งานสวดอภิธรรมศพของนักธุรกิจใหญ่อย่างคุณสามารถนักธุรกิจผลิตและส่งออกเม็ดพลาสติกรายใหญ่ของประเทศมีแขกร่วมงานเป็นจำนวนมาก
หลายคนจับจ้องที่ลูกสาวคนเดียวซึ่งมีข่าวลือหนาหูว่าตั้งครรภ์ตั้งแต่เรียนยังไม่จบและหนีไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ
เมื่อเมลดาเดินเข้ามากับมารดาและลูกชายคนในศาลาก็พากันมองด้วยความสนใจ เสียงซุบซิบนินทาดังมาเข้าหูอยู่เรื่อยๆ แต่หญิงสาวก็ไม่สนใจเพราะคิดแล้วว่าสักวันก็ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้
“ไม่เป็นไรนะ อย่าไปสนใจคำพูดของคนอื่นเลย” อรอินทร์ จับมือเพื่อนไว้เพื่อเป็นการให้กำลังใจ
“เรื่องที่เขาพูดมันก็คือความจริงนะอิ๊นซ์”
“แต่มันผ่านมานานแล้วนะโมเดล”
“แต่ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนความจริงมันก็คือความจริง ซึ่งเราคงไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับมันเท่านั่น”
“โมเดลเข้มแข็งขึ้นมากจริงๆ เสียพ่อไปแล้ว พอกลับมายังเจอคำนินทาถ้าเป็นเราคงแย่แน่” เดนิสาจับมืออีกข้างของเมลดาเพื่อให้กำลังใจ
“เราก็แย่นะเดซี่ แต่เราจะร้องไห้ให้ใครเห็นไม่ได้ เรามีทั้งแม่และลูกที่ต้องดูแล ถ้าเราจะอ่อนแออีกคนก็คงไม่ดีเท่าไหร่”
ระหว่างที่เมลดากำลังคุยกับเพื่อนอยู่นั้นแต่แขกก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีมาวินและมารดาของเธอคอยต้อนรับแขกอยู่ด้านหน้าเพราะเมลดาไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ จึงได้แต่นั่งดูแลบอสตันอยู่ด้านในศาลาเท่านั้น
“โมเดลกับพี่วินยังติดต่อกันอีกเหรอ” อรอินทร์เคยได้ข่าวมาบ้างว่าเพื่อนแอบคบกันแต่ตอนนั้นเมลดาก็ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้คบกับรุ่นพี่หนุ่มคนนั้น
“เราก็ติดต่อกันตลอดถ้าไม่มีพี่วินเราคงแย่”
“เขาคบกับโมเดลนานแล้วเหรอ” เดนิสาถามเพราะเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“เปล่าหรอกเดซี่ เรากับพี่วินไม่ได้คบกัน”
“แต่ดูเขาสนิทสนมกับแม่ของโมเดลมากเลยนะแล้วยังจะคอยต้อนรับแขกอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าภาพอีก ถ้าเขาไม่คิดอะไรกับโมเดลเขาจะทำแบบนั้นทำไมล่ะ”
“ไปกันใหญ่แล้วอิ๊นซ์”
“เราก็พูดไปตามที่เห็นน่ะคนอื่นก็คงคิดไม่ต่างจากเรา”
“โมเดลตอนเราไปเข้าห้องน้ำเราก็ได้ยินคนเขาพูดกันด้วยว่าพี่วินคือพ่อของน้องบอสตันเพราะทั้งสองคนหน้าตาดูคล้ายกันมากแล้วตอนที่พี่วินเขาก็ยังมาช่วยงานอีก” เดนิสาบอกถึงสิ่งที่ตนเองได้ยินมาให้เพื่อนรู้
“แล้วตอนนี้พี่วินก็เข้ามาช่วยงานคุณพ่อของโมเดลที่บริษัทด้วยเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” อรอินทร์ยังไม่หายสงสัยเธอ กำลังสับสนว่าใครกันแน่ที่เป็นพ่อของน้องบอสตัน
“เราไม่อยากจะพูดเรื่องนี้เลยเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่วิน แต่ถ้าเขาไม่พูดอิ๊นซ์กับเดซี่ก็ยังคงสงสัยเหมือนกับคนอื่น”
“ถ้าโมเดลลำบากใจ ก็ไม่ต้องเล่าให้เราสองคนฟังก็ได้นะ” อรอินทร์ก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบากใจถึงแม้ว่าตัวเองอยากจะรู้ความจริงมากแค่ไหนก็ตาม
“เรื่องที่เราจะบอกมันเป็นความลับเดซี่กับอิ๊นซ์ห้ามบอกใครนะ”
อรอินทร์กับเดนิสาพยักหน้าพร้อมกันทันทีด้วยความอยากรู้
“เรากับพี่วินเป็นพี่น้องกัน”
“อะไรนะ /อะไรนะ”
“ เบาๆ สิ”
“ก็คนมันตกใจนี่ โมเดลเสียใจจนเพ้อไปหรือกำลังสับสนอะไรหรือเปล่า” เดนิสามมองหน้าเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจ
“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่โมเดล” อรอินทร์ตั้งสติได้ก็ถามต่อ
เมลดาเล่าให้เพื่อนฟังว่าตนเองกับมาวินมีพ่อคนเดียวกัน แต่ที่ต้องปิดบังคนอื่นก็เพราะมารดาของมาวินเป็นภรรยาน้อยจึงไม่อยากให้คนอื่นรู้เพราะกลัวมาวินจะถูกคนอื่นมองไม่ดี
“แต่พี่วินกับแม่ของโมเดลก็ดูสนิทกับพี่วินมากนะ”
“พี่เขามาช่วยงานที่บริษัทตั้งแต่เรียนจบและคอยดูแลพ่อกับแม่ตอนที่เราไม่อยู่”
“แบบนี้ไงคนอื่นเข้าใจผิด”
“จริงๆ แม่ก็อยากบอกทุกคนนะว่าพี่วินคือลูกของพ่ออีกคน”
“น่าสงสารเหมือนกันนะ ที่เขาช่วยงานคนอื่นก็คิดว่าเพราะทำเพื่อเจ้านายทั้งที่ตนเองกำลังทำหน้าที่ลูก” เดนิสาพูดอย่างเห็นใจ
“แต่เขาก็ดูเข้มแข็งมากเหมือนกันนะ ต้องคอยต้อนรับแขกในฐานะลูกจ้างทั้งที่ตัวเองก็คือลูกแท้ๆ” แท้อรอินทร์รู้สึกเห็นใจพี่ชายของเพื่อนมาก
“พี่วินคือพี่ชายที่ดีมาก ถ้าเราไม่มีพี่วินก็คงแย่ เราไม่เคยเห็นว่าพี่วินเป็นคนอื่นเลย เรารู้สึกว่าพี่วินเหมือนลูกชายอีกคนของแม่”
“แล้วแม่เขาล่ะมาร่วมงานหรือเปล่า”
“คนนั้นไง ที่นั่งอยู่ซ้ายสุดของโต๊ะ”
“ดูเขาเศร้าเหมือนกันนะ” เดนิสามองหญิงวัยกลางคนที่มีนัยน์ตาเศร้าแล้วก็รู้สึกเห็นใจ
“ทุกคนเศร้ามากเพราะพ่อจากไปอย่างกะทันหันแต่หมอบอกว่าพ่อไม่ได้ทรมานอะไรเลยท่านเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ” เมลดาเล่าให้เพื่อนฟังด้วยเสียงที่สั่นเครือ
อรอินทร์กับเดนิสาต้องช่วยกันปลอบอีกพักใหญ่กว่าเมลดาจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม
“แม่ครับ แม่ครับผมอยากไปเข้าห้องน้ำ” บอสตันที่นั่งดูการ์ตูนอยู่สะกิดมารดาและกระซิบเบาๆ เพราะตกลงกันมาจากที่บ้านแล้วว่าการมาร่วมงานคืนนี้จะต้องนั่งให้เรียบร้อยที่สุดเพราะคุณตาจะคอยดูอยู่ไกลๆ
“ได้สิ บอสตันเก็บแท็บเล็ตและถอดหูฟังออกก่อนนะ แล้วแม่จะพาไปเข้าห้องน้ำ” เมื่อลูกชายกำลังเก็บของเมลดาก็หันมาบอกเพื่อนทั้งสองคนว่าตนเองจะพาบอสตันไปเข้าห้องน้ำ
“ให้เราไปเป็นเพื่อนไหมโมเดล”
“ไม่เป็นไรหรอกเดซี่ ใกล้แค่นี้เอง”
เมลดาพาบอสตันมายังห้องน้ำซึ่งตอนนี้มีคนต่อคิวอยู่ก่อนหน้านี้แล้วหนึ่งคน
“แม่ครับ ผมโตแล้ว ผมเข้าห้องน้ำเองได้”
“หนูต่อคิวแล้วเข้าห้องน้ำคนเดียวได้จริงๆ ใช่ไหมบอสตัน”
“ครับแม่”
“ถ้ายังงั้นแม่ออกไปยืนรอข้างนอกนะครับ เสร็จแล้วหนูก็ล้างมือให้เรียบร้อยแล้วเดินตามออกไปได้ไหม แม่จะรออยู่ข้างนอก”
“ได้ครับ”
เมลดาออกมายืนรอลูกชายด้านนอก ระหว่างนั้นก็มองไปทั่วบริเวณวัดซึ่งนอกจากจะมีงานสวดอภิธรรมศพของบิดาของตนเองศาลาอีกด้านก็มีงานของคนอื่นด้วย
เมื่อมองไปเรื่อยๆ สายตาของเธอก็สะดุดกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายกับคนรักเก่าของเธอมาก แล้วพอผู้ชายคนนั้นหันกลับมาหญิงสาวก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเขาตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงไทย แต่ก็นับว่ายังโชคดีอยู่เพราะบริเวณที่เมลดายืนอยู่นั้นไม่ได้สว่างมาก เธอรีบเดินไปหน้าห้องน้ำแล้วเรียกลูกชายเพราะอยากจะรีบออกไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะมาใช้ห้องน้ำซึ่งมีแค่จุดที่เธอยืนอยู่จุดเดียวเท่านั้น
“บอสตันเสร็จหรือยังลูก”
“เสร็จแล้วครับแม่ ผมกำลังล้างมืออยู่ครับ”
พอลูกชายเดินออกมาจากห้องน้ำเมลดาก็รีบพากลับไปยังศาลาที่จัดงานศพอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินมาถึงพระก็เริ่มสวดพอดีทำให้เมลดายังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้อรอินทร์กับเดนิสาฟังว่าตนเองไปถึงกับใครมา
หลังจากพระสวดอภิธรรมเสร็จเธอกับเพื่อนก็ออกไปยืนส่งแขกที่กำลังจะกลับโดยไม่ลืมที่จะมอบขนมและน้ำผลไม้ให้แขกติดมือกลับบ้านไปด้วย
งานแต่งงานของเมลดาและวาคิมถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายหลังจากครบวันเสียชีวิตของคุณสามารถหนึ่งปี แขกที่มาในงานก็เป็นญาติและเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่าย นอกจากบ่าวสาวที่เหมาะสมกันมากแล้วยังมีเด็กชายคิมหันต์ที่ช่วยบิดามารดารับแขกด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม เขามีความสุขกว่าใครทั้งหมดเพราะนอกจากจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบิดามารดาแล้ววาคิมยังบอกด้วยว่าหลังจากนี้จะให้เขาเตรียมตัวเป็นพี่ชายได้เลยหลังจากส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วบอสตันก็กลับไปนอนกับคุณปู่คุณย่าเพราะพรุ่งนี้ท่านทั้งสองจะพาเขาไปเที่ยวทะเล เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แต่งงานได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง“โมเดลผมมีของขวัญให้คุณด้วยนะ”“อะไรคะ” เมลดาที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จกระโดดขึ้นมาบนเตียงเมื่อเห็นกล่องของขวัญที่เขาถือเธอก็ยิ้ม“ลองเปิดดูสิ” หญิงสาวเปิดกล่องของขวัญออกว่าดูแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะข้างในเป็นสร้อยที่เธอเคยบอกว่าอยากได้แต่ตอนนั้นวาคิมบอกกับเธอว่าเขาขอเก็บเงินอีกนิดแล้วจะซื้อให้ แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอกับเขาก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปคนละทิศทาง“คุณซื้อมาตั้งแต่ตอนไหนคะวาคิม”“ผมซื้อก่อนสอบวันสุดท้าย ช่วงนั้นเรามีปากเสียงกันและผมก็อยากซื้อสร
ในวันสอบวันสุดท้ายบอสตันไม่ต้องไปเรียนว่ายน้ำ วันนี้คุณยายบอกว่าให้รีบกลับบ้านเพราะที่บ้านจะมีแขกมาทานข้าวด้วยแขกที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นบิดามารดาของวาคิมที่ตั้งใจจะมาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเพื่อจะบอกความจริงถึงเรื่องในอดีตให้กับบอสตันรู้เมื่อทุกคนทานอาหารอิ่มแล้วก็มานั่งรวมตัวกันที่ห้องรับแขกบอสตันนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเมลดากับวาคิมที่วันนี้สีหน้าของเขาดูเครียดกว่าทุกครั้ง“บอสตันมาอยู่เมืองไทยได้ 4 เดือนแล้วหนูมีความสุขไหมลูก ชอบเมืองไทยหรือเปล่า” คุณมยุรีถามหลานชายเพื่อเป็นการเปิดทางสำหรับคำถามต่อไป“ผมมีความสุขมากๆ เลยครับคุณยายผมชอบที่นี่มากที่สุด” บอสตันตอบไปยิ้มไปเพราะเขาชอบที่นี่จริงๆ“บอกย่าหน่อยได้ไหมล่ะครับว่าทำไมถึงชอบที่นี่” มารดาของวาคิมช่วยถามหลายชาย“ที่นี่คนเยอะดีครับผมไม่เหงาเลยสักนิด พอวันหยุดก็ได้ไปเที่ยว ผมชอบไปเที่ยวกับลุงคิมมากที่สุดครับ” เขาตอบแล้วหันมองหน้าลุงคิมที่มองเขาด้วยความรัก“ถ้าบอสตันชอบเที่ยวกับลุงคิมมากๆ แล้วลุงคิมเขาจะขอมาเป็นพ่อของบอสตันได้ไหม” คุณย่าของเด็กชายถามต่อ“ผมอยากให้ลุงคิมเป็นพ่อนะครับ แต่พ่อที่ตายไปแล้วล่ะครับ พ่อจะเสียใจไหมท
“ที่ผ่านมาคุณไม่เคยมีคนอื่นใช่ไหม”“เดลไม่เคยมีคนอื่น”“เราอะไรเพราะบอสตันเหรอ”“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”“แสดงว่ามีเหตุผลอื่น บอกผมได้ไหม” วาคิมถามขณะไล้ปลายนิ้วไปบนผิวเนียนนุ่ม“เดลยังลืมคุณไม่ได้และกลัวว่าคนอื่นจะทำให้เดลมีความสุขน้อยกว่าคุณ”เมลดาบอกทุกอย่างไปตามที่ตนเองคิดเพราะไม่ว่าจะเดทกับผู้ชายคนไหนเธอก็จบแค่การทานข้าวเพราะในใจนั้นมีแต่วาคิมอยู่ตลอด“ผมดีใจนะที่คุณไม่มีใคร ถึงผมจะเคยนอนกับคนอื่นบ้างแต่บอกได้เลยว่าไม่มีใครเด็ดเท่าคุณอีกแล้ว คุณอยากพิสูจน์คำพูดของผมไหมล่ะ เรามาทบทวนความทรงจำกันหน่อยดีไหม ผมอยากรู้”“ยังไงคะ”“ขึ้นให้ผมสิเดล คุณเป็นคนคุมเกมรักของเราบ้าง”เมลดายิ้มเพราะในอดีตเธอกับเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างเร่าร้อนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน“เดลไม่แน่ใจว่ามันจะยังเหมือนเดิมไหม มันนานแล้วเดลอาจจะทำให้คุณไม่ถูกใจ”“ผมรู้ว่าเดลของผมเก่งกว่าใคร”ชายหนุ่มก้มมาจูบอย่างให้กำลังใจก่อนพลิกให้เมลดาขึ้นไปอยู่ทางด้านบนขณะที่ท่อนเอ็นของเขายังอยู่ในโพรงสวาท ปากของทั้งสองก็ยังไม่ยอมผละออกจากกัน ไม่นานนักเมลดาก็ผละจูบออก อย่างอ้อยอิ่งก่อนที่ปากเล็กและลิ้นร้อนจะลากไล้ไปตามสันกรามและซอกคอขบเม
รอยยิ้มของเมลดาทำให้วาคิมดีใจมากเพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาตกหลุมรักเธอและคิดว่าเวลาผ่านมาหลายปีเขาก็ยังคงรักผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนวาคิมขยับใบหน้าลงมาใกล้กดริมฝีปากไปบนหน้าผากมน เปลือกตาและพวงแก้มอย่างทะนุถนอม เมลดาหลับตาเมื่อเขากดริมฝีปากหยักได้รูปลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบากระแสความรู้สึกส่งผ่านให้ทั้งสองได้รับรู้ว่าต่างฝ่ายต่างคิดถึงและโหยหากันมากแค่ไหนริมฝีปากสีสวยเปิดออกเพื่อให้ปลายลิ้นร้อนของเข้ามาหยอกเย้ากับลิ้นเล็กของเธออย่างไม่รังเกียจจูบอ่อนโยนแสนหวานทำให้ทั้งสองจมลงในภวังค์ตัณหาที่ร้างรากันมานานเกือบหกปี“อื้อ....วาคิม”เมลดาครางประท้วงเมื่อเขาจูบราวกับจะดูดกลืนวิญญาณของเธอออกจากร่าง“ผมคิดถึงคุณนะโมเดล คิดถึงวันเก่าๆ ของเรา คิดถึงจูบของคุณ กลิ่นหอมของคุณ”“แต่ฉันว่าเราไม่ควรทำแบบนี้”“อย่าฝืนตัวเองเลยโมเดลทำตามที่ตัวเองรู้สึกผมรู้ว่าคุณยังรักผมและผมก็รักคุณมาก”เสียงแหบพร่าที่กระซิบข้างหูทำให้เมลดาไม่อาจต้านทานความรู้สึกของตัวเองได้เลย เธอรักเขาและโหยหาเขามาตลอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาแค่ไหนแต่เธอก็รู้แล้วว่าไม่เคยรักเขาน้อยลงเลย และมันจะผิดอะไรถ้าหากเธอและเขาจะกลับ
“เราต้องเตรียมงานกันอีกนะ”“เตรียมงานอะไร” เมลดาขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น“ก็งานแต่งของเราไง”“ใครบอกฉันจะแต่งงานกับคุณ”“ถ้าผมไม่แต่งงานกับคุณ ผมจะเข้ามาในชีวิตคุณได้ยังไงคุณคงไม่คิดจะให้ผมหิ้วกระเป๋าไปอยู่กับคุณโดยไม่แต่งงานหรอกนะ”“วาคิม ฉันเป็นผู้หญิงฉันคุณคิดมากเรื่องนั้นไม่ใช่คุณ” เมลดามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจเพราะสำหรับเธอแล้วการแต่งงานไม่มีความจำเป็นเลย“แต่ผมอยากแต่งงานกับคุณนะและให้บอสตันเป็นคนจูงคุณมาส่งให้ผมมันคงเป็นภาพที่สวยงามมาก”“เรื่องแต่งงานเอาไว้ก่อนได้ไหม”“จะรออะไรอีกล่ะ”“อย่างน้อยก็รอให้ครบ 1 ปี ที่พ่อฉันจากไปได้ไหม”“ถ้าเพราะเหตุผลนี้ผมเข้าใจ แต่เวลายังเหลืออีกหลายเดือนคุณคงไม่ใจร้ายแยกกันอยู่กับผมหรอกนะ ผมอยากให้คุณกับลูกย้ายมาอยู่ที่นี่มาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว”“ไม่ได้หรอกค่ะวาคิม ที่นี่มันไกลจากบริษัทและไกลจากโรงเรียนของบอสตันมาก ถ้าลูกมาอยู่ที่นี่คงใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงกว่าจะถึง ฉันไม่อยากให้ลูกเหนื่อย”“ถ้างั้นไปอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่ผมก็ได้หรือจะไปอยู่คอนโดก็ได้”“ฉันยังอยู่ที่บ้านเดิมถ้าคุณอยากเป็นครอบครัวกับเราจริงๆ คุณก็ไปคุยกับแม่ฉันขอท่านย้ายเข้ามาอยู่
เมื่อส่งลูกชายเข้านอนแล้วเมลดาก็กลับมายังห้องนอนของตัวเอง เธออาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จจากนั้นก็ลังเลว่าจะโทรศัพท์ไปหาวาคิมดีหรือเปล่า เธออยากคุยกับเขาให้เคลียร์เรื่องที่เขาพูดกับบอสตันวันนี้เหมือนกัน“ว่าไงโมเดลคิดถึงผมเหรอถึงได้โทรมาหา”“อย่าเพิ่งสำคัญตัวเองผิดไปเลยค่ะ วาคิมฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”“เรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องที่คุณคุยกับบอสตัน วันนี้ผมคุยกับบอสตันตั้งหลายเรื่องนะ ผมจำไม่ได้หรอก”“คุณอย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย วันนี้คุณคุยกับลูกใช่ไหมเรื่องที่คุณบอกเขาว่าจะจีบฉัน”“บอสตันไปเล่าให้คุณฟังเหรอใช่สิ คุณเองก็ตั้งใจคุยกับเขาเพื่อให้เขามาเล่าให้ฉันฟังไม่ใช่เหรอ”“ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ บอสตันเขาก็คงอยากจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ฟัง” วาคิมคิดไม่ผิดเลยบอกบอสตันว่าเขาจะจีบมารดาของเด็กชาย“คุณคิดดีแล้วเหรอวาคิมที่ไปพูดกับลูกอย่างงั้น”“ผมคิดดีนะ แล้วผมก็บอกคุณไปแล้วนี่ว่าผมจะจีบคุณและบอสตันเป็นลูกของคุณ ผมก็อยากให้เขารู้เรื่องของเราไปด้วย”“ฉันขอถามคุณตรงๆ นะวาคิม”“ถามมาสิ”“คุณไม่มีใครอื่นใช่ไหมคุณไม่ได้มาหลอกเราสองคนแม่ลูกใช่ไหม” เมลดายังคงถามแบบเดิมเพราะเธอกลัวความผิดหวัง ถ้าหาเขาเ