“เหตุใดกริ้ว” หลี่หลานหมิงเสียงเกรี้ยวไม่เพียงเท่านั้นยังชักสีหน้าไม่พอใจออกมาหลายส่วน
สองขุนพลคู่ใจเริ่มไม่สบายใจก่อนจะเป็นหม่าชิงเทียนที่ดันหลังเพื่อนให้พูดแทน “ก็ทรงขัดรับสั่งฝ่าบาท”
“ข้ากลัวรึ”
“รู้ว่าท่านอ๋องมิเกรงกลัว”
“ชีวิตข้า ข้าเลือกเอง” หลี่หลานหมิงว่าจบก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในกระโจม ไม่สนใจทั้งสอง
แต่ก่อนที่หม่าชิงเทียนและหวังเฉาเสี่ยนจะแยกย้ายก็ได้ยินเสียงเปิดม่านกระโจมพรึ่บพรั่บตามด้วยเจ้าของร่างกำยำที่ยืนเท้าแขนอยู่หน้าประตู สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกยินดียินร้ายแต่กลับออกคำสั่งกลายๆ
“พวกเจ้าไปตามจับเจ้าตุ้งตุ้งกระต่ายหูเทาที่ชายป่าน้ำตกฝั่งโน้นมาให้ข้า”
“แต่นี่มันก็สายแล้ว”
“ยังมีเวลาอีกมาก ก่อนตะวันขึ้นข้าต้องได้เห็นมันอยู่ที่นี่”
“แล้วหากพวกเราหาไม่เจอเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“หาจนกว่าจะเจอ มีกี่ตัวก็หามาให้หมด ข้าจะเอากลับตำหนักเหมันต์ไปให้ซิงซิน”
“หะ... หา!” สองขุนพลอุทานพร้อมกันอีก เป็นหม่าชิงเทียนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เอ่ยต่อ “แค่ไม่ทันไรท่านอ๋องของเราก็หลงพระชายาเสียแล้ว”
“พูดมาก”
“หากว่าหาไม่เจอเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไม่ต้องกลับมา”
“โธ่!” หวังเฉาเสี่ยนอึกอักไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องทำหน้าที่จับสัตว์ตัวเล็กกระจิ๋วเพิ่ม เขาไม่เคยเลี้ยงสัตว์ ไม่เคยเอ็นดูและไม่คิดว่าจะต้องทำอะไรเช่นนี้มาก่อน
หม่าชิงเทียนเห็นผู้เป็นนายดูกราดเกรี้ยวก็แตะแขนสหายคู่ใจให้เงียบเสียง “เอาน่า... ท่านอ๋องของเรางานนี้เห็นทีจะไม่แคล้วผูกวาสนาด้ายแดงกับแม่นางกระต่ายเสียแล้วล่ะ เราสองคนก็ช่วยให้ท่านอ๋องสมปรารถนาเถอะ”
หวังเฉาเสี่ยนได้แต่พยักหน้าหมดสิ้นคำพูดจา เพราะเห็นสีหน้าเย็นชาของอ๋องสี่ปรากฏรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยเป็นครานี้เห็นทีกระต่ายตัวโตขนฟูนุ่มจะต้องถูกล่อเข้ากรงจนดิ้นไม่หลุดเสียแล้ว...
