วันนี้ทั้งบ้านตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่แสงแรกของอรุณรุ่ง ข้าวหอมช่วยศจีจัดเตรียมอาหารที่แม่ทำใส่กล่องข้าวอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้รุจน์และสายเมฆห่อติดตัวไปกินในเมือง
ตอนแรกข้าวหอมออกจะไม่เห็นด้วยนักกับการห่อข้าวไปกิน เธอรู้สึกว่ามันไม่สะดวกเอาเสียเลย การซื้อกินที่นั่นน่าจะดีกว่า ทั้งประหยัดเวลาและดูสบายกว่ากันเยอะ “พ่อคะ ตอนนี้เราก็พอมีเงินแล้วนี่คะ ทำไมเรายังจะต้องประหยัดขนาดนี้อีก? พ่อควรจะได้กินอะไรดีๆ ในเมืองบ้างนะคะ” ข้าวหอมเอ่ยถามด้วยความสงสัย รุจน์ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะสอนลูกสาวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ข้าวหอม… ยามที่เรามี ก็ควรรู้จักเก็บหอมรอมริบเอาไว้บ้างนะลูก เผื่อวันหนึ่งข้างหน้าวันที่เราไม่มี จะได้ไม่ลำบาก อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัดเถอะ ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า แล้ววันหน้าจะไม่เดือดร้อน” ‘ยัยนี่ก็ยังไม่รู้จักคุณค่าของเงินอยู่ดีสินะ พอมีก็จะใช้อย่างเดียวเลย’ สายเมฆคิดในใจพลางแอบมองข้าวหอมก่อนจะเอ่ยสมทบคำพูดของรุจน์ “ที่พ่อพูดน่ะถูกแล้วข้าวหอม ตอนนี้เราเริ่มหาเงินได้ก็ต้องเก็บไว้ก่อน เราไม่รู้หรอกว่าที่ตากเนื้อแห้งของเราจะขายได้ไปอีกนานแค่ไหน สักระยะหนึ่งเราก็ต้องหาอย่างอื่นทำ อันไหนประหยัดได้ก็ประหยัดไว้เถอะ” “ทำไมล่ะคะ? ทำไมถึงไม่ทำไปให้ตลอดเลยล่ะ” ข้าวหอมสงสัยในคำพูดของสายเมฆ ดวงตาโตจ้องมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “เราก็ลองคิดดูสิ ที่ตากเนื้อแห้งมันไม่ได้ซับซ้อนมากนัก ถ้าคนอื่นสังเกตจริง ๆ แล้วลองผิดลองถูกนิดหน่อยก็สามารถทำตามได้แล้ว พอมีคนทำตามเยอะ ๆ สินค้าของเราก็จะไม่ได้ขายดีแบบนี้อีกแล้ว” สายเมฆถือโอกาสสอนข้าวหอมไปในตัว เมื่อเตรียมตัวพร้อม รุจน์กับสายเมฆก็ออกเดินทางไปยังปากทางหมู่บ้าน ภายใต้แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าที่เริ่มทอแสงแรงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาตั้งใจไปรอรถสองแถวประจำทาง ซึ่งนาน ๆ ทีจะผ่านมาสักคัน หากพลาดเที่ยวนี้ไปก็ต้องรอรอบต่อไปอีกเกือบชั่วโมง ทั้งสองนั่งรออยู่บนศาลาพักผู้โดยสารเก่า ๆ ริมทาง สายตาจับจ้องไปตามถนนลูกรังที่ทอดยาว บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงใบไม้ไหว ไม่นานนัก รถสองแถวสีแดงคันคุ้นตาก็เคลื่อนเข้ามาจอด สายเมฆกับรุจน์รีบขึ้นไปนั่งจับจองที่นั่งด้านในสุดได้อย่างสบาย ๆ โชคดีที่หมู่บ้านของพวกเขาเป็นต้นสาย จึงได้เปรียบเรื่องที่นั่ง รถสองแถวเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ สลับกับการจอดรับผู้โดยสารที่คอยโบกตามรายทาง แต่ละคนที่ขึ้นมาพร้อมสัมภาระและรอยยิ้มทักทาย ผู้คนทยอยขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งภายในรถอัดแน่นไปหมด บางคนต้องยืนโหนจับราว บางส่วนที่หาที่นั่งไม่ได้ก็ต้องปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาอย่างชินชา แม้จะได้นั่ง แต่การเดินทางก็ไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะถนนลูกรังตลอดเส้นทางทำให้รถโคลงเคลงไปมาอย่างต่อเนื่อง ฝุ่นดินฟุ้งกระจายเข้ามาภายในตัวรถทุกครั้งที่ล้อบดกับก้อนกรวดเล็ก ๆ ผู้โดยสารต่างจับราวแน่น ลมร้อนพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างปะทะใบหน้า สร้างความรู้สึกเหนอะหนะจากเหงื่อและฝุ่นควัน สายเมฆมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพทิวทัศน์ชนบทที่คุ้นตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบ้านเรือนที่หนาแน่นขึ้นเมื่อเข้าใกล้ตัวเมือง ในห้วงความคิด เขาวาดภาพอนาคตที่สดใสกว่าเดิม 'ถ้าฉันหาเงินได้มากกว่านี้ ฉันจะพาทั้งครอบครัวย้ายมาอยู่ในเมือง' ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในใจ ก่อนที่เขาจะรู้สึกเอะใจเล็กน้อย 'ฉันรวมตัวเองไว้ในครอบครัวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ... และทำไมถึงได้รู้สึกเป็นห่วงเป็นใย รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับครอบครัวนี้มากขนาดนี้' ความรู้สึกอบอุ่นและผูกพันที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ทำให้เขาแปลกใจตัวเอง เขาไม่เข้าใจความรู้สึกนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้หัวใจของเขาพองโตอย่างประหลาด เมื่อถึงที่หมาย รุจน์ก็เดินไปจ่ายค่าโดยสาร ก่อนจะพาสายเมฆเดินลัดเลาะเข้าไปในซอยของตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คนจอแจและเสียงจอแจของพ่อค้าแม่ค้า ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะไปหาซื้อผ้าตาข่ายสำหรับทำที่ตากเนื้อแห้งก่อน แล้วค่อยฝากของไว้ที่ร้าน จากนั้นจึงค่อยเดินเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นเข้าบ้าน ที่ร้านขายของในตลาด หลังจากสายเมฆสั่งผ้าตาข่ายจำนวนมากจนเจ้าของร้านต้องหันมามองด้วยความแปลกใจ เจ๊จวง เจ้าของร้านที่ดูท่าทางเป็นคนช่างพูดก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ลื้อเปิดร้านใหม่เหรอพ่อหนุ่ม? ทำไมสั่งไปเยอะจัง ไม่ค่อยทยอย ๆ เอาไปล่ะ เผื่อขายไม่ออก” “ไม่ได้เปิดร้านหรอกครับเจ๊” สายเมฆตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพ “พอดีมีชาวบ้านสั่งที่ตากเนื้อแห้งจำนวนมากน่ะครับ ผ้าตาข่ายเลยไม่พอ ผมก็เลยต้องมาซื้อไปเยอะ ๆ หน่อย” “ที่ตากเนื้อแห้งเหรอ? มันคืออะไร แล้วมันขายดีมากเลยเหรอ?” เจ๊จวงสวมวิญญาณเถ้าแก่สาวนักธุรกิจที่คอยสรรหาสิ่งใหม่ ๆ มาเข้าร้านอยู่เสมอ ดวงตาของเธอลุกวาวด้วยความสนใจ เมื่อสายเมฆอธิบายรายละเอียดและประโยชน์ของที่ตากเนื้อแห้งให้ฟัง เจ๊จวงก็ยิ่งเกิดความสนใจมากขึ้นไปอีก “ลื้อทำมาให้อั๊วะด้วยสิ! เอามาวางขายร้านอั๊วะได้เลยนะ อั๊วะให้ราคาดีเลยนา!” สายเมฆหันไปปรึกษากับรุจน์เล็กน้อย ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงตกลงกับเจ๊จวงว่า ถ้าทำของชาวบ้านที่สั่งไว้เสร็จแล้ว จะนำตัวอย่างมาให้เจ๊จวงดูอีกที แล้วค่อยให้เจ๊ตัดสินใจว่าจะเอาแบบไหน เมื่อตกลงเรื่องการค้ากับเจ๊จวงเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินหาซื้อข้าวของเข้าบ้านต่อ ของส่วนใหญ่ที่ซื้อก็เป็นพวกอาหารแห้ง วัตถุดิบสำหรับทำอาหาร และของใช้จำเป็นประจำบ้าน เช่น ยาต่าง ๆ ขณะที่เดินหาซื้อของอยู่นั้น ทั้งคู่ก็เดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง บรรดาแม่บ้านและหญิงสาวต่างพากันมุงดูและเลือกซื้อของที่วางอย่างละลานตา รุจน์เห็นแล้วพลันนึกถึงศจีผู้เป็นภรรยา เขานึกอยากจะซื้อของสวย ๆ งาม ๆ ให้ศจีบ้าง แต่ก็ติดตรงที่ตอนนี้พวกเขายังไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อของฟุ่มเฟือยเช่นนี้ รุจน์มองของในร้านอย่างตัดใจและหันหน้าไปทางอื่น โดยไม่ทันสังเกตว่าในกลุ่มแม่บ้านที่กำลังเลือกของอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งกำลังจ้องมองมายังที่รุจน์ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความคิดถึงและความรู้สึกที่ซับซ้อน สายเมฆที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รุจน์ กลับมองเห็นแววตาของหญิงสาวคนนั้นที่จ้องมองรุจน์ เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน “ลำดวน! ตัวนี้สวยมั้ย” เสียงเพื่อนของผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถาม พลางหยิบเสื้อขึ้นมาให้ดู ‘ชื่อลำดวนเหรอ…’ สายเมฆได้ยินชื่อนั้นชัดเจน เขาจดจำไว้ในใจ ‘กลับไปค่อยไปถามยัยข้าวหอมละกัน ว่าในร่างเก่าของเธอมีความทรงจำเกี่ยวกับคนชื่อลำดวนคนนี้บ้างไหม’ หลังจากซื้อของจำเป็นเข้าบ้านเสร็จเรียบร้อย ทั้งรุจน์และสายเมฆก็ช่วยกันขนข้าวของพะรุงพะรังเดินมายังท่ารถสองแถว เพื่อรอรถรอบต่อไปที่จะกลับหมู่บ้าน “โอ้โห ตารุจน์! ทำไมวันนี้ซื้อของเยอะแยะแบบนี้วะ? ถูกหวยมารึเปล่าเนี่ย?” ลุงคนขับรถสองแถวที่รู้จักคุ้นเคยกันดีเดินเข้ามาทักทายพร้อมกับช่วยขนของที่รุจน์ซื้อมาขึ้นไปวางบนที่นั่งด้านหน้าของรถ เพื่อจองที่ไว้ให้ “เปล่าหรอกลุง” รุจน์ตอบสั้น ๆ พลางยิ้มแหย ๆ “พอดีหลานศจีมาอยู่ด้วย เลยต้องซื้อของกลับไปมากหน่อยน่ะ” เขาพยายามตัดบท เพราะไม่อยากตอบคำถามอะไรเพิ่มอีก ขณะที่รอรถออก ทั้งคู่ก็แกะอาหารที่ห่อมาจากตลาดมากินรองท้องตรงโต๊ะหินอ่อนตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับจุดจอดรถสองแถว ท่ามกลางเสียงจอแจของตลาดที่เริ่มซาลงแล้วนั้น ลำดวน ก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขา ลำดวนสวมชุดที่ดูดีมีราคา บ่งบอกฐานะที่เหนือกว่าคนทั่วไปในตลาดได้อย่างชัดเจน เธอเดินกรีดกรายตรงมายังโต๊ะหินอ่อนที่รุจน์นั่งอยู่ พร้อมกับส่งยิ้มหวานหยด “พี่รุจน์... จำลำดวนได้ไหมคะ?” เสียงหวานใสกังวานเอ่ยทักทาย รุจน์เงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ แววตาของเขามีประกายบางอย่างที่วูบไหวเพียงชั่วครู่จนแทบจับสังเกตไม่ได้ ก่อนจะกลับมานิ่งเฉย “จำได้สิ... นี่ลำดวนไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แล้วเหรอ?” รุจน์พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “อืม... พอดีลำดวนกลับมาเยี่ยมบ้านน่ะค่ะ ก็เลยแวะซื้อของที่ตลาดในเมืองก่อนกำลังจะกลับเลย” ลำดวนตอบ พลางใช้สายตากวาดมองไปที่ข้าวของที่รุจน์ซื้อมา “พี่รุจน์กำลังจะกลับบ้านพอดีเลยใช่ไหมคะ? ติดรถลำดวนไปไหม? ของพี่รุจน์เยอะแยะแบบนี้ เดี๋ยวลำดวนให้คนขับรถขนไปให้” เธอยิ้มพร้อมเสนอตัวที่จะช่วย “ไม่ดีกว่าลำดวน” รุจน์ปฏิเสธเสียงเรียบแทบจะทันที แววตาฉายความประหม่าเล็กน้อยแต่ก็พยายามเก็บอาการ “พอดีพี่ตั้งใจจะกลับรถสองแถวอยู่แล้ว ไม่รบกวนลำดวนหรอก” พูดเสร็จเขาก็ก้มหน้าลงกินข้าวต่ออย่างไม่สนใจ พยายามทำตัวให้ดูเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราวกับต้องการสื่อว่าไม่มีอะไรผิดปกติ และไม่อยากข้องแวะอีก สายเมฆที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รