คำพูดที่ออกจากปากของคนรักทำให้เธอตัดสินใจออกจากชีวิตของวาคิมพร้อมกับลูกในท้อง ก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อตัวเองเข้มแข็งและไม่ต้องการแม้แต่เศษใจของซาตานอย่างเขา
View Moreเมื่อบิดาเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันเมลดาจึงตัดสินใจว่าจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยกับมารดาอย่างถาวร ก่อนหน้านี้เมลดาก็เคยคิดจะย้ายกลับไปทำงานที่บริษัทของบิดาแต่ก็รอให้ลูกชายคนเดียวโตพอจะรู้เรื่องซึ่งเธอก็ไม่คิดว่าการย้ายกลับบ้านเกิดครั้งนี้จะมาเร็วกว่าที่เธอคิดเอาไว้
“แม่ครับทำไมเราต้องกลับไปอยู่เมืองไทยด้วยครับ” เด็กชายวัยห้าขวบถามมารดาด้วยความไม่เข้าใจ
“เราต้องกลับไปอยู่กับคุณยายครับบอสตัน” เมลดาพูดกับลูกชายขณะเก็บของใช้จำเป็นลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
“ทำไมเราต้องไปด้วยล่ะครับแม่ ผมไม่อยากไปเลยลุงวินบอกว่าที่เมืองไทยร้อนมากและผมจะละลายเหมือนน้ำแข็ง” เด็กชายคิมหันต์หรือบอสตันหมายถึงมาวินพี่ชายต่างมารดาของเมลดาที่มักจะมาเยี่ยมเขาที่นี่และพูดถึงเมืองไทยให้ฟังบ่อยๆ
“มันร้อนก็จริงแต่ไม่ถึงกับละลายหรอกครับบอสตัน ลุงวินเขาก็พูดโอเวอร์ไปแบบนั้น”
“ผมคงคิดถึงชาร์ลีมาก”
“แม่จะให้ลูกโทรหาชาร์ลีบ่อยๆ ดีไหมครับ”
“แล้วผมจะเล่นกับใคร”
“เราไปที่นั่นแม่จะพาบอสตันไปเข้าโรงเรียนแล้วบอสตันก็จะมีเพื่อนใหม่”
“เพื่อนใหม่ก็ไม่เหมือนชาร์ลี” เด็กชายเริ่มงอแงเพราะไม่อยากจากเพื่อนรักที่รู้จักกันมาตั้งแต่เกิด
“บอสตันครับครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ แม่ไม่อยากทิ้งคุณยายให้อยู่คนเดียว”
“ทำไมเราไม่พาคุณยายมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ” บอสตันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมตัวเองจะต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น
“คุณยายมีงานที่ต้องรับผิดชอบที่นั่น”
“ผมไม่เข้าใจ”
“คุณยายของบอสตันเป็นคุณครู ท่านมีหน้าที่สอนหนังสือเด็กนักเรียนอีกเป็นร้อยคน ถ้าท่านมาอยู่ที่นี่กับเราแล้วใครจะสอนเด็กเหล่านั้นละครับ”
“โรงเรียนของผมมีครูตั้งหลายคน ที่นั่นมีคุณยายคนเดียวเหรอครับแม่”
“มีหลายคนเหมือนกับที่นี่ ครับแต่แม่ขอถามหน่อยนะ ถ้าวันหนึ่งครูโทมัสไม่มาสอนบอสตัน บอสตันจะคิดถึงคุณครูไหมครับ”
“คิดถึงครับครูโทมัสสอนสนุกกว่าครูนาธานเยอะเลย”
“คุณยายก็สอนสนุกครับ ถ้าคุณยายมาอยู่ที่นี่นักเรียนของคุณยายก็คงรู้สึกเหมือนกันเวลาที่ครูโทมัสไม่อยู่แล้วให้ครูนาธานมาสอนแทน”
“อ๋อ แต่ผมก็ยังไม่อยากไปเมืองไทยอยู่ดี”
“ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของคุณแม่นะครับบอสตัน สักวันเราต้องกลับไปอยู่ที่นั่น”
“แม่บอกว่าผมเกิดที่นี่”
“ใช่ครับลูกเกิดที่นี่แต่ลูกก็คือคนไทย”
“ผมเป็นคนไทยเหมือนแม่กับลุงวินเหรอครับ”
“ครับ เราคือคนไทย”
“เมืองไทยมีเลโก้ไหมครับ” เมื่อคิดว่าต้องย้ายไปเมืองไทยจริงๆ บอสตันก็ถามถึงสิ่งที่ตนเองสนใจ
“มีสิครับ ถ้าบอสตันเป็นเด็กดี พอกลับไปถึงเมืองไทยแม่จะซื้อเลโก้ให้สองกล่องเลยดีไหมครับ”
“สัญญาแล้วนะครับคุณแม่”
“สัญญาครับ” เมลดาเกี่ยวก้อยกับลูกชายก่อนจะดึงเข้ามากอดด้วยความรัก ตอนนี้เธอเหลือแค่เพียงมารดาที่เมืองไทยจึงไม่อยากให้ท่านต้องอยู่คนเดียว
เมลดาไม่มีทางรู้เลยว่าการกลับไปครั้งนี้ของเธอจะเจอกับอะไรบ้างแต่เวลาที่ผ่านมาเกือบปีก็ทำให้หญิงสาวเข้มแข็งมากขึ้นและคิดว่าตนเองพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับคนที่ทำให้เธอต้องอุ้มท้องแล้วหนีมาอยู่ที่นี่
“แม่ครับ แม่ครับ”
“มีอะไรครับบอสตัน”
“เราจะไปกันตอนไหนครับ”
“พรุ่งนี้เช้าครับ”
“เราต้องนั่งเครื่องบินนานไหม” บอสตันไม่เคยไปเมืองไทยมาก่อนจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
“ค่อนข้างนานเลยครับลูก”
“ผมดูการ์ตูนได้ใช่ไหมครับ”
“ได้ครับบอสตันคงให้ดูการ์ตูนหลายเรื่องเลยกว่าจะกลับถึงเมืองไทย”
เธอเคยพาลูกชายนั่งเครื่องบินไปเที่ยวอยู่หลายครั้งเขาจึงรู้ว่าเวลานั่งเครื่องบินตัวเองจะได้ดูการ์ตูนซึ่งปกติแล้วอยู่ที่บ้านมารดาจะให้ดูวันละไม่เกิน 2 ชั่วโมงเท่านั้น
เมื่ออธิบายให้ลูกชายเข้าใจแล้วว่าต้องเดินทางไกลและจะย้ายไปอยู่ที่เมืองไทยเมลดาก็พาบอสตันเข้านอน ก่อนที่ตนเองจะกลับมาจัดกระเป๋าเดินทางและตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง
เมลดามาอยู่อเมริกาตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้สามเดือน โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนของบิดาที่มาทำธุรกิจที่นี่ ในช่วงแรกที่มาอยู่เธอไม่ได้เรียนหรือทำงานอะไรเลยเพราะหญิงสาวแพ้ท้องอย่างหนักจนกระทั่งอายุครรภ์ได้ห้าเดือนจึงดีขึ้น เธอเลยไปทำงานเป็นแคชเชียร์อยู่ที่ร้านอาหารของคนรู้จัก จนกระทั่งใกล้คลอดก็ลาออกมาอยู่บ้าน จริงๆ แล้วเมลดาไม่ได้ลำบากอะไรมากเพราะทางบ้านก็ส่งเงินมาให้ใช้ตลอด
แต่ที่เธอทำงานก็เพราะไม่อยากอยู่เฉยๆ พอคลอดลูกแล้วก็จ้างคนไทยที่นี่ให้ช่วยเลี้ยงบอสตัน ส่วนตัวเองก็ไปเรียนต่อจนจบปริญญาตรีทางการตลาดและสมัครเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง
หญิงสาวสำรวจตั๋วเครื่องบินและเวลาเดินทางอีกครั้งก่อนจะหย่อนลงกระเป๋าสะพายและวางไว้เตรียมสำหรับเดินทางพรุ่งนี้เช้า
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขณะที่เธอกำลังจะปิดไฟเข้านอน เมื่อเห็นคนที่โทรข้ามาคือพี่ชายหญิงสาวกรีบกดรับ
“สวัสดีค่ะพี่วิน”
“ทุกอย่างเรียบร้อยไหมโมเดล เจ้าแสบเป็นยังไงบ้างงอแงไหม”
“ก็นิดหน่อยค่ะพี่วิน พี่วินล่ะคะเป็นยังไงบ้าง” ถึงแม้เมลดากับมาวินจะเกิดจากมารดาคนละคนกันแต่อายุไม่ต่างกันมากกันเธอจึงสนิทกับเขามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันจึงมักมีคนเข้าใจผิดว่าเมลดาและมาวินเป็นแฟนกัน
เธอกับมาวินก็ไม่เคยแก้ไขความเข้าใจผิดเพราะไม่อยากให้กระทบกับครอบครัวของมาวินซึ่งมารดาของชายหนุ่มมีสถานะเป็นภรรยาน้อยสถานะเป็นภรรยาน้อย
“พี่ก็ทำใจได้แล้วอุบัติเหตุก็แบบนี้ มันเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึง” มาวินพยายามจะทำใจให้เร็วที่สุด
“พ่อไปสบายแล้วค่ะ”
“นั่นสิตอนนี้ก็เหลือแค่เราที่ยังต้องลำบากอยู่”
“พี่วินคงเหนื่อยมากใช่ไหม โมเดลขอโทษนะคะที่ทำให้พี่ดูแลบริษัทอยู่คนเดียวมาตั้งหลายปี”
“พี่ยอมรับว่าเหนื่อยนะโมเดล แต่คิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงดีขึ้นถ้าโมเดลกลับมาช่วยที่ดูแลบริษัท”
“ค่ะพี่วิน โมเดลจะกลับไปช่วยพี่ทำงานนะคะ”
“แต่พี่ก็อย่าลืมช่วยหาที่เรียนให้เจ้าแสบด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหาเลยเพื่อนพี่มีหุ้นที่โรงเรียนนานาชาติ เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง โมเดลไม่ต้องเป็นห่วงนะ คืนนี้รีบนอนเถอะ”
“ค่ะพี่วิน เจอกันที่เมืองไทยนะคะ”
“เดินทางปลอดภัยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
งานแต่งงานของเมลดาและวาคิมถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายหลังจากครบวันเสียชีวิตของคุณสามารถหนึ่งปี แขกที่มาในงานก็เป็นญาติและเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่าย นอกจากบ่าวสาวที่เหมาะสมกันมากแล้วยังมีเด็กชายคิมหันต์ที่ช่วยบิดามารดารับแขกด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม เขามีความสุขกว่าใครทั้งหมดเพราะนอกจากจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบิดามารดาแล้ววาคิมยังบอกด้วยว่าหลังจากนี้จะให้เขาเตรียมตัวเป็นพี่ชายได้เลยหลังจากส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วบอสตันก็กลับไปนอนกับคุณปู่คุณย่าเพราะพรุ่งนี้ท่านทั้งสองจะพาเขาไปเที่ยวทะเล เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แต่งงานได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง“โมเดลผมมีของขวัญให้คุณด้วยนะ”“อะไรคะ” เมลดาที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จกระโดดขึ้นมาบนเตียงเมื่อเห็นกล่องของขวัญที่เขาถือเธอก็ยิ้ม“ลองเปิดดูสิ” หญิงสาวเปิดกล่องของขวัญออกว่าดูแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะข้างในเป็นสร้อยที่เธอเคยบอกว่าอยากได้แต่ตอนนั้นวาคิมบอกกับเธอว่าเขาขอเก็บเงินอีกนิดแล้วจะซื้อให้ แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอกับเขาก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปคนละทิศทาง“คุณซื้อมาตั้งแต่ตอนไหนคะวาคิม”“ผมซื้อก่อนสอบวันสุดท้าย ช่วงนั้นเรามีปากเสียงกันและผมก็อยากซื้อสร
ในวันสอบวันสุดท้ายบอสตันไม่ต้องไปเรียนว่ายน้ำ วันนี้คุณยายบอกว่าให้รีบกลับบ้านเพราะที่บ้านจะมีแขกมาทานข้าวด้วยแขกที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นบิดามารดาของวาคิมที่ตั้งใจจะมาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเพื่อจะบอกความจริงถึงเรื่องในอดีตให้กับบอสตันรู้เมื่อทุกคนทานอาหารอิ่มแล้วก็มานั่งรวมตัวกันที่ห้องรับแขกบอสตันนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเมลดากับวาคิมที่วันนี้สีหน้าของเขาดูเครียดกว่าทุกครั้ง“บอสตันมาอยู่เมืองไทยได้ 4 เดือนแล้วหนูมีความสุขไหมลูก ชอบเมืองไทยหรือเปล่า” คุณมยุรีถามหลานชายเพื่อเป็นการเปิดทางสำหรับคำถามต่อไป“ผมมีความสุขมากๆ เลยครับคุณยายผมชอบที่นี่มากที่สุด” บอสตันตอบไปยิ้มไปเพราะเขาชอบที่นี่จริงๆ“บอกย่าหน่อยได้ไหมล่ะครับว่าทำไมถึงชอบที่นี่” มารดาของวาคิมช่วยถามหลายชาย“ที่นี่คนเยอะดีครับผมไม่เหงาเลยสักนิด พอวันหยุดก็ได้ไปเที่ยว ผมชอบไปเที่ยวกับลุงคิมมากที่สุดครับ” เขาตอบแล้วหันมองหน้าลุงคิมที่มองเขาด้วยความรัก“ถ้าบอสตันชอบเที่ยวกับลุงคิมมากๆ แล้วลุงคิมเขาจะขอมาเป็นพ่อของบอสตันได้ไหม” คุณย่าของเด็กชายถามต่อ“ผมอยากให้ลุงคิมเป็นพ่อนะครับ แต่พ่อที่ตายไปแล้วล่ะครับ พ่อจะเสียใจไหมท
“ที่ผ่านมาคุณไม่เคยมีคนอื่นใช่ไหม”“เดลไม่เคยมีคนอื่น”“เราอะไรเพราะบอสตันเหรอ”“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”“แสดงว่ามีเหตุผลอื่น บอกผมได้ไหม” วาคิมถามขณะไล้ปลายนิ้วไปบนผิวเนียนนุ่ม“เดลยังลืมคุณไม่ได้และกลัวว่าคนอื่นจะทำให้เดลมีความสุขน้อยกว่าคุณ”เมลดาบอกทุกอย่างไปตามที่ตนเองคิดเพราะไม่ว่าจะเดทกับผู้ชายคนไหนเธอก็จบแค่การทานข้าวเพราะในใจนั้นมีแต่วาคิมอยู่ตลอด“ผมดีใจนะที่คุณไม่มีใคร ถึงผมจะเคยนอนกับคนอื่นบ้างแต่บอกได้เลยว่าไม่มีใครเด็ดเท่าคุณอีกแล้ว คุณอยากพิสูจน์คำพูดของผมไหมล่ะ เรามาทบทวนความทรงจำกันหน่อยดีไหม ผมอยากรู้”“ยังไงคะ”“ขึ้นให้ผมสิเดล คุณเป็นคนคุมเกมรักของเราบ้าง”เมลดายิ้มเพราะในอดีตเธอกับเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างเร่าร้อนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน“เดลไม่แน่ใจว่ามันจะยังเหมือนเดิมไหม มันนานแล้วเดลอาจจะทำให้คุณไม่ถูกใจ”“ผมรู้ว่าเดลของผมเก่งกว่าใคร”ชายหนุ่มก้มมาจูบอย่างให้กำลังใจก่อนพลิกให้เมลดาขึ้นไปอยู่ทางด้านบนขณะที่ท่อนเอ็นของเขายังอยู่ในโพรงสวาท ปากของทั้งสองก็ยังไม่ยอมผละออกจากกัน ไม่นานนักเมลดาก็ผละจูบออก อย่างอ้อยอิ่งก่อนที่ปากเล็กและลิ้นร้อนจะลากไล้ไปตามสันกรามและซอกคอขบเม
รอยยิ้มของเมลดาทำให้วาคิมดีใจมากเพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาตกหลุมรักเธอและคิดว่าเวลาผ่านมาหลายปีเขาก็ยังคงรักผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนวาคิมขยับใบหน้าลงมาใกล้กดริมฝีปากไปบนหน้าผากมน เปลือกตาและพวงแก้มอย่างทะนุถนอม เมลดาหลับตาเมื่อเขากดริมฝีปากหยักได้รูปลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบากระแสความรู้สึกส่งผ่านให้ทั้งสองได้รับรู้ว่าต่างฝ่ายต่างคิดถึงและโหยหากันมากแค่ไหนริมฝีปากสีสวยเปิดออกเพื่อให้ปลายลิ้นร้อนของเข้ามาหยอกเย้ากับลิ้นเล็กของเธออย่างไม่รังเกียจจูบอ่อนโยนแสนหวานทำให้ทั้งสองจมลงในภวังค์ตัณหาที่ร้างรากันมานานเกือบหกปี“อื้อ....วาคิม”เมลดาครางประท้วงเมื่อเขาจูบราวกับจะดูดกลืนวิญญาณของเธอออกจากร่าง“ผมคิดถึงคุณนะโมเดล คิดถึงวันเก่าๆ ของเรา คิดถึงจูบของคุณ กลิ่นหอมของคุณ”“แต่ฉันว่าเราไม่ควรทำแบบนี้”“อย่าฝืนตัวเองเลยโมเดลทำตามที่ตัวเองรู้สึกผมรู้ว่าคุณยังรักผมและผมก็รักคุณมาก”เสียงแหบพร่าที่กระซิบข้างหูทำให้เมลดาไม่อาจต้านทานความรู้สึกของตัวเองได้เลย เธอรักเขาและโหยหาเขามาตลอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาแค่ไหนแต่เธอก็รู้แล้วว่าไม่เคยรักเขาน้อยลงเลย และมันจะผิดอะไรถ้าหากเธอและเขาจะกลับ
“เราต้องเตรียมงานกันอีกนะ”“เตรียมงานอะไร” เมลดาขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น“ก็งานแต่งของเราไง”“ใครบอกฉันจะแต่งงานกับคุณ”“ถ้าผมไม่แต่งงานกับคุณ ผมจะเข้ามาในชีวิตคุณได้ยังไงคุณคงไม่คิดจะให้ผมหิ้วกระเป๋าไปอยู่กับคุณโดยไม่แต่งงานหรอกนะ”“วาคิม ฉันเป็นผู้หญิงฉันคุณคิดมากเรื่องนั้นไม่ใช่คุณ” เมลดามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจเพราะสำหรับเธอแล้วการแต่งงานไม่มีความจำเป็นเลย“แต่ผมอยากแต่งงานกับคุณนะและให้บอสตันเป็นคนจูงคุณมาส่งให้ผมมันคงเป็นภาพที่สวยงามมาก”“เรื่องแต่งงานเอาไว้ก่อนได้ไหม”“จะรออะไรอีกล่ะ”“อย่างน้อยก็รอให้ครบ 1 ปี ที่พ่อฉันจากไปได้ไหม”“ถ้าเพราะเหตุผลนี้ผมเข้าใจ แต่เวลายังเหลืออีกหลายเดือนคุณคงไม่ใจร้ายแยกกันอยู่กับผมหรอกนะ ผมอยากให้คุณกับลูกย้ายมาอยู่ที่นี่มาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว”“ไม่ได้หรอกค่ะวาคิม ที่นี่มันไกลจากบริษัทและไกลจากโรงเรียนของบอสตันมาก ถ้าลูกมาอยู่ที่นี่คงใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงกว่าจะถึง ฉันไม่อยากให้ลูกเหนื่อย”“ถ้างั้นไปอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่ผมก็ได้หรือจะไปอยู่คอนโดก็ได้”“ฉันยังอยู่ที่บ้านเดิมถ้าคุณอยากเป็นครอบครัวกับเราจริงๆ คุณก็ไปคุยกับแม่ฉันขอท่านย้ายเข้ามาอยู่
เมื่อส่งลูกชายเข้านอนแล้วเมลดาก็กลับมายังห้องนอนของตัวเอง เธออาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จจากนั้นก็ลังเลว่าจะโทรศัพท์ไปหาวาคิมดีหรือเปล่า เธออยากคุยกับเขาให้เคลียร์เรื่องที่เขาพูดกับบอสตันวันนี้เหมือนกัน“ว่าไงโมเดลคิดถึงผมเหรอถึงได้โทรมาหา”“อย่าเพิ่งสำคัญตัวเองผิดไปเลยค่ะ วาคิมฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”“เรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องที่คุณคุยกับบอสตัน วันนี้ผมคุยกับบอสตันตั้งหลายเรื่องนะ ผมจำไม่ได้หรอก”“คุณอย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย วันนี้คุณคุยกับลูกใช่ไหมเรื่องที่คุณบอกเขาว่าจะจีบฉัน”“บอสตันไปเล่าให้คุณฟังเหรอใช่สิ คุณเองก็ตั้งใจคุยกับเขาเพื่อให้เขามาเล่าให้ฉันฟังไม่ใช่เหรอ”“ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ บอสตันเขาก็คงอยากจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ฟัง” วาคิมคิดไม่ผิดเลยบอกบอสตันว่าเขาจะจีบมารดาของเด็กชาย“คุณคิดดีแล้วเหรอวาคิมที่ไปพูดกับลูกอย่างงั้น”“ผมคิดดีนะ แล้วผมก็บอกคุณไปแล้วนี่ว่าผมจะจีบคุณและบอสตันเป็นลูกของคุณ ผมก็อยากให้เขารู้เรื่องของเราไปด้วย”“ฉันขอถามคุณตรงๆ นะวาคิม”“ถามมาสิ”“คุณไม่มีใครอื่นใช่ไหมคุณไม่ได้มาหลอกเราสองคนแม่ลูกใช่ไหม” เมลดายังคงถามแบบเดิมเพราะเธอกลัวความผิดหวัง ถ้าหาเขาเ
Comments