“อีกคำเดียว กลั้นใจกินหน่อยนะ คุณหนู”
“ไม่อร่อยเลย เหตุใดต้องกินด้วย” จินซิงซินพูดไปกลั้นใจคีบเต้าหู้ชิ้นสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวไปด้วยน้ำตาคลอเบ้าก่อนจะวางตะเกียบลงบนชาม “ครั้งหน้าไม่กินแล้ว”
หน้าแดงเรื่อคล้ายกับจะร้องไห้ของคุณหนูวัยย่างสิบห้าปีเป็นที่น่าเอ็นดูรักใคร่ในสายตาของเหยียนหลิวแม่ครัวประจำบ้านสกุลจินยิ่งนัก
“คุณหนูของยายเก่งที่สุดเลย” นางว่าพลางใช้หลังมือปัดเศษเต้าหู้ที่ติดอยู่มุมปากคุณหนูออกอย่างเบามือก่อนจะลูบศีรษะเอาใจ “ต่อไปคุณหนูคนเก่งแต่งออกไปอยู่บ้านเขาแล้วต้องหัดกินง่ายอยู่ง่าย จะงอแงเช่นนี้มิได้แล้วนะ”
“ซิงซินงอแงเพราะไม่ชอบกินเต้าหู้ ซิงซินไม่อยากกินเต้าหู้แล้วเป็นคนเก่งแล้วต้องไปอยู่บ้านคนอื่น”
“แต่คุณหนูต้องกินปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ผ่านพ้นไปต่อไปจะมีแต่เรื่องดีๆ”
“มีแต่เรื่องดีๆ ที่ไหนกัน”
“ย่อมมี อย่างน้อยคุณหนูของยายก็จะได้แต่งออกไปอยู่ที่ที่ดีกว่านี้แน่นอน”
“แต่ซิงซินเกลียดคนใจร้ายที่กัดปากซิงซินทำให้ซิงซิน ต้องกินเต้าหู้ที่ไม่อร่อย ไปอยู่กับเขาก็คงกัดซิงซินจนร้องไห้อีก” ดรุณีน้อยพูดจบก็แตะริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่ยังเจ็บ
เหยียนหลิวใช้นิ้วหัวแม่มือแตะปลายจมูกงอนแดงเรื่อสัพยอก “ว่าเขาแต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปอยู่กับเขา”
“ไม่ได้อยากไป”
“เห็นทีจะมิได้แล้ว ยังไงคุณหนูก็ต้องไป”
“ก็มิได้อยากไป...”
“โถ... แต่ถ้าไม่ไป ยายเกรงว่าคุณหนูจะโดนฮูหยินใหญ่ตีเอาอีกสิเจ้าคะ นี่ก็เพิ่งโดนตีหลังตั้งหลายไม้จนเลือดซิบไปหมด ทำแผลแล้วก็ไม่รู้จะหายดีหรือไม่”
“เหตุใดแม่ใหญ่ต้องตี เหตุใดแม่ใหญ่ไม่รักซิงซิน ฮือ ฮือ” เอ่ยได้เพียงนั้นดรุณีน้อยก็ยกหลังมือปาดน้ำตาอีกตามเคย
เหยียนหลิวไม่วายยกแขนเสื้อขึ้นซับหางตาตัวเองมิให้นายน้อยผู้น่าสงสารเห็นน้ำตา นางเลี้ยงหยกน้อยของนางมาตั้งแต่เล็กเพราะคุณหนูคือตัวแทนของฮูหยินใหญ่ที่เสียชีวิตไปอย่างเป็นปริศนา นางที่รักฮูหยินและเทิดทูนบูชาทำได้เพียงสิ่งเดียวคือคอยปกป้องคุณหนูตัวน้อยของนางให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ลำพังคนครัวแก่ๆ มีหรือจะสู้คนมีอำนาจได้ คนดีที่น่าสงสารอย่างคุณหนูของนางจึงมักถูกรังแกจากจินฮูหยินที่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างอยู่เสมอ...
“ดีที่คุณหนูใหญ่พูดให้นะเจ้าคะ มิเช่นนั้นคงโดนหนักกว่านี้”
“ซิงซินรักพี่ใหญ่ อยากให้พี่ใหญ่ไปอยู่กับซิงซิน” นางว่าพรางตาเป็นประกายทั้งที่บวมช้ำ มือเล็กๆ บอบบางจับข้อมืออวบของผู้เป็นยายแน่นก่อนเอ่ย “ยายช่วยพูดกับพี่ใหญ่ได้หรือไม่”
“โธ่! คุณหนู” นางกล่าวอย่างสังเวชใจ
ถึงแม้คุณหนูใหญ่จะให้ความเมตตาต่อคุณหนูรองมากมายเพียงใดแต่ก็มิอาจต้านทานความริษยาของมารดาได้ ทำให้คุณหนูรองที่มักถูกกล่าวขานกันว่าด้อยสติปัญญาต้องถูกเลี้ยงดูแบบหลบซ่อนและเติบโตมาในห้องครัว ดีที่ยังสามารถทำอาหารได้ทุกอย่างตามที่นางสอนสั่งและดูจะทำได้ดีมากราวกับไม่มีสิ่งใดที่คุณหนูของนางทำมิได้ ยกเว้นแต่เพียงการเจริญเติบโตทางความคิดเท่านั้นที่หยุดคุณหนูของนางไว้เพียงแค่นั้น...
แต่อาจจะดีเหมือนกัน ส่งมันไปให้พ้นตาแลกกับชุดแต่งงานชุดเดียวอีกทั้งถ้าคนผู้นั้นไม่สับปลับส่งราชรถมารับลูกเลี้ยงของนางไปให้ไกลตาได้ นับว่าเป็นพระคุณกับสกุลจินใหญ่หลวง...แต่นางพลาด...เสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านนอกทำให้จินฮูหยินที่ตั้งท่าจะหาเรื่องจินซิงซินต่อถึงกับหยุดชะงัก ไม่นานก็ปรากฏร่างเล็กผอมแห้งของพ่อบ้านหม่าวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น“ฮูหยินขอรับ มีแขกมาที่หน้าประตูขอรับ” “ใคร” นางเอ่ยเสียงวางอำนาจ “เขาบอกว่าที่ตกลงกับฮูหยินเมื่อวานนี้ขอรับ” จินฮูหยินแค่นยิ้มแต่ตาวาวเป็นประกายทันใด “มาตามสัญญา นับว่าคนจริง ไปเชิญเข้ามา” “เอ่อ คือว่า” พ่อบ้านอึกอักหน้าซีดหน้าหดหลบตาก่อนเอ่ยต่อ “ข้าเชิญแล้ว แต่เข้าบอกว่าจะไม่เข้ามาด้านในขอรับ” “ว่าอะไรนะ!” “เขาบอกว่าจะมารับตัวคุณหนูซิงซิน แต่ไม่เข้ามาด้านขอรับ” “สามหาว! ทำเช่นนี้ไม่เห็นหัวสกุลจินเลยรึ”“ขะ ข้าไม่รู้”“ไม่ได้ถาม!” นางตวาดลั่นก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปแต่ยั้งไว้หันกลับมาที่จินซิงซินแล้วชี้หน้าคาดโทษทันที “ห้ามออกไปจนกว่าข้าจะตกลงกับคนผู้นั้น เข้าใจหรือไม่ซิงซิ
“กินนี่ดีกว่า คุณหนูชอบมิใช่หรือเจ้าคะ”เหยียนหลิวส่งชามน้ำข้าวเจือจางให้ตบท้าย จินซิงซินรับมาดื่มจนหมดคราวนี้ปรากฏรอยยิ้มสว่างไสวขึ้นมาบนใบหน้า มือน้อยปาดน้ำตาป้อยๆ ขณะวางชามลงบนโต๊ะ “อร่อยมากเลยท่านยาย”“ดีแล้วๆ กินเสียมื้อนี้ก่อนที่จะไม่ได้กิน” เหยียนหลิวมือหนึ่งลูบศีรษะนายน้อยของตนด้วยความรักอีกมือรั้งร่างบอบบางเข้ามาสวมกอดด้วยความสงสารจับใจจินซิงซินยิ้มเต็มหน้ากอดตอบด้วยความรักใคร่กระทั่งเสียงฝีเท้าสวบสาบดังมาตามด้วยเสียงเปิดประตูครัวกระแทกผนังจนสะเทือนทำให้สองยายหลานผละออกจากกัน เป็นร่างอวบอัดของจินฮูหยินที่ก้าวเข้ามาตามด้วยสาวใช้ส่วนตัวที่ถือห่อผ้ามาวางลงตรงหน้าสองยายหลาน“เหยียนหลิว เจ้าดูแลนางให้ใส่เสื้อผ้าชุดนี้ด้วย” จินฮูหยินสั่งทั้งยืนกอดอกปรายตามองทั้งคู่เหยียนหลิวพยักหน้ารับก่อนเอ่ย “เจ้าค่ะ แต่ให้ข้าทำแผลให้คุณหนูก่อน”“โดนตีแค่นี้ถึงกับอ่อนปวกเปียกเรียกหาคนช่วยเชียวหรือซิงซิน อยากจะโดนข้าตีอีกสักสองสามไม้หรือไม่”“มะ มะ ไม่เอา! ซิงซินกลัวแล้ว!...” ดรุณีน้อยร้องลั่นรีบคว้าห่อผ้ามาแกะด้วยมือไม้สั่นเทากระทั่งเหยียนหลิวแตะมือแล้วพยักเพยิดบอก“เช่นนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที
“เหตุใดกริ้ว” หลี่หลานหมิงเสียงเกรี้ยวไม่เพียงเท่านั้นยังชักสีหน้าไม่พอใจออกมาหลายส่วนสองขุนพลคู่ใจเริ่มไม่สบายใจก่อนจะเป็นหม่าชิงเทียนที่ดันหลังเพื่อนให้พูดแทน “ก็ทรงขัดรับสั่งฝ่าบาท”“ข้ากลัวรึ”“รู้ว่าท่านอ๋องมิเกรงกลัว”“ชีวิตข้า ข้าเลือกเอง” หลี่หลานหมิงว่าจบก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในกระโจม ไม่สนใจทั้งสองแต่ก่อนที่หม่าชิงเทียนและหวังเฉาเสี่ยนจะแยกย้ายก็ได้ยินเสียงเปิดม่านกระโจมพรึ่บพรั่บตามด้วยเจ้าของร่างกำยำที่ยืนเท้าแขนอยู่หน้าประตู สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกยินดียินร้ายแต่กลับออกคำสั่งกลายๆ“พวกเจ้าไปตามจับเจ้าตุ้งตุ้งกระต่ายหูเทาที่ชายป่าน้ำตกฝั่งโน้นมาให้ข้า”“แต่นี่มันก็สายแล้ว”“ยังมีเวลาอีกมาก ก่อนตะวันขึ้นข้าต้องได้เห็นมันอยู่ที่นี่”“แล้วหากพวกเราหาไม่เจอเล่าพ่ะย่ะค่ะ”“หาจนกว่าจะเจอ มีกี่ตัวก็หามาให้หมด ข้าจะเอากลับตำหนักเหมันต์ไปให้ซิงซิน”“หะ... หา!” สองขุนพลอุทานพร้อมกันอีก เป็นหม่าชิงเทียนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เอ่ยต่อ “แค่ไม่ทันไรท่านอ๋องของเราก็หลงพระชายาเสียแล้ว”“พูดมาก”“หากว่าหาไม่เจอเล่าพ่ะย่ะค่ะ”“ก็ไม่ต้องกลับมา”“โธ่!” หวังเฉาเสี่ยนอึกอักไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้
จินซิงซินแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปาก ดึงริมฝีปากล่างลงจนเห็นรอยแผลเล็กขนาดเท่าปลายเล็บ ดวงหน้านวลก็เริ่มขึ้นสีชาดโดยไม่รู้ตัวแล้วมองค้อนอ๋องสี่หลี่หลานหมิงที่ยืนคอแข็งคุมเชิงอยู่ไม่ไกล“เอ่อ... เขาจะทำแบบนี้กับเจ้าแลกกับไม่กินตุ้งตุ้งเช่นนั้นหรือ”“ใช่ๆ แล้วเขาก็กัดข้าจนปากเป็นแผล คนใจร้ายไม่ต่างจากเสือยังบอกว่านี่แค่เล็กน้อย อีกหน่อยถ้าข้าดื้อจะไม่แค่กัดแต่จะกินข้าด้วย”“หะ... หา!” สองขุนพลร้องลั่นพร้อมกันจินฮุ่ยอิงทนฟังไม่ได้รีบเอามือปิดปากน้องสาวแล้วพยุงลุกขึ้นเดินด้วยความทุลักทุเล กระทั่งถูกกระชากแขนอีกครั้ง“ท่านแม่!”“พวกเจ้ายิ่งอยู่นานยิ่งน่าขายหน้า กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้!”จินฮูหยินที่โผล่มาเงียบๆ ตวาดพลันเชิดหน้าก้าวฉับๆ ฝ่าวงล้อมสามหนุ่มไปยังบุตรสาวทั้งสองที่กอดกันกลมอยู่บนพื้นหญ้า จินฮุ่ยอิงที่อยู่ในโอวาทมารดามาตลอดกระวีกระวาดดึงร่างน้องสาวลุกตาม จินซิงซินหยุดร้องทันทีที่สบแววตาแข็งกร้าว“ข้านึกว่าท่านแม่กลับไปก่อนแล้ว” จินฮุ่ยอิงเอ่ยเสียงเบาหวิวมือจับจินซิงซินแน่น“ก็ไปแล้วแต่เพราะพวกเจ้าไม่ตามลงไปเสียที แม่ก็เลยกลับขึ้นมาทันได้ฟังเรื่องขายหน้า ดีเหมือนกันจะได้ถามให้รู้เรื่องไ
“เหตุใดไม่”“มะ ไม่รู้” จินซิงซินส่ายหน้าและประหม่ากับคำถามอย่างไม่เคยเป็นจินฮุ่ยอิงมองสองคนสลับไปมาถึงกับงันไป เมื่อครู่หรือนางหูแว่วไปเอง เขาบอกจะแต่งน้องสาวนางเป็นชายาหรือที่ถูกคือบุรุษหนุ่มผู้นี้อาจหมายถึงตบแต่งน้องสาวนางเป็นภรรยา แต่แค่คิดว่าจินซิงซินจะต้องตบแต่งออกไป นางก็หวั่นใจเสียแล้วว่ามันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาจะยอมรับได้หรือที่จะมีภรรยาที่โตแต่ร่างกายแต่หัวใจไร้การเจริญเติบโตหึหึ...หลี่หลานหมิงหัวเราะในลำคอขณะปรายตามองหน้าดรุณีน้อยที่เม้มริมฝีปากบางจนแทบห้อเลือด นึกประหลาดใจกิริยาอาการแต่ก็มิได้ถือสากลับก้มกระซิบข้างหูนางอยู่นาน เป็นผลให้จินซิงซิงหน้าถอดสีไม่นานก็เปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและเสียงพึมพำหวาดกลัวในลำคอ“เกิดอะไรขึ้นซิงซิน! เขาว่าอะไร เจ้าถึงได้ร้องไห้ขนาดนี้”“ใจก็ร้าย พูดก็ไม่ดี นิสัยก็ไม่ดี!” จินซิงซินโวยวายไม่หยุด“เขาว่าอะไรเจ้าอีก ถึงได้ว่าเขาขนาดนี้”“คนใจร้ายเหมือนเสือบอกว่าจะจับกินตุ้งตุ้ง หากซิงซินไม่ยอมไปอยู่ด้วยจะจับตุ้งตุ้งกิน!”“ตุ้งตุ้ง? เจ้าหูเทาของเจ้าน่ะรึ”“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ตุ้งตุ้งของข้าออกจะน่ารัก เขายังคิดจะกินตุ้งตุ้งได้ลงคอ”จินซ
“ดี! ส่งขบวนของหมั้นมา ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าว่าจะสามารถทำให้สมฐานะตระกูลจินหรือไม่” นางประกาศกร้าวขณะเหลือบตามองบุตรสาวที่สีหน้าสลดลงและปรามด้วยแววตาดุมิให้ห้ามปราม นางยิ้มเย้ยไปที่ดรุณีน้อยอย่างสมใจเพราะได้ผลักไสลูกเลี้ยงที่ไม่รักไปให้พ้นทางดีแล้ว...ควรเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว...จินหวั่นอิงนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ถึงแม้นางแต่งเข้าสกุลจินมาในฐานะฮูหยินรองที่มิได้รับความเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็นแต่เพราะความดื้อแพ่งของนางเอง แม้จะถูกกีดกันจากบิดามารดาเพราะสืบแซ่เดียวกันกับสามีแต่นางก็ไม่ย่อท้อ เพราะเหยาจื่อซินที่เป็นฮูหยินใหญ่ครานั้นไร้บุตรสืบสกุลถึงแม้ร่วมหอมานานหลายปี นางเห็นทีที่จะได้ครองรักกับคนที่หลงรักมานาน แม้ต้องหอบเสื้อผ้ามาอยู่กับเขาในฐานะภรรยารองนางก็ยอม กระทั่งตั้งครรภ์ทุกคนจึงรุมเร้าเอาใจ แต่เมื่อมีบุตรสาวมิใช่บุตรชายความสนใจก็จางหายไปแล้วอย่างไรเล่า...แต่ถึงอย่างไรนางก็มีบุตรให้เขาก่อน แม้เด็กที่คลอดจะเป็นหญิง นางย่อมมีสิทธิ์มีเสียงเหนือกว่าเหยาฮูหยินที่ไร้บุตรสืบสกุลแต่มิคาด...นางมีความสุขได้รับความเอาใจใส่ไม่นาน เหยาจื่อซินก็ตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นเด็กโง่ที่เติบโตมาพร้