หลี่เฉียงลุกเดินออกไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่าหว่านหนิงนางหลงเหลือสิ่งใดไว้ให้เขาบ้าง แต่เมื่อจะจุดเทียนเพื่อใช้ส่องทาง ก็ต้องพบบนเชิงเทียนมีเพียงน้ำตาเทียนเท่านั้นที่เหลืออยู่
“เพ้ย อยู่เรือนเช่นไรถึงไม่ยอมเตรียมสิ่งของ” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย
หากหลี่เฉียงใส่ใจสักนิดเขาจะรู้ว่าภายในเรือนยามนี้แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่แล้ว
หลี่เฉียงจำต้องอาศัยแสงจันทร์นำทางมาที่ห้องครัว พอถึงห้องครัวเขาถึงได้ใช้ตะบันไฟจุดเพื่อส่องสว่าง หาดูว่ามีสิ่งใดที่พอจะใส่ลงท้องได้บ้าง
“สวรรค์ ไม่มีอะไรให้ข้ากินเลยหรือเนี่ย” เขามองห้องครัวที่ว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเศร้าใจ
สุดท้ายหลี่เฉียงทำได้เพียงดื่มน้ำลงท้องไปให้ได้มากที่สุดแล้วกลับเข้าห้องไปนอนหนาวและหิวจนเช้า
หว่านหนิงเห็นท้องฟ้าสว่างแล้ว แต่นางยังไม่คิดที่จะลุกขึ้นจากที่นอน นางยังคิดไม่ตกว่าสมควรทำเช่นไรต่อไปดี
ปัง ปัง ปัง เสียงเคาะประตูหน้าห้องของนางดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงร้องเรียกของหลี่เฉียงที่กำลังโมโหหิว
“หว่านหนิง เจ้าออกมาหาอะไรให้ข้ากินประเดี๋ยวนี้” เสียงทุบประตูยังดังไม่หยุด
หว่านหนิงเพียงแค่มองไปทางประตูห้องอย่างเย็นชา แต่นางไม่คิดจะลุกขึ้นไปเปิดหรือตอบสิ่งใด
หลี่เฉียงออกแรงได้ไม่นาน กลอนประตูห้องที่ไม่ได้แข็งแรงอยู่แล้วก็พังลง เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของนางด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“สายปานนี้ เหตุใดเจ้ายังไม่ลุก” เขากำมือแน่น เพื่อไม่ให้ตนเองใช้มือกระชากร่างของนางขึ้นมา
“...” หว่านหนิงปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะพลิกตัวหันหลังหนี
โทสะจากความหิวที่มีอยู่แต่เดิม ทำให้หลี่เฉียงโมโหเพิ่มมากขึ้นยิ่งได้เห็นท่าทางที่เมินเฉยของหว่านหนิง เขาดึงตัวนางขึ้นมาอย่างแรง
จนร่างของนางเกือบจะล้มไปกองอยู่ที่พื้น แต่ดีที่หลี่เฉียงยังมีความคิด มืออีกข้างของเขารวบเอวของนางไว้ได้ทัน ร่างของทั้งสองแนบชิดกันจนไม่เหลือเป็นช่องว่าง
ใบหูของหลี่เฉียงแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาไม่ได้ใกล้ชิดนางเพียงนี้มานานเท่าใดแล้ว ผิดกับหว่านหนิงที่แสนจะรังเกียจหลี่เฉียง ทั้งกลิ่นเหงื่อของพวกนักพนันและกลิ่นสุราที่ออกมาจากตัวของเขา ทำให้นางผลักตัวของเขาออกทันที
“อยากกินก็ไปหากินเอง ข้าไม่ทำ” นางกลับไปนั่งลงที่เตียง เพราะข้อเท้าของนางยังปวดอยู่ไม่น้อย
“ในครัวไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่แล้ว แล้วจะให้ข้าไปทำอันใด”
“ก็ใช่ไง ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว เงินก้อนสุดท้ายที่มีท่านก็นำไปเล่นพนันหมด ตอนนี้จะมาร้องหาสิ่งใด” เสียงที่เรียบเฉยของนางทำให้หลี่เฉียงเม้มปากแน่น
เขาคิดว่าหากนางได้รู้เรื่องนี้คงจะโวยวายด่าทอ หรือทุบตีเขาเช่นเมื่อวาน แต่นี่นางไม่แม้แต่จะต่อว่า หรือมองเขาเลยด้วยซ้ำ
“ขะ ข้า ข้าคิดว่ามือข้าจะขึ้น จะมีเงินมาลงทุนค้าขายหาเงินเข้าเรือน” เขาเอ่ยแก้ตัวออกมา
“อ้อ แล้วเป็นเช่นใดเล่า” นางช้อนสายตาขึ้นมามองเขา
“เหอะ เจ้าไม่ต้องถาม หากไม่มีก็ต้องไปหา ข้าเห็นสตรีในหมู่บ้านขึ้นเขาไปหาของป่ามากิน เหตุใดเจ้าไม่ทำ”
“หึ” หว่านหนิงสบถออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีความคิดที่ติดลบมากถึงเพียงนี้
“ท่านรู้เช่นนี้ก็ขึ้นเขาไปเองเถิด ข้าไม่ทำ” นางจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก็ถูกหลี่เฉียงดึงรั้งไว้
“เจ้าเป็นภรรยาจะปล่อยให้ผู้เป็นสามีอดตายได้อย่างไร”
“หลี่ เฉียง ท่านยังจำได้หรือว่าในเรือนยังมีภรรยา หากท่านคิดถึงข้าสักนิดคงไม่นำเงินก้อนสุดท้ายไปเล่นพนัน” นางพูดแสงลอดไรฟันออกมา
“ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะเสีย”
“เหอะ มีนักพนันคนใดที่ขนเงินกลับบ้านบ้างเล่า เรื่องเพียงเท่านี้ท่านยังคิดไม่ได้ เมื่อก่อนท่านจะถูกสั่งสอนมาเช่นไรข้าไม่รู้ แต่หากไม่คิดจะทำตัวให้ดีขึ้นก็ต้องปล่อยข้าไป ข้าบอกท่านถึงสองหนว่าข้ามิใช่ซูหว่านหนิง มิอาจทนอยู่กับบุรุษไร้ค่าเช่นท่านได้ รบกวนท่านเขียนหนังสือหย่าให้ข้าเถิด”
สิ้นคำว่าหนังสือหย่า หลี่เฉียงดึงตัวของหว่านหนิงขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา มือของเขายึดเอวคอดกิ่วของนางไว้แน่น
“เจ้าอย่าได้คิดเอ่ยเรื่องหย่าออกมาอีก ต่อให้เจ้าไม่ใช่นาง แต่ในเมื่ออยู่ในร่างของนางเช่นนี้ เจ้าก็ต้องอยู่กับข้าจนกว่าจะตายจากกัน” เมื่อกล่าวจบเขารั้งคอของนางไว้แน่น
พร้อมทั้งก้มลงประกบปากจุมพิตนางทันที หลี่เฉียงไม่รู้ตัวว่าเขากำลังทำสิ่งใด เพียงแต่ไม่อยากให้นางพูดเรื่องหย่าอีก และเขาไม่ต้องการให้นางทิ้งเขาไปด้วย
เพราะความผิดหวัง ช้ำใจที่ถูกผู้เป็นบิดาทอดทิ้ง ทั้งยังโดนมารดาเลี้ยงที่ตนรักดั่งมารดาผู้ใดกำเนิดหักหลัง เขาจึงไม่ต้องการให้หว่านหนิงที่เป็นภรรยาของตนทิ้งเขาไปด้วยอีกคน
หว่านหนิงตกใจกับสิ่งที่หลี่เฉียงทำไม่น้อย นางจะร้องประท้วงแต่ก็ถูกเรียวลิ้นของเขาปิดกั้นเสียงของนางไว้เสียก่อน
กลิ่นสุราและรสสุรายังไม่จางหายไปจากปากของหลี่เฉียง ยามที่เรียวลิ้นของเขาตวัดเกี่ยวพันลิ้นของนาง หว่านหนิงก็แทบจะมัวเมาไปด้วยรสของสุราทันที
ยามที่นางได้สติ หว่านหนิงจึงกัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง จนหลี่เฉียงจำต้องปล่อยตัวนางให้เป็นอิสระ
ฉาด เสียงฝ่ามือตบลงบนหน้าของหลี่เฉียง “ทะ ท่านมันสารเลว” หว่านหนิงร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจ
นางต้องมาพบเจอเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้เลยรึ เหตุใดวิญญาณของนางที่สมควรจะต้องไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง ถึงต้องมารับกรรมในภพนี้กับหลี่เฉียงด้วย
หลี่เฉียงตกใจไม่น้อยที่หว่านหนิงนางร่ำไห้ออกมาเสียงดัง เมื่อวานที่เขาเห็นน้ำตาของนางถึงสองครั้ง เสียงร้องไห้ของนางแทบจะไม่มีหลุดออกมาให้ได้ยิน
“หนิงหนิง หนิงหนิง ข้าขอโทษ” เขาเดินเข้ามาหานางด้วยท่าทางที่กระวนกระวาย
“อย่าเข้าใกล้ข้า ข้าเกลียดท่าน เกลียดทุกสิ่งที่นี่ สวรรค์ ทำไมท่านไม่ปล่อยให้ข้าตายไปเสีย พาข้ามาที่นี่ทำไม” นางทรุดตัวลงร้องไห้กับพื้นอย่างน่าสงสาร
หลี่เฉียงเขาถึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าละอายสิ้นดี ยิ่งได้ฟังคำพูดที่ตัดพ้อชะตาของนางเขาก็ยิ่งเสียใจ
“หนิงหนิง ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้กับเจ้าอีกแล้วดีหรือไม่” เขาคุกเข่าลงข้างนาง แต่พอจะยื่นมือเขามาลูบหลังปลอบนาง นางก็สะบัดหนีอย่างรังเกียจ
“หลี่เฉียง ข้าพูดเรื่องจริง หากท่านยังไม่คิดจะปรับปรุงตัวก็ควรปล่อยข้าไป”
“ข้าจะปรับปรุงตัว เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด เจ้าบอกข้ามาได้เลย” เขาพยายามจะจับมือของหว่านหนิงแต่นางก็ไม่ยินยอม
“เช่นนั้นท่านก็ออกไปหาของป่ามาให้ข้าทำอาหาร ต่อไปท่านต้องเลิกไปหอพนันและอย่าได้ดื่มสุราทุกวันเช่นเดิมอีก” หากมีเงินขึ้นมาเล็กน้อยค่อยมาคิดเรื่องปลูกข้าว ปลูกผัก เงินที่จะหาซื้อเมล็ดพันธุ์ยังไม่มีเลยสักเหรียญทองแดง
“ได้ ได้ ข้าล้วนฟังเจ้า” เพราะเขากลัวการถูกทิ้งให้อยู่ลำพังมิใช่น้อย
หว่านหนิงนางรู้มาจากประวัติศาสตร์ที่เคยได้เรียนมา สัญลักษณ์ของฮองเฮาเป็นรูปหงส์ และสีแดงมีเพียงพระองค์ผู้เดียวที่จะสวมใส่ได้ชุดสีแดงเพลิงที่มีรูปหงส์สยายปีกบินเต็มตัวที่อยู่ด้านหลัง หางของตัวหงส์ยาวไปจนถึงพื้นที่ลากดินด้านล่าง ส่วนด้านหน้าเป็นรูปใบหน้าของหงส์ที่ดูหน้าแกร่งข้าม ผู้ใดที่ได้สบดวงตาของหงส์จะต้องหวาดกลัวจนต้องก้มหน้าลงต่ำ“งะ งามนัก” พระองค์เดินเข้ามาอย่างเลื่อนลอย ลูบคลำชุดด้วยความหลงใหล“พระองค์ลองสวมดีหรือไม่เพคะ” หว่านหนิงยิ้มอย่างภูมิใจ นางยังมีลูกเล่นที่ยังมิได้เปิดเผยอีก แต่ต้องรอให้ฮองเฮาได้สวมใส่เสียก่อนองค์หญิงสี่มองชุดของเสด็จแม่ด้วยความตกตะลึงจนตอนนี้พระองค์ยังไม่อาจจะเรียกสติกลับมาได้นางกำนัลที่เปลี่ยนฉลองพระองค์ให้ฮองเฮาล้วนแต่มือไม้สั่นไปตามๆ กัน ทุกคนล้วนแต่ได้ยินเสียงหงส์ร้องคำรามออกมาเบาๆ จนมิอาจจะสวมได้เสร็จในเวลาอันรวดเร็วเช่นเคยยามที่พระองค์เยื้องย่างออกมาจากห้องเปลี่ยนฉลองพระองค์ ทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อปีกหงส์ที่อยู่ด้านหลังราวกับจะขยับสยายบินไปตามจังหวะก้าวเดิน ทั้งยังหางที่สะบัดไปมาช่างน่าตื่นใจยิ่งนัก“เสด็จแม่ งามยิ
ตอนนี้ซูหยวนกับพ่อบ้านซูก็จัดการเรื่องซื้อขายสุรากับฟู่หวงอวี้เข้าที่เข้าทางแล้ว พ่อค้าจากหัวเมืองทางตอนใต้และตะวันตกของแคว้นก็เดินทางมาติดต่อขอซื้อสุราจากพวกเขาเรื่องนี้ทางฟู่หวงอวี้มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะการค้าของเขาที่ติดต่อไว้กับหลี่เฉียงทำสัญญาค้าขายที่เมืองหลวง ทางตอนเหนือและตะวันออกทั้งหมดซูหย่งที่กลับเข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาตัวเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการค้าของผู้เป็นบิดา จึงทำให้ความสนใจทั้งหมดของเขาในยามนี้อยู่ที่ตำราเพียงเท่านั้น ยิ่งมีน้ำผึ้งของเหมยลี่ที่เขาผสมน้ำอุ่นดื่มอยู่เป็นประจำ ก็ทำให้ความจำของเขาดีมากกว่าเดิม ทั้งยังมิมีอาการเหนื่อยล้าจากการที่ตรากตรำอ่านตำราเพื่อให้ท่านสหายคนอื่นในสำนักศึกษาอีกด้วยหลี่เฉียงเขาทำตามที่เคยบอกกับพ่อบ้านหานไว้ เมื่อเสร็จเรื่องการค้าของท่านพ่อตา ตัวเขาก็เดินทางไปหาผู้เป็นบิดาที่ร้านค้าทันทีกิจการของตระกูลหานมีหลากหลายอย่าง ด้วยนายท่านหานเป็นคหบดีที่มีความสามารถมากนัก นับเป็นผู้ที่ร่ำรวยคนหนึ่งในเมืองหลวงเลยก็ว่าได้“อาเฉียง พ่อคิดว่าเจ้าจะไม่ยอมมาพบพ่อเสียแล้ว” เขาบอกบุตรชายด้วยสายตาที่รักใคร่เช่นเดิมยิ่งได้รู้จากพ่อบ้านหานว
ระหว่างที่ทั้งสามพระองค์กำลังดื่มชาและพูดคุยกันอยู่นั้น ขันทีก็เข้ามาแจ้งเรื่องที่หลี่เฉียงเดินทางมาถึงตำหนักแล้ว“รีบพาตัวเข้ามาเร็ว” องค์ชายสามร้องสั่งหลี่เฉียงเมื่อเดินเข้ามาด้านใน ฝ่าเท้าของเขาก็ชะงักเล็กน้อย นอกจากในห้องโถงจะมีองค์ชายสามที่นั่งอยู่แล้ว ด้านหลังยังมีสตรีอีกสองคนที่ใช้ผ้าโปร่งกางกั้นไว้อยู่ด้วย“กระหม่อมหลี่เฉียงถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”“ลุกขึ้นเถิด เจ้ารีบนำออกมาให้เปิ่นหวางได้ชื่นชมเร็วเข้า” องค์ชายสามแทบจะอดใจรอชมไม่ไหวขันทีรับผ้าปักที่ยังมิได้จัดใส่ฉากกั้นไปจากมือของหลี่เฉียง เพียงแค่กางออกให้องค์ชายสามได้ชม สตรีที่อยู่หลังฉากกั้นทั้งสองก็แทบจะลุกออกมาจากที่นั้งของตนทันที“สวรรค์” องค์ชายสามร้องออกมาได้เพียงเท่านั้นตัวพระองค์เคยเดินทางไปที่เมืองเจียงหนานมาแล้ว ภาพปักตรงหน้าจะเรียกว่าเหมือนทะเลที่พระองค์เคยเห็นเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ยามนั้นไม่ได้มีเรือที่ลอยอยู่กลางทะเลเช่นในภาพองค์ชายสามราวกับตกอยู่ในภวังค์ทั้งเสียงคลื่นลม เสียงนกที่กำลังบินกลับรังร้องขึ้น กลิ่นเค็มที่ออกมาจากท้องทะเล พระองค์ล้วนรับรู้ได้ทั้งหมด“อาหรง ส่งมาให้แม่ดูเสียก่อนเร็วเข้า” ฮองเฮาพระองค์เห
หลี่เฉียงเมื่อมาถึงร้านจื้อฝูที่เมืองหลวง ตัวเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี พอรู้ว่าเขาจะนำผ้าปักมามอบให้องค์ชายสาม คนงานของร้านก็รีบไปแจ้งองค์สามที่ตำหนักของพระองค์ทันทีเพียงไม่นานขันทีขององค์ชายสามก็มาเชิญหลี่เฉียงให้เข้าไปพบองค์ชายสามที่ตำหนักของพระองค์“วันนี้ข้ามิได้นำผ้าปักมาด้วย เพียงแค่ต้องการมาส่งข่าวให้องค์ชายสามเท่านั้น”“มิเป็นอันใดขอรับ องค์ชายสามต้องการจะสนทนากับท่านเล็กน้อย” ขันทีมิกล้าดูแคลนหลี่เฉียง เพราะดูจากท่าทางขององค์ชายสามที่รู้ว่านายท่านหลี่ติดต่อมาแล้ว ก็รีบร้อนส่งตนมาพบเขาในทันที“เช่นนั้นก็รบกวนท่านกงกงแล้ว” หลี่เฉียงติดตามขันทีไปที่ตำหนักภายในตำหนักใหญ่โตงดงามสมกับเป็นที่พักของเชื้อพระวงศ์ หลี่เฉียงถูกพาตัวไปที่ศาลาริมน้ำ ที่ล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้ทั้งภูเขาจำลองที่สมจริงจนต้องเผลอจ้องมองอยู่หลายหน“อาเฉียง เจ้ามาได้อย่างไร” ฟู่หวงอวี้ที่ถูกเรียกตัวมาพบเอ่ยถามหลี่เฉียงอย่างแปลกใจ“ข้ามีเรื่องที่ต้องกราบทูลองค์ชายสาม แล้วเจ้าเล่ามาได้อย่างไร”“จะเรื่องใดเล่า ก็สุราของเจ้าอย่างไร ข้าว่าเสร็จจากที่ตำหนักขององค์ชายสามจะไปหาตัวเจ้าอยู่พอดี”ฟู่หวงอวี้เล่าเรื่องที่
หลี่เฉียงกลืนน้ำลายลงคอ เขาไม่อยากจะพาก้างขวางคอเช่นเสี่ยวหู่ไปด้วยเลย“ดะ ได้”หว่านหนิงลอบหันไปยิ้มมุมปาก นางเพียงต้องการจะแกล้งเขาเท่านั้น “ข้าล้อเล่น ท่านไปเถิด”“แต่ข้าอยากไป” เสี่ยวหู่งอแงขอติดตามหลี่เฉียงไปด้วย “หรือท่านจะไปหอพนัน” มันเอ่ยถามเมื่อหลี่เฉียงไม่ยอมรับปากเสียที“เจ้าก็ช่างหาเรื่องให้ข้าถูกตีเสียจริง” หลี่เฉียงถลึงตามองมันอย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องหนีบเจ้าเสี่ยวหู่ไปที่เหลาสุราด้วยกันหว่านหนิงเลิกสนใจทั้งสอง นางพาฮวาเตี๋ย เซียงเซียงและเหมยลี่ไปจัดการเรื่องที่เรือนด้านหลังต่อ ส่วนหน้ามีมารดาของนางร้องสั่งให้ทาสที่ซื้อมาใหม่ช่วยจัดของเข้าที่อยู่แล้วหลี่เฉียงที่มาดื่มสุรากับสหายที่เหลาสุรา ย่อมต้องมีหญิงคณิกามาช่วยรินเหล้าเอาใจเขาด้วย แต่พอสตรีจะเข้าใกล้เขา เสี่ยวหู่ก็เอ่ยเตือนขึ้นมาทันที“กลับไป ข้าจะบอกนายหญิง” มันก้มลงกินเนื้อที่สั่งมาให้อย่างเอร็ดอร่อย“ออกไปห่างๆ ข้า” เขายกจอกเหล้าหนี พร้อมทั้งโบกมือไล่ให้พวกนางออกไปไกลๆ“อาเฉียง เจ้าเปลี่ยนไปมากนัก” สหายของเขามองหลี่เฉียงสลับกับแมวที่นั่งอยู่ข้างเขาอย่างแปลกใจ“ลองไม่เปลี่ยน ข้าคงไม่เหลือชีวิตรอด” เขาขนลุ
รุ่งเช้า หลี่เฉียงทำตามเช่นที่เขาพูดไว้เมื่อคืนทันที พอฟ้าเริ่มจะสว่างเขาก็เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงมาถึงด้านล่างของโรงเตี๊ยมก็พบคนตระกูลซูทั้งสามมารอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว“ท่านพ่อ ท่านแม่ เหตุใดพวกท่านมาเร็วยิ่งนัก กินอาหารเช้ามาแล้วหรือยังเจ้าคะ” หว่านหนิงนางรีบเดินมาหาพวกเขาทันที“เรียบร้อยมาแล้ว” นางจินซื่อยิ้มมองบุตรสาวอย่างพอใจ“เช่นนั้นก็ไปที่ว่าการกันเถิด” หลี่เฉียงเดินนำพวกเขาไปที่ว่าการที่ว่าการกับโรงเตี๊ยมอยู่ไม่ห่างกันมากนัก พอเขาบอกความต้องการกับเจ้าหน้าที่ ก็พาพวกเขาทั้งหมดมาเลือกเรือนที่ต้องการทันทีเรือนที่ยังว่างอยู่ในเมืองหลวงมีหลายแห่ง มีทั้งขนาดเล็กกลางใหญ่ ต่อไปซูหยวนจะต้องทำการค้า หว่านหนิงนางจึงเลือกเรือนที่มีขนาดกลางให้กับพวกเขาแม้จะบอกว่าเป็นเรือนขนาดกลาง แต่ก็มีพื้นที่ว่างที่ไม่เกี่ยวกับตัวเรือนพักมากถึงห้าหมู่ เรือนหลักเป็นเรือนสี่ประสานที่มีห้องมากถึงหกห้อง เรือนด้านข้างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกมีห้องอย่างละสามห้อง“ไม่ใหญ่ไปหรือหนิงหนิง” นางจินซื่อมองเรือนที่หว่านหนิงนางเลือกอย่างปวดใจไม่รู้ว่าต้องใช้เงินมากเพียงไหน พวกนางอยู่กันเพียงสามคนพ่อแม่ลูก เ