เห็นอย่างนั้นหญิงสาวยิ่งรู้สึกถึงไฟในกายกำลังลุกโชนขึ้นมา ในหัวสมองเริ่มวาดฝันถึงธุรกิจในอนาคตของครอบครัว
“อ้าว! เธอนี่เอง เข้ามาก่อนสิ!!”
ภายในบ้านหลังสีขาวขนาดกลางในย่านการค้าสำคัญ เสียงหัวเราะพูดคุยของคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ช่วยทำให้บรรยาของบ้านหลังนี้ดูอบอุ่นไม่น้อยในช่วงเช้าอากาศสดใสจางซิ่วยืนมองหน้าท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อยของตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ใบหน้าเอิบอิ่มของคุณแม่ยังสาวนับวันยิ่งสวยขึ้นจนผิดหูผิดตาตอนนี้เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว หลังจากที่เจ้าสองแสบเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน สามีอย่างหยางซีห่าวที่ขยันบอกรักภรรยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ขยันมากขึ้นอีกหลายเท่า จนผ่านไปสองเดือนเจ้าหัวผักกาดหัวที่สามก็ถือกำเนิดขึ้นมาในท้องของเธอในที่สุด“ผมต้องไปแล้วครับ คุณก็อย่าหักโหมนะครับ ผมเป็นห่วง”ชายหนุ่มเอ่ยเตือนภรรยาประโยคเดิมเช่นทุกวัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มฟังดูอบอุ่น ทั้งแววตาที่มองภรรยานั้นอ่อนโยนกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นไหน ๆเพราะภรรยาของเขานั้นขึ้นชื่อเรื่องความขยันขันแข็ง ในแต่ละวันเธอทั้งทำงานนอกบ้าน ทำอาหาร เลี้ยงลูก
จางซิ่วอิงยังต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งก็ทำให้ลูกน้อยทั้งสองต้องอยู่กับเธอด้วย หยางซีห่าวก็เช่นกัน เขาทำเรื่องลางานถึงหนึ่งเดือนเพื่อมาดูแลภรรยาและลูกน้อยทั้งสองด้วยตนเอง“เด็ก ๆ ป้ามาแล้ววววว!!”เยว่ผิงอันส่งเสียงเรียกหลานทั้งสองก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาในห้องเสียอีก เธอเข้ามาเยี่ยมหลาน ๆ พร้อมกับสามีที่ถือของพะรุงพะรังตามหลังมาจางซิ่วอิงยิ้มให้กับคนเห่อหลานทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะให้สามีรับข้าวของเหล่านั้นและนำไปเก็บไว้ก่อน“ผมฝากดูแลเธอและเด็ก ๆ ด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา”หยางซีห่าวพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล วันนี้เขากับพี่ภรรยามีธุระที่ต้องไปสะสางจึงต้องฝากเธอกับลูกไว้กับพี่สะไภ้เสียก่อนจางซิ่วอิงยังไม่หายดีนัก ส่วนลูกทั้งสองแม้จะเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแต่การมีคนคอยช่วยเหลือย่อมดีกว่า เขาไม่อยากให้ภรรยาเหนื่อยจนเกินไป“ไปจัดการ
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างโปร่งแสงไปอย่างแรงจนผมยาวพลิ้วไสวไปตามแรงลม จางซิ่วอิงเผยรอยยิ้มยินดีออกมาในทันที เธอเข้าใจว่าคุณยายรับรู้ความปรารถนาของเธอแล้วจึงเอ่ยพรข้อที่สามออกไป“พรข้อสุดท้ายฉันขอให้ฉันและลูก ๆ ปลอดภัยค่ะ ขอโอกาสให้ฉันได้คลอดพวกเขา ให้พวกเขาได้ออกมาใช้ชีวิตบนโลกอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”คำอ้อนวอนปนเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวลอยหายไปตามสายลม ก่อนจะได้รับรู้ได้ถึงลมอีกระลอกหนึ่งพัดผ่านร่างของเธอไปอย่างรวดเร็ว สายลมแรงนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บ แต่ทว่ากลับทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่โอบรอบตัวเธอเอาไว้ต่างหาก“พรของหล่อนถูกใช้หมดแล้วนะ ต่อจากนี้ยายขอให้หล่อนมีชีวิตที่ดี”เสียงของหญิงชราดังแว่วอยู่ไกล ๆ จางซิ่วอิงพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ก็ไม่พบ ทว่าเมื่อมองไปยังหน้าห้องคลอดที่มีร่างของเธอนอนนิ่งอยู่ กลับเห็นเด็กชายหญิงหน้าตาน่ารักยืนยิ้มแฉ่งให้เธออยู่
ซ่งเฟยหลงประกาศกร้าวพร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปยังผู้ก่อเหตุทั้งหมด อันธพาลสี่คนที่ถูกจ้างมาให้คอยช่วยเหลือหวงไฉ่หง เมื่อเห็นชายในชุดเครื่องแบบทหารพร้อมปืนก็หวาดกลัวจนต้องยกมือขึ้นเหนือหัว ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นตามคำสั่ง แม้แต่หวงไฉ่หงเองที่เป็นเพียงชาวบ้านชนบทมีหรือจะกล้าขัดขืนพันโทซ่งเฟยหลงย้ายมาประจำการที่นี่ในวันนี้ซึ่งเขาไปรายงานตัววันแรก พอเรียบร้อยแล้วก็เจอเข้ากับลูกน้องเก่าอย่างหยางซีห่าวกำลังออกจากค่ายพอดี เขาจึงขอติดรถออกมาด้วยเพื่อหาบ้านพักชั่วคราว ระหว่างรอทำเรื่องขอบ้านพักสวัสดิการ ซึ่งหยางซีห่าวก็รับปากว่าจะพาไปดูบ้านพัก แต่ขอไปรับภรรยาที่กำลังท้องแก่เสียก่อน แต่เมื่อรถเข้ามาจอดภาพเหตุการณ์อุกฉกรรจ์นี้ก็ทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าวิ่งมาจากรถที่จอดอยู่อีกด้านทว่าจากที่ซ่งเฟยหลงคิดว่าเป็นเหตุการณ์ของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคงไม่ใช่แล้ว เพราะลูกน้องอย่างหยางซีห่าวรีบวิ่งไปประคองหญิงท้องแก่ พร้อมตะโกนเรียกชื่อภรรยาดังลั่น“ซิ่วอิง ภรรยา!”
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรจางซิ่วอิงก็อุ้มท้องเจ้าหัวผักกาดมาได้จนถึงแปดเดือนแล้ว เพราะขนาดท้องที่ใหญ่กว่าปกติของคุณแม่ลูกแฝดทำให้การเดินเหินค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากโดยปกติแล้วการมาทำงานของจางซิ่วอิงจะต้องมีพี่ชายหรือสามีอยู่ด้วยเพื่อคอยระมัดระวังหากเกิดเหตุไม่คาดคิด แต่ทว่าเมื่อวานโรงงานผลไม้กระป๋องของเธอที่อยู่ต่างเมืองมีปัญหาพี่ชายอย่างจ้าวคุนจึงรับอาสาไปดูแทนส่วนสามีนั้นติดภารกิจตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอันที่จริงเขาทำภารกิจนี้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน แต่ต้องอยู่ต่ออีกนิดเพื่อทำเรื่องลาหยุดงานมาดูแลเธอจนกระทั่งคลอด ซึ่งคนเป็นภรรยาเองก็เข้าใจและไม่ได้เร่งรัดอะไรจากคนเป็นสามี เพราะอย่างไรวันนี้เธอก็ตั้งใจจะมาทำงานวันสุดท้ายอยู่แล้ว ท้องเธอโตมากและใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว การเดินทางไปทำงานคงไม่สะดวกนัก หลังจากนี้จึงตั้งใจว่าจะให้พี่สะไภ้เอางานส่วนของเธอมาให้ที่บ้านแทนจางซิ่วอิงเดินไปยังลานจอดรถโดยมีพี่สะไภ้คอยประคองอย
“ฉุนเหรอคะ?” คำพูดของเจ้านายสาวทำเอาแม่บ้านซุนคิดหนัก หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม พยายามนึกถึงอาหารแต่ล่ะจานว่าเธอทำผิดพลาดที่ตรงไหนกัน มีส่วนผสมอะไรที่ผิดแปลกหรือพิศดารจึงได้ทำให้เจ้านายอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุงเช่นนี้“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ได้ว่าอาหารของป้าซุนไม่ดี แต่ว่าฉันได้กลิ่นแล้วรู้สึกเวียนหัวมากจริง ๆ”หญิงสาวกล่าวขอโทษแม่บ้านทั้งน้ำตาคลอหน่วย เธอเห็นแก่ความทุ่มเทของป้าซุนที่พยายามรังสรรอาหารหลากหลายอย่างเพื่อเอาใจเธอ แต่กลิ่นแบบนั้นเธอไม่สามารถทนได้จริง ๆแม่บ้านวัยกลางคนได้รับคำยืนยันเช่นนั้นก็คิดหนัก แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เห็นทีฝีมือการทำอาหารของเธอคงตกเสียแล้ว พลันวิ่งเข้าไปเตรียมยาดมและยาหอมมาให้กับเจ้านายเพื่อบรรเทาอาการเยว่ผิงอันที่ยืนอยู่ข้างกันกับคู่หมั้นหนุ่มพอฟังอยู่ไม่ไกลนั้นรู้สึกแปลกใจกับน้องสาวขึ้นมาในทันที อาหารบนโต๊ะนั้นแน่นอนว่าล้วนเป็นอาหารอย่างดี ถูกรังสรรขึ้นมาจนหน