เข้าสู่ระบบ
รลิน หมอศัลยแพทย์ทั่วไป เธออายุ 27 แต่ความสามารถของเธอนั้นเป็นที่ยอมรับโดยประจักษ์ เธอยังชำนาญด้านแพทย์แผนจีน เรื่องพิษ คนทั่วไปทั้งในโรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาลที่รู้จักเธอ รับรู้แค่เธอเป็นหมอลินที่ทั้งสวยและเก่ง แต่ตัวตนที่แท้จริงของเธอนั้น เธอคือนักฆ่าขององค์กรใต้ดิน เธอต้องเรียนรู้และเข้าให้ถึงทุกอาชีพตามที่องค์กรสอน เมื่อได้ภารกิจต้องเข้าให้ถึงทุกบทบาท
รลินเป็นเด็กกำพร้าที่องกรค์รับเลี้ยงตั้งแต่สามขวบ เธอโดนฝึกวิชาต่อสู้ตั้งแต่เล็ก เรียนรู้ทุกอย่างที่องค์กรป้อนให้ ถ้าหากเด็กฝึกคนใดที่ไม่ผ่านการเรียนในแต่ละระดับเกินสามครั้งจะโดนกำจัดทันที เด็กฝึกทุกคนคิดว่าเมื่อโตขึ้นแข็งแกร่งขึ้นจะสามารถหลุดพ้นจากความเลวร้ายนี้ได้ แต่ทุกคนคาดไม่ถึงว่าที่ตัวจะโดนฝั่งชิปตั้งแต่ถูกรับเลี้ยงแล้ว
ที่รลินและเด็กฝึกคนอื่นรู้ถึงการมีอยู่ของชิปก็เมื่อ เพื่อนในรุ่นคิดว่าตัวเองนั้นเก่งพอจะหลีกหนีได้แล้วและอยากออกไปมีครอบครัว ทางองค์กรรู้เข้าเลยปิดระบบชิปซึ่งมันคือระเบิดเวลา ทุกคนเลยหลีกหนีชะตาชีวิตอันบัดซบครั้งนี้ไม่ได้นอกจากยอมรับความตายถ้าอยากหลุดพ้น
รลินใช้ชีวิตการเป็นหมอในเวลางานปกติ เมื่อออกจากงานเธอต้องรับภารกิจขององค์กร เธอได้รับภารกิจทุกเดือนเดือนละ1-2ครั้ง เพราะระดับภารกิจที่เธอได้รับนั้นคือระดับเพชร ในหนึ่งเดือนจึงไม่ได้มีบ่อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งหมายถึงการปลิดชีวิตคน
"หมอลินค่ะ" พยาบาลสาวผู้ช่วยมือขวาของหมอลินร้องเรียกด้วยเสียงร้อนใจ
"ว่าไงคะ พี่หมวย"
"คนไข้ห้อง226อาการไม่ดีเลยค่ะ หมอลินช่วยไปดูหน่อยค่ะ"
รลินรีบเร่งไปตรวจ คนไข้ในห้อง226 เป็นคุณยายอายุ 70 ปี เธอมาผ่าตัดลำไส้ใหญ่เมื่อสองวันที่แล้ว และเป็นคนไข้พิเศษที่ทางผอ.โรงพยาบาลย้ำว่าให้เธอเป็นผู้ดูแล
พยาบาลที่ดูแลในห้องมีอีกสองท่านที่คอยเช็คความดันและเช็คชีพจร เอ่ยเรียกหมอลินเมื่อเห็นคนไข้อาการไม่สู้ดี การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี แผลผ่าตัดก็ไม่ติดเชื้อ หมอลินมองดูคนไข้ด้วยความสับสน เวลาผ่านไปได้ห้านาที ชีพจรคนไข้กลับมาปกติ ความดันปกติ ทั้งหมอและพยาบาลล้วนมึนงงกับเหตุการณ์ที่พลิกไปพลิกมา
"คุณหมอ" คุณยายเมื่อได้สติร้องเรียกหมอลินพร้อมทั้งยื่นมือเพื่อพยายามจับมือหมอลิน
"ค่ะ คุณยาย รู้สึกยังไงบ้างคะ ปวดหัวหรือเจ็บแผลไหมคะ" หมอลินสอบถามอาการเบื้องต้นกับคนไข้
"ยายไม่ปวดหัว ไม่เจ็บแผลแล้วจ๊ะหมอ"
"คุณยายพักผ่อนก่อนนะคะ ถ้าไม่มีอาการอะไรแล้วอีกสามวัน หมอจะให้กลับบ้านนะคะ" หมอลินกล่าวจบก็เตรียมตัวจะออกจากห้องไป แต่คุณยายเรียกไว้บอกขอคุยกับหมอลินเพียงลำพัง พยาบาลท่านอื่นเมื่อเห็นอาการของคนไข้ปกติก็ขอตัวออกไปดูแลคนไข้ท่านอื่น
"หมอ เชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม" ยายจะมามุขไหนเนี้ย หมอลินอยากจะเดินหนีไปทันทีที่คำถามจบแต่เพราะคุณยายจับมือไว้แน่นจึงหนีไปไม่ได้
"ไม่เชื่อค่ะ โลกนี้หมอเชื่อแค่ตัวหมอเท่านั้นค่ะยาย" แม้จะหัวเสียกับคำถามแต่เพราะเป็นคนไข้พิเศษเธอจึงเลือกตอบตามที่ใจตัวเองนึก
คุณยายไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่หยิบกำไลจากใต้หมอนแล้วสวมให้หมอลินแทน หมอลินกล่าวปฏิเสธพร้อมถอดกำไลคืน แต่กำไลเจ้ากรรมดันถอดไม่ออกเหมือนปรับขนาดลงให้พอดีข้อมือของเธอซะงั้น
"ยายให้ แล้ววันหนึ่งหมอจะรู้เอง" รู้อะไร รู้เลยได้ไหม เธอได้แต่นึกและยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หาย
"หมอลิน หมอเหลือเวลาอีกสามวัน ยายบอกได้แค่นี้ ขอให้โชคดี" สามวัน เวลาอะไรสามวัน แล้วจะโชคดีได้ยังไงกับเวลาแค่สามวัน หมอลินที่สับสนคำพูดของยายที่ไม่สามารถทำให้เธอเข้าใจอะไรได้เลยนั้น พอจะถามคุณยายก็หลับไปแล้ว เธอจึงได้เดินออกมาจากห้องคนไข้แบบงง ไม่มีสติกับตัวจนถึงห้องพัก
เธอเพิ่งจะมีเวลาสังเกตกำไลที่ได้มา มันเป็นกำไลหยกมันแพะสีขาวนวลเนื้อดี แค่มองก็รู้ว่ามีราคาแต่ให้เธอมาทำไม แล้วยังบอกเหลือเวลาแค่สามวัน สามวันที่เหลือคือเธอจะตายใช่ไหม หรือยายเป็นหมอดู
ห้าปีผ่านไปชายแดนประจิมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ชาวเมืองแคว้นฉีเริ่มเข้ามาทำการค้ามากขึ้น ถึงกับมีตลาดชายแดนที่ทั้งสองแคว้นจะนำสินค้าของตนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ชีวิตชาวบ้านจึงดีขึ้นมู่หลินได้หาพืชผักที่ทนต่อสภาพอากาศหนาวเข้ามาปลูก นางยังค้นพบภูเขาที่มีดินเค็ม เมื่อถวายฎีกาถึงฮ่องเต้ให้ทราบเรื่องแล้ว พระองค์ได้ช่วยส่งเสริมให้ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงภูเขาผลิตเกลือออกมาจำหน่าย โดยหักภาษีเข้าคลังเพื่อพัฒนาพื้นที่เมืองอื่นต่อไปฮ่องเต้ฉู่เฟยหลางสละราชบัลลังก์ให้กับองค์รัชทายาทขึ้นปกครองตอนนี้เจ้าลูกเต่าทั้งสามติดตามบิดาเข้าไปฝึกวรยุทธ์ในค่ายทหาร เพราะไป๋เฟยหรงหมั่นไส้บุตรชายทั้งสามที่เกาะติดมู่หลินมากเกินไปไป๋หมิงยู่ ไป๋หรงซิ่ง ไป๋เฉินกง เวลาอยู่กับบิดาทั้งสามจะทำตัวนิ่งขึม เหมือนเช่นบิดา พอลับหลังบิดา ทหารที่เป็นพี่เลี้ยงทั้งหลายล้วนปวดหัวกันเป็นแทบ เด็กชายทั้งสามพี่ใหญ่วางแผน พี่รองดูต้นทาง น้องเล็กหลอกล่อ กลยุทธ์ที่ร่ำเรียนมาจากกงหยวนนั้นเรียกได้ว่าตอนนี้เก่งเกินอาจารย์เสียแล้วแม้แต่กงหยวนยังเจ้าเล่ห์ไม่ได้เท่าไป๋หรงซิ่งเลย หากหนีเรียนวันใดแล้วโดนจับได้ ไป๋เฉินกงจะทำหน้าที่เรียกร
ใช้เวลาเดินทางครึ่งเดือนก็มาถึงแดนประจิม จวนท่านแม่ทัพนั้นไม่มีอะไรให้มู่หลินปรับปรุงแก้ไขนอกจากห้องน้ำ นางอยากจะเอาที่นอนออกมาใช้ใจจะขาด แต่ยังไม่ได้บอกกล่าวเรื่องมิติที่มีให้กับเฟยหรงได้รู้มู่หลินที่นอนไม่สบายตัวก็ขยับไปมาจนเฟยหรงรู้สึกตัว“น้องหญิง นอนไม่หลับหรือ” เฟยหรงดึงตัวมู่หลินมา กอด“ท่านพี่ข้าจะพาท่านไปที่แห่งหนึ่ง” พูดจบมู่หลินก็พาเฟยหรงเข้าไปในมิติของตน“ที่นี่คือที่ใด” เฟยหรงมองรอบๆ อย่างโง่งม ที่นี้สวยมากจริงๆ ลำธารที่น่าลงไปแช่ ภูเขาด้านหลังก็ดูอุดมสมบูรณ์ ไหนจะแปลงสมุนไพรหลากหลายชนิด พืชผักผลไม้เต็มไปหมด ทุ่งข้าวที่เหลืองอร่ามพร้อมเก็บเกี่ยว กระท่อมหลังน้อยที่อยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้“ที่นี่คือมิติของข้าเจ้าค่ะ” มู่หลินพาเฟยหรงเข้าไปในกระท่อม ด้านในเครื่องเรือนของใช้ไม่เหมือนที่เขาเคยเห็น นางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดของนางตั้งแต่แรกให้ฟัง ก็เหมือนสิ่งที่นางเล่าให้ครอบครัวฟังเฟยหรงกอดมู่หลินยิ่งนึกถึงว่านางเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่งใจเขาก็ยิ่งปวด“หากเจ้าไม่อยากนำที่นอนออกไปด้านนอก เจ้าจะบอกพี่เรื่องนี้หรือไม่” เฟยหรงเอ่ยอย่างน้อยใจ มู่หลินจึงจูบไปที่มุมปากเพื่อเอาใจ“ย่อมต้อง
ไป๋เฟยหรงกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ตัวแทบจะติดกับมู่หลินเลยทีเดียว ยิ่งมู่หลินออกไปข้างนอกเฟยหรงแทบจะให้นางใส่ผ้าคลุมทั้งตัวไม่ใช่ว่าไม่มีสตรีเข้าหาเฟยหรงนะ มีมากเลยทีเดียว สาวใช้ที่มาใหม่ในจวนไป๋ที่คิดจะปีนเตียงเฟยหรง โดนเฟยหรงถีบออกมาจากห้องรักษาตัวอยู่ห้าวันกว่าจะลุกขึ้น เมื่อมีตัวอย่างให้เห็นใครจะกล้าเสี่ยงขุนนางที่ใจกล้าก็อยากจะยกบุตรสาวให้เป็นอนุ ตอนเช้ามาทหารเข้ามาจับกุมโดนขุดความผิดที่ตนก่อไว้ตั้งแต่เริ่มเป็นขุนนาง แม้จะเล็กน้อยไม่โดนตัดสินโทษหนักก็ย่อมต้องโดนลดขั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ขุนนางทั้งหลายเลยเลิกยุ่งกับแม่ทัพไป๋ไปโดยปริยาย“หลินเออร์ แม่ว่าเจ้าแต่งให้ท่านแม่ทัพเสียเลยเถิด ตอนนี้เจ้าก็ 17 หนาว แล้ว พ่อกับแม่มีพี่รองของเจ้าอยู่ด้วย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เหมยฮวาเรียกมู่หลินมานั่งพูดคุย เพราะนางก็เห็นใจว่าที่ลูกเขยเช่นกัน“ข้าแล้วแต่ท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ” มู่หลินยอมตกลงเฟยหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะวิ่งไปป่าวประกาศให้คนทั้งเมืองหลวงได้รู้กันทั่ว เฟยหรงรีบเข้าวังหลวงไปขอฤกษ์มงคลที่เร็วที่สุด แล้วก็เร็วจริงๆ งานจะจัดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้ามู่หลินขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างโมโห สั
แล้วก็ถึงวันสอบเตี้ยนซื่อ หน้าพระที่นั่ง โดยวันสอบจะมีฮ่องเต้เป็นผู้คุมสอบและออกข้อสอบ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับหนึ่งจะได้เป็น จอหงวน อันดับที่สอง ปั๋งเหยี่ยน อันดับที่สาม ทั่นฮวาครอบครัวหวังมาส่งเจียวโจวกับเจียวจ้านหน้าสนามสอบ“ตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุดพอ พ่อไม่คาดหวังว่าเจ้าทั้งสองจะติดสามอันดับ” เจียวจิ้นให้กำลังใจบุตรชาย“แต่ข้าคาดหวังว่าท่านพี่ทั้งสองจะได้จอหงวนเจ้าค่ะ”เจียวโจวดีดหน้าผากมู่หลิน เจียวจ้านตบอกให้น้องเล็กรอดูได้เลยเมื่อทั้งสองเดินเข้าสนามสอบแล้ว เจียวจิ้น เหมยฮวา มู่หลินจึงกลับไปรอที่จวนระหว่างรอผลสอบ ข่าวที่ส่งจากโยวโจวทำให้เฟยหรงถึงกับนั่งไม่ติด ต้องรีบควบม้าออกมาจากค่ายทหารนอกเมืองเพื่อขอความเห็นใจจากมู่หลินทันที่“หลินเออร์” เฟยหรงเอ่ยเสียงอ่อยเรียกมู่หลินมู่หลินเลิกคิ้วรอฟังว่าพ่อตัวดีจะพูดสิ่งใด"เยว่เออร์ตั้งครรภ์แล้ว""อืม" ใช่เรื่องนี้นางรู้แล้ว เพราะห่าวหรานส่งข่าวมาเช่นกัน"หลินเออร์ แต่งเลยมิได้หรือ" มู่หลินหรี่ตามองเฟยหรง"กลับค่ายไปเลย" นางกัดฟันพูดผลการสอบเตี้ยนซื่อ ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เจียวโจวได้เป็นปั๋งเหยี่ยน เจียวจ้านได้อันดับที่ห้า เด็กๆ
ท่านผู้เฒ่าเซี่ยมาถึงก็เมืองหลวงพักผ่อนเพียงหนึ่งวันก็พาคนทั้งตระกูลเดินทางเข้าสู่วังหลวง"ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี""ลุกขึ้น ไม่ต้องมากพิธี" ฮ่องเต้มองสหายต่างวัยด้วยความคิดถึง"เซี่ยหลี่เฉียงรับราชโองการ ตระกูลเซี่ยจงรักภักดีต่อราชวงศ์ มีความดีความชอบร่วมปราบกบฏองค์ชายใหญ่ในครั้งนี้ ฮ่องเต้ทรงพระราชทานตำแหน่งกั๋วกง ขั้นหนึ่ง ประทานจวนหน่งหลัง เงินรางวัล 50,000 ตำลึงทอง ผ้าไหม 20 พับ เครื่องประดับ 5 หีบ จบราชโองการ " ขันทีประกาศราชโองการแม้ของรางวัลที่ได้จะไม่อาจเทียบเท่ากับของที่เคยโดนยึดไป แต่ตระกูลเซี่ยก็ไม่เสียดาย เพราะทรัพย์สินของตระกูลตอนนี้มีมากมายเทียบเท่าเงินในคลังหลวงได้ฮ่องเต้ยังคงต้องใช้เงินเยี่ยวยาชาวเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการก่อกบฏขององค์ชายใหญ่ในครั้งนี้อีกมากตระกูลเซี่ยเข้าพักในจวนหลังใหม่ ท่านตาท่านยายยังบ่นกับมู่หลินเรื่องที่นอนนั้นนอนไม่สบายเท่าที่หมู่บ้านชุนหง ห้องน้ำก็ไม่สะดวกสบาย หลานสาวแสนดีจึงเอาใจด้วยการเอาที่นอนของใช้ออกมาให้ทุกคน ท่านตาท่านยายเลยได้ยิ้มหน้าบานครอบครัวหวังเจียวจิ้นนั้นแยกตัวไปอยู่จวนที่ห่าวหรานซื้อไว้ หากให้นั
เซี่ยซีห่าวนำทัพพร้อมพวกกบฏเดินทางถึงเมืองหลวงหลังจากที่ไป๋เฟยหรงถึงเกือบสิบวันฮ่องเต้สังประหารขุนนางฝ่ายกบฏทั้งหมด ขุนนางคนใดที่โทษไม่หนักก็เนรเทศออกไปใช้แรงงานที่ชายแดน ส่วนองค์ชายใหญ่นั้นทดพิษบาดแผลไม่ไหวชิงตายไปเสียก่อนวันตัดสินโทษเพียงแค่สองวัน หวงกุ้ยเฟย เสนาบดีเว่ย เว่ยซูเหิง โดนตัดสินให้แล่เนื้อเถือหนังจนกว่าจะสิ้นใจตายส่วนคนในจวนตระกูลเว่ยและตำหนักขององค์ชายใหญ่ที่ตรวจสอบแล้วไม่มีความผิดก็โดนเนรเทศสั่งห้ามทั้งหมดกลับเข้าเมืองหลวงและหมดสิทธิ์เข้าสอบขุนนางตลอดชีวิตเว่ยซูเม่ยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏครั้งนี้ แต่นางมีความผิดที่ส่งนักฆ่าไปลอบสังหารมู่หลินหลายครั้ง จึงโดนตัดสินให้ประหารชีวิตด้วย ถึงแม้มู่หลินจะเสียดายที่นางไม่ได้เป็นคนจัดการเอง แต่ก็ไม่ได้ติดใจเพราะโทษตายที่นางได้รับนั้นสมควรแล้วขุนนางกว่าครึ่งในท้องพระโรงที่โดยตัดสินโทษครั้งนี้ แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ทรงร้อนใจเท่าใด เพียงแต่ตั้งขุนนางตงฉินเข้ามาแทนในตำแหน่งสำคัญที่หายไป ส่วนในตำแหน่งอื่นนั้น ทรงรอการสอบหน้าพระที่นั่งในอีกหกเดือนที่จะถึงนี้ คงเติมเต็มท้องพระโรงได้ครบทุกตำแหน่งเวลาที่ครอบครัวบ้านหวังรอก็มาถ







