บทที่ 25 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(4)
“เจ้าว่ายังไงนะ”
ในทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของเพื่อนบ้าน จางหลงก็รู้สึกหวาดวิตกในทันที ด้วยหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในตลอดระยะช่วงเวลาที่ผ่านมา ต่อให้เขาจะไม่ได้เชื่อที่เด็กๆพูดทั้งหมด แต่อีกใจหนึ่งเขาก็เชื่อบ้างแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดเด็กหญิงผู้มาใหม่ผู้นี้คงไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป เพราะต่อให้โง่สักแค่ไหน
ลองคิดดูง่ายๆว่าแค่จำนวนอาหารที่เด็กหญิงนำออกมา ให้คนในหมู่บ้านสามารถดื่มกินกันอย่างฟุ่มเฟือยในตลอดระยะเวลาเดือนเศษนี้ ซึ่งมีทั้งเนื้ออย่างดี พืชหัวที่นางเรียกว่ามันฝรั่งกับมันหวาน ที่แม้จะไม่ได้รับการปรุงแต่ก็ยังสามารถให้รสอร่อยกับผู้ที่กินมันได้ แล้วยังมีลูกอมกับน้ำสีดำนั้นอีก
ไม่ว่าจะเป็นในด้านของสติปัญญาที่ล้ำเลิศกว่าผู้คนในหมู่บ้าน ทั้งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาสงสารผู้คนจำนวนมาก สามารถแจกจ่ายสิ่งมีค่าเหล่านั้นให้กับพวกเขาอย่างไม่เสียดาย
ลำพังเพียงเท่านั้นมันก็เกินกว่าคนทั่วไปไปมากแล้ว...
เพราะต่อจะให้เป็นคนที่ร่ำรวยมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครที่จะมอบสิ่งของที่ตนเองมีให้กับคนอื่นมากมายขนาดนี้อย่างง่ายดาย แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้รู้สึกรู้สากับสิ่งที่นางได้มอบให้ผู้คนด้วยซ้ำ ทำราวกับว่าสิ่งที่นางทำนั้นเป็นเรื่อง ปกติธรรมดาเสียอย่างนั้น ไม่มีแต่แม้แต่สักครั้งเดียวที่นางจะแสดงออกถึงความเสียดาย กับอาหารปริมาณมากมายที่นางสามารถเอาไปขายทำเงินได้อย่างมหาศาล
“เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ทำผิด หรือไม่ได้ตั้งใจใส่ร้ายพวกมัน”
“หัวหน้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนเช่นไร ถึงข้าจะไม่ใช่คนกล้าหาญหรือคนดีมากนัก หรือต่อให้พวกมันจะเป็นคนที่นิสัยไม่ดี คอยรบกวนชาวบ้านอยู่เสมอ แต่สำหรับข้าแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นเลยไม่ใช่หรือ ข้าจะโป้ปดใส่พวกมัน แล้วให้พวกมันมาหาเรื่องข้าในภายหลัง ข้าไม่ทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน”
“นี่ก็เริ่มจะมืดแล้วด้วยสิ” จางหลงแหงนมองท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนสีไปทุกๆที หมู่ดาวเองก็เริ่มมีประดับประดาอยู่บนท้องฟ้าบ้างแล้ว “ถ้าอย่างนั้นเรารีบกลับกันเถอะ เผื่อว่าจะทันก่อนที่พวกมันจะทำอะไรกับสิ่งที่ขโมยไป อย่างน้อยที่สุดถ้าสามารถนำมาคืนได้ ก็คงจะไม่ทำให้นางโกรธมากนัก”
“แต่หัวหน้าก็รู้ดีนี่ว่าพวกมันเป็นคนเช่นไร ยิ่งมีน้องชายของท่านค่อยให้ท้ายแบบนี้แล้ว...”
“ข้ารู้ดีว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร...”
เมื่อนึกถึงน้องชายหัวแก้วหัวแหวนที่เคยเป็นเด็กดีของบ้าน ที่ยิ่งผ่านเวลาไปเนิ่นนานเท่าไรก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในตอนนี้แทบจะไม่สามารถมองหน้ากันดีๆได้ด้วยซ้ำ
เขารู้ดีว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้น้องชายเปลี่ยนไปมาก พยายามที่จะทำตัวใจใหญ่แบ่งปันสิ่งของที่มี หวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน ทั้งที่ลับหลังแล้วเขากระทำอะไรเอาไว้บ้างคนส่วนใหญ่ก็รู้ดีเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่เคยไปถึงฝั่งฝันของตนเองสักที
‘ทั้งๆที่เจ้าสามารถมาขอพี่ได้ตรงๆ แท้ๆ ถ้าหากเป็นสิ่งที่เจ้าอยากได้พี่ก็ให้เจ้าเสมอมาไม่ใช่หรือ’
“เอาเป็นว่าพวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนล่วงหน้าไปก่อน เจ้าไปแจ้งทุกคนว่าให้ไปรวมตัวกันที่บ้านของข้า เดี๋ยวหลังจากที่เข้าไปคุยกับพวกมันแล้วจะมาปรึกษากับพวกเจ้าอีกทีนึง เผื่อว่าตอนนี้มันยังไม่สายเกินไป” มัวแต่คิดเรื่องเก่าก่อนไปก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จางหลงจึงทำได้เพียงแค่อยู่กับปัจจุบัน และพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“เข้าใจแล้วหัวหน้า หัวหน้ารีบไปเถอะ จะอย่างไร หัวหน้าก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ต่อให้พวกมันจะดีจะชั่วอย่างไร มันก็ควรจะฟังนักรบระดับสองดาวอยู่บ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี้... อ้อ แล้วก็อย่าลืมบอกทุกคนว่าอย่าเพิ่งไปแจ้งเรื่องนี้กับคุณหนูเย่หัวเป็นอันขาด ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากให้พวกมันทุกคนเอาสิ่งของที่ขโมยไปมาคืน แล้วมาขอโทษนางเสีย ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก”
“ได้หัวหน้า ยังไงเราก็ออกมาจากเรือนของนางก่อนแล้ว คงไม่มีใครก็กลับไปแจ้งนางแน่นอนหัวหน้าสบายใจได้”
“ถ้าอย่างนั้นเราแยกกันตรงนี้ ข้าขอล่วงหน้าไว้ก่อน” กล่าวจบแล้วจางหลงก็พุ่งตัวหายลับไปท่ามกลางความมืดที่เริ่มคืบคลานเข้ามา
และไม่นานนักจางหลงก็เดินทางมาถึงบ้านของหัวหน้ากลุ่มของกลุ่มกลุ่มนี้ ตามที่ได้ยินได้ฟังมาว่าพวกมันจะมาแบ่งของกันที่นี่
“จางเจี๋ยออกมาพบข้าหน่อย...” ในทันทีที่มาถึงจางหลงก็รีบตะโกนเรียกเจ้าของบ้านในทันที “ข้าให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจถ้ายังไม่ออกมาข้าจะบุกเข้าไปเอง”
“ท่านหัวหน้า” เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้นผู้ที่ถูกเรียกขานก็รีบพุ่งออกมาจากบ้านในทันที จะอย่างไรจางหลงก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ต่อให้เขาจะไม่ได้หวั่นเกรงมากนัก แต่ก็ยังคงหวาดกลัวในพลังนั้นอยู่
“เจ้าได้ทำมันลงไปจริงๆใช่ไหม” ไม่มีการอ้อมค้อมแต่ประการใด จางหลงเข้าเรื่องในทันที “ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไปรีบไปเอาของที่เจ้าขโมยมาเสีย แล้วข้าจะเป็นคนนำของไปคืนนางพร้อมกับคำขอโทษเอง”
“ไม่ทันแล้วขอรับท่านหัวหน้า พวกข้าแบ่งกันแล้วเอาไปปลูกเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้พวกเราทุกคนจะมีแปลงมันอยู่หลังบ้าน หน้าหนาวปีนี้ข้าจะไม่ยอมให้ครอบครัวของพวกข้าอดตายอย่างเด็ดขาด”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง