“ดี! ส่งขบวนของหมั้นมา ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าว่าจะสามารถทำให้สมฐานะตระกูลจินหรือไม่” นางประกาศกร้าวขณะเหลือบตามองบุตรสาวที่สีหน้าสลดลงและปรามด้วยแววตาดุมิให้ห้ามปราม นางยิ้มเย้ยไปที่ดรุณีน้อยอย่างสมใจเพราะได้ผลักไสลูกเลี้ยงที่ไม่รักไปให้พ้นทาง
ดีแล้ว...
ควรเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว...
จินหวั่นอิงนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ถึงแม้นางแต่งเข้าสกุลจินมาในฐานะฮูหยินรองที่มิได้รับความเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็นแต่เพราะความดื้อแพ่งของนางเอง แม้จะถูกกีดกันจากบิดามารดาเพราะสืบแซ่เดียวกันกับสามีแต่นางก็ไม่ย่อท้อ เพราะเหยาจื่อซินที่เป็นฮูหยินใหญ่ครานั้นไร้บุตรสืบสกุลถึงแม้ร่วมหอมานานหลายปี นางเห็นทีที่จะได้ครองรักกับคนที่หลงรักมานาน แม้ต้องหอบเสื้อผ้ามาอยู่กับเขาในฐานะภรรยารองนางก็ยอม กระทั่งตั้งครรภ์ทุกคนจึงรุมเร้าเอาใจ แต่เมื่อมีบุตรสาวมิใช่บุตรชายความสนใจก็จางหายไป
แล้วอย่างไรเล่า...
แต่ถึงอย่างไรนางก็มีบุตรให้เขาก่อน แม้เด็กที่คลอดจะเป็นหญิง นางย่อมมีสิทธิ์มีเสียงเหนือกว่าเหยาฮูหยินที่ไร้บุตรสืบสกุล
แต่มิคาด...
นางมีความสุขได้รับความเอาใจใส่ไม่นาน เหยาจื่อซินก็ตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นเด็กโง่ที่เติบโตมาพร้อมกับมันสมองที่โตเหมือนเด็กสามขวบ แต่สามีของนางกลับรักใคร่ใหลหลงในความไร้เดียงสาคอยเอาอกเอาใจ ความรู้สึกที่เหมือนถูกโรยเกลือลงแผลทุกคืนทุกวันของนาง ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้โอกาสผลักเด็กโง่คนหนึ่งให้พ้นทาง...
แค่สาส์นที่ส่งมาระบุว่าให้อ๋องสี่สมรสกับบุตรสาวฮูหยินใหญ่สกุลจิน เช่นนั้นนางก็มิได้ทำผิดอะไรย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าคนที่ฮ่องเต้ทาบทามให้สมรสพระราชทานแก่อ๋องสี่หลี่หลานหมิงจะเป็นบุตรสาวของเหยาจื่อซินผู้ล่วงลับตามสัญญาที่เคยให้ไว้แก่บิดาของนางเมื่อครั้นนานมา
เพราะนางมาจากตระกูลขุนนางเก่าแก่เช่นนั้นหรือจึงได้รับการยอมรับเช่นนั้น...
หึ...
จินหวั่นอิงกระตุกยิ้มหมายมาดขณะสบแววตากร้าวของบุรุษหนุ่มที่หารู้หัวนอนปลายเท้าไม่ นางแค่อยากผลักไสเด็กคนนั้นไปให้พ้นทาง ไม่สนดีร้ายจะตายจะอยู่ก็ช่าง
หลี่หลานหมิงจ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรง มุมปากยกยิ้มประกอบกับสีหน้าเฉยชานั้นแสดงออกมาว่ารังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่เก็บงำกระทั่งเปล่งวาจา “เชิญรอรับได้ ข้าจะจัดขบวนไปรับนางอย่างสมเกียรติ”
“ดี! ข้าจะรอ” จินหวั่นอิงยิ้มเยาะในหน้า เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ นางจึงออกคำสั่ง “ไป! พวกเรากลับ”
“เดินดีๆ ระวังลื่นไถลตกน้ำตกลงไป จะไม่ทันได้รับขบวนของหมั้น”
“เจ้า!”
“เชิญ”
สิ้นคำพูดผู้เป็นนาย สองขุนพลหน้าหยกถึงกับออกอาการนิ่งอั้นตันคอสีหน้าไม่สู้ดีทั้งคู่ เพราะตามความเข้าใจคู่หมายของท่านอ๋องของพวกเขาต้องเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ผู้นี้ ซึ่งก็คือดรุณีงามที่ยืนอยู่ข้างกายหวังเฉาเสี่ยนต่างหากหาใช่ดรุณีน้อยที่ดูอย่างไรก็ไม่แคล้วเหมือนเด็กสามขวบที่เอาแต่ร้องไห้ตาบวมน้ำหูน้ำตาไหล ตีอกชกตัวอยู่บนพื้นขณะนี้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นขวากหนามตามมาไม่สิ้นสุด...
จินฮูหยินหันมาตวาดลูกเลี้ยงแสนชังของตนทันที “หยุดร้องได้แล้ว! ทำอย่างกับใครจะพาเจ้าไปฆ่า!”
“ท่านแม่!” จินฮุ่ยอิงร้องห้าม “ได้โปรดพูดกับซิงซินดีๆ มิเช่นนั้นนางคงไม่หยุดร้องแน่ๆ”
“ทำเรื่องงามหน้าอายไปทั่วแคว้นเช่นนี้หรือจะให้แม่พูดดีๆ กับนาง เจ้าพูดเองเถอะ”
“ท่านแม่ก็น่าจะรู้ว่าหากดุด่า น้องจะเป็นเช่นไร”
“ไม่ตีให้ตายก็บุญหนักแล้ว เจ้าก็ปลอบนางไปก็แล้วกัน ไป! กลับได้แล้ว!” หญิงชราตวาดลั่นจนเสียงกังวานสะท้านก้องแข่งกับน้ำตก
หม่าชิงเทียนเห็นท่าทีหวาดกลัวของหญิงสาวผู้พี่ก็บังเกิดเกิดความสังเวชใจ นางดูรักใคร่น้องสาวอย่างจริงใจสังเกตจากที่คอยขัดขวางมารดามิให้ทำร้ายแล้วยังเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
แต่หาทันไม่...
จินซิงซินทรุดนั่งกับพื้นเพราะแข้งขาอ่อนแรงและร้องไห้หนักที่ถูกฮูหยินว่ากล่าว จินฮุ่ยอิงรุดนั่งกอดร่างอรชรแนบอกก่อนเอ่ยปลอบเสียงหวานเครือ “โอ๋ๆ พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะซิงซิน”
“พี่ใหญ่ ฮือ ฮือ แม่ใหญ่จะตีซิงซิน ซิงซินกลัว ไม่อยากกลับบ้าน” นางเอ่ยน้ำเสียงสะอื้นแม้จะคลายสั่นลงไปหลายส่วนแต่ความไม่ปลอดภัยยังคงสะท้อนผ่านดวงตาเมื่อประสานเข้ากับหลี่หลานหมิงคนที่กักตัวนางอีกทั้งกระทำการอุกอาจต่อนาง แม้ไม่เข้าใจคำที่อีกฝ่ายขู่แต่นางก็หวาดกลัวสายตาของเขาจนตัวสั่นอยู่ดี
“ลุกขึ้น” หลี่หลานหมิงเอ่ยพลางยื่นมือไปให้จินซิงซินแต่กลับถูกนางปัดออกอย่างแรงโดยมิทันได้สัมผัสนางแม้แต่ปลายนิ้ว อ๋องสี่ผู้ทระนงไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืนมือไพล่หลัง เสียอาการหนักเมื่อถูกปฏิเสธ “เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวไปกับข้าเถอะ”
“ไม่!”
“เจ้ามิอยากเป็นชายาข้ารึ” หลี่หลานหมิงถามพลางยกยิ้มเป็นต่อ “แต่งกับข้าจะให้เจ้ามีสวนกระต่ายน้อย ไม่ต้องคอยมาเที่ยวเล่นหามันไกลเช่นนี้ดีหรือไม่”
“ไม่!”
“เหตุใดไม่”
“เหตุใดกริ้ว” หลี่หลานหมิงเสียงเกรี้ยวไม่เพียงเท่านั้นยังชักสีหน้าไม่พอใจออกมาหลายส่วนสองขุนพลคู่ใจเริ่มไม่สบายใจก่อนจะเป็นหม่าชิงเทียนที่ดันหลังเพื่อนให้พูดแทน “ก็ทรงขัดรับสั่งฝ่าบาท”“ข้ากลัวรึ”“รู้ว่าท่านอ๋องมิเกรงกลัว”“ชีวิตข้า ข้าเลือกเอง” หลี่หลานหมิงว่าจบก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในกระโจม ไม่สนใจทั้งสองแต่ก่อนที่หม่าชิงเทียนและหวังเฉาเสี่ยนจะแยกย้ายก็ได้ยินเสียงเปิดม่านกระโจมพรึ่บพรั่บตามด้วยเจ้าของร่างกำยำที่ยืนเท้าแขนอยู่หน้าประตู สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกยินดียินร้ายแต่กลับออกคำสั่งกลายๆ“พวกเจ้าไปตามจับเจ้าตุ้งตุ้งกระต่ายหูเทาที่ชายป่าน้ำตกฝั่งโน้นมาให้ข้า”“แต่นี่มันก็สายแล้ว”“ยังมีเวลาอีกมาก ก่อนตะวันขึ้นข้าต้องได้เห็นมันอยู่ที่นี่”“แล้วหากพวกเราหาไม่เจอเล่าพ่ะย่ะค่ะ”“หาจนกว่าจะเจอ มีกี่ตัวก็หามาให้หมด ข้าจะเอากลับตำหนักเหมันต์ไปให้ซิงซิน”“หะ... หา!” สองขุนพลอุทานพร้อมกันอีก เป็นหม่าชิงเทียนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เอ่ยต่อ “แค่ไม่ทันไรท่านอ๋องของเราก็หลงพระชายาเสียแล้ว”“พูดมาก”“หากว่าหาไม่เจอเล่าพ่ะย่ะค่ะ”“ก็ไม่ต้องกลับมา”“โธ่!” หวังเฉาเสี่ยนอึกอักไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้
จินซิงซินแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปาก ดึงริมฝีปากล่างลงจนเห็นรอยแผลเล็กขนาดเท่าปลายเล็บ ดวงหน้านวลก็เริ่มขึ้นสีชาดโดยไม่รู้ตัวแล้วมองค้อนอ๋องสี่หลี่หลานหมิงที่ยืนคอแข็งคุมเชิงอยู่ไม่ไกล“เอ่อ... เขาจะทำแบบนี้กับเจ้าแลกกับไม่กินตุ้งตุ้งเช่นนั้นหรือ”“ใช่ๆ แล้วเขาก็กัดข้าจนปากเป็นแผล คนใจร้ายไม่ต่างจากเสือยังบอกว่านี่แค่เล็กน้อย อีกหน่อยถ้าข้าดื้อจะไม่แค่กัดแต่จะกินข้าด้วย”“หะ... หา!” สองขุนพลร้องลั่นพร้อมกันจินฮุ่ยอิงทนฟังไม่ได้รีบเอามือปิดปากน้องสาวแล้วพยุงลุกขึ้นเดินด้วยความทุลักทุเล กระทั่งถูกกระชากแขนอีกครั้ง“ท่านแม่!”“พวกเจ้ายิ่งอยู่นานยิ่งน่าขายหน้า กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้!”จินฮูหยินที่โผล่มาเงียบๆ ตวาดพลันเชิดหน้าก้าวฉับๆ ฝ่าวงล้อมสามหนุ่มไปยังบุตรสาวทั้งสองที่กอดกันกลมอยู่บนพื้นหญ้า จินฮุ่ยอิงที่อยู่ในโอวาทมารดามาตลอดกระวีกระวาดดึงร่างน้องสาวลุกตาม จินซิงซินหยุดร้องทันทีที่สบแววตาแข็งกร้าว“ข้านึกว่าท่านแม่กลับไปก่อนแล้ว” จินฮุ่ยอิงเอ่ยเสียงเบาหวิวมือจับจินซิงซินแน่น“ก็ไปแล้วแต่เพราะพวกเจ้าไม่ตามลงไปเสียที แม่ก็เลยกลับขึ้นมาทันได้ฟังเรื่องขายหน้า ดีเหมือนกันจะได้ถามให้รู้เรื่องไ
“เหตุใดไม่”“มะ ไม่รู้” จินซิงซินส่ายหน้าและประหม่ากับคำถามอย่างไม่เคยเป็นจินฮุ่ยอิงมองสองคนสลับไปมาถึงกับงันไป เมื่อครู่หรือนางหูแว่วไปเอง เขาบอกจะแต่งน้องสาวนางเป็นชายาหรือที่ถูกคือบุรุษหนุ่มผู้นี้อาจหมายถึงตบแต่งน้องสาวนางเป็นภรรยา แต่แค่คิดว่าจินซิงซินจะต้องตบแต่งออกไป นางก็หวั่นใจเสียแล้วว่ามันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาจะยอมรับได้หรือที่จะมีภรรยาที่โตแต่ร่างกายแต่หัวใจไร้การเจริญเติบโตหึหึ...หลี่หลานหมิงหัวเราะในลำคอขณะปรายตามองหน้าดรุณีน้อยที่เม้มริมฝีปากบางจนแทบห้อเลือด นึกประหลาดใจกิริยาอาการแต่ก็มิได้ถือสากลับก้มกระซิบข้างหูนางอยู่นาน เป็นผลให้จินซิงซิงหน้าถอดสีไม่นานก็เปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและเสียงพึมพำหวาดกลัวในลำคอ“เกิดอะไรขึ้นซิงซิน! เขาว่าอะไร เจ้าถึงได้ร้องไห้ขนาดนี้”“ใจก็ร้าย พูดก็ไม่ดี นิสัยก็ไม่ดี!” จินซิงซินโวยวายไม่หยุด“เขาว่าอะไรเจ้าอีก ถึงได้ว่าเขาขนาดนี้”“คนใจร้ายเหมือนเสือบอกว่าจะจับกินตุ้งตุ้ง หากซิงซินไม่ยอมไปอยู่ด้วยจะจับตุ้งตุ้งกิน!”“ตุ้งตุ้ง? เจ้าหูเทาของเจ้าน่ะรึ”“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ตุ้งตุ้งของข้าออกจะน่ารัก เขายังคิดจะกินตุ้งตุ้งได้ลงคอ”จินซ
“ดี! ส่งขบวนของหมั้นมา ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าว่าจะสามารถทำให้สมฐานะตระกูลจินหรือไม่” นางประกาศกร้าวขณะเหลือบตามองบุตรสาวที่สีหน้าสลดลงและปรามด้วยแววตาดุมิให้ห้ามปราม นางยิ้มเย้ยไปที่ดรุณีน้อยอย่างสมใจเพราะได้ผลักไสลูกเลี้ยงที่ไม่รักไปให้พ้นทางดีแล้ว...ควรเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว...จินหวั่นอิงนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ถึงแม้นางแต่งเข้าสกุลจินมาในฐานะฮูหยินรองที่มิได้รับความเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็นแต่เพราะความดื้อแพ่งของนางเอง แม้จะถูกกีดกันจากบิดามารดาเพราะสืบแซ่เดียวกันกับสามีแต่นางก็ไม่ย่อท้อ เพราะเหยาจื่อซินที่เป็นฮูหยินใหญ่ครานั้นไร้บุตรสืบสกุลถึงแม้ร่วมหอมานานหลายปี นางเห็นทีที่จะได้ครองรักกับคนที่หลงรักมานาน แม้ต้องหอบเสื้อผ้ามาอยู่กับเขาในฐานะภรรยารองนางก็ยอม กระทั่งตั้งครรภ์ทุกคนจึงรุมเร้าเอาใจ แต่เมื่อมีบุตรสาวมิใช่บุตรชายความสนใจก็จางหายไปแล้วอย่างไรเล่า...แต่ถึงอย่างไรนางก็มีบุตรให้เขาก่อน แม้เด็กที่คลอดจะเป็นหญิง นางย่อมมีสิทธิ์มีเสียงเหนือกว่าเหยาฮูหยินที่ไร้บุตรสืบสกุลแต่มิคาด...นางมีความสุขได้รับความเอาใจใส่ไม่นาน เหยาจื่อซินก็ตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นเด็กโง่ที่เติบโตมาพร้
หม่าชิงเทียนย่นจมูกเมื่อถูกถ้อยคำดุสาดมา แต่เขาหาได้เกรงกลัวไม่ ร่างสูงผอมก้าวยาวๆ มากั้นทางเดินที่ฮูหยินจินกำลังจะขึ้นไปยังกระโจมใหญ่ หวังเฉ่าเสียนก้าวมาดักหน้าอีกคนพร้อมกระบี่ข้างหลังถูกชักออกมาขู่“ไปไม่ได้” หวังเฉาเสี่ยนเอ่ยเสียงเย็นชา“พวกเจ้าคิดจะขู่ข้าหรือ รู้หรือไม่ว่าต่อไปลูกสาวข้าจะ...”“ท่านแม่!”“เรียกทำไม” นางตวาดจินฮุ่ยอิงหดคอกลัวหงอ ดวงหน้านวลจืดเจื่อนเพราะมิอาจขัดมารดาได้ ฮูหยินจินตาขวางชี้ไปยังกระโจมก่อนเอ่ยเสียงกราดเกรี้ยว “หากอยากให้ข้าสิ้นสงสัยก็ให้คนของข้าตรวจค้นให้สิ้นซาก”“ไม่มีทาง”หวังเฉาเสี่ยนกำกระบี่เตรียมพร้อมเต็มที่ สีหน้าจริงจังทำให้จินฮุ่ยอิงรู้สึกหวาดหวั่น แต่มารดาของนางกลับหากลัวไม่“นอกจากคนด้านในจะเป็นโอรสสวรรค์ นอกนั้นใครหน้าไหนก็ห้ามข้าไม่ได้” นางตวาดเท้ายังจ้ำต่อไปไม่ฟังคำทัดทานและผลักหม่าชิงเทียนออกห่างกระทั่ง...“ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” หวังเฉาเสี่ยนโพล่งขึ้นจินฮุ่ยอิงสะดุ้งโหยงสีหน้าแปรเปลี่ยนทันทีที่เห็นท่าทีขึงขังเย็นชาของบุรุษรูปงามตรงหน้า นางไม่คิดไม่ฝันว่าคนผู้นี้นอกจากรูปงามแล้วยังเย็นชาเช่นนี้“หากไม่มีสิ่งใดปิดบังก็ต้องให้ข้าเข้าไป”“บอ
ขุนพลหน้าหยกผู้เคร่งขรึมเบิกตากว้างทันทีที่รู้ว่าดรุณีงามตรงหน้าคือจินฮุ่ยอิง คุณหนูตระกูลจินผู้เพียบพร้อมและถูกหมายมั่นว่าจะได้เป็นชายาของอ๋องสี่หลี่หลานหมิงนั่นเอง“ชักจะยุ่งกันใหญ่” หม่าชิงเทียนป้องปากกระซิบ ครั้งเห็นแววตาวิตกกังวลของสหายคู่ใจก็เอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินสองคน “และจะยุ่งใหญ่กว่าก็คือท่านอ๋องไม่สนว่าที่ชายากลับพากระต่ายน้อยไร้สกุลมากัก กับมีคนบางคนแถวนี้เกิดอาการศรรักปักอกกับคนที่ไม่ควร”“เจ้าอย่าพูดจาเพ้อเจ้อ” หวังเฉาเสี่ยนเอ็ดอึงเข้าให้ แต่หาทันไม่เพราะคำพูดโพล่งของจินหวั่นถิง“ข้าได้ยินเสียงคนในกระโจม”“หูแว่วมากกว่า” หม่าชิงเทียนแก้ต่างไม่พอก้าวมาดักหน้าวาดมือสับพัดคู่ใจเสียงดังพึ่บพั่บไปมาสลับกับสีหน้าขึงขังทำให้คนทั้งกลุ่มหยุดชะงักทันควันจินหวั่นถิงหรือฮูหยินสกุลจินเชิดหน้าปรายตามองสองขุนพลหน้าหยกสลับกันก่อนชักสีหน้าเครียดขรึมก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเข้าเรื่องเลย ข้ามาตามบุตรสาวกลับบ้าน นางหายไปตั้งแต่เมื่อวานมีคนเห็นว่าถูกลักพามาทางนี้”“บุตรสาวของท่านหรือ ข้าได้ยินว่าฮูหยินสกุลจินมีบุตรสาวแค่คนเดียว”“นั่นมันเรื่องของข้า จะมีกี่คนก็มิใช่เรื่องให้พวกเจ้าคนจรมาสู่รู้ มิเช่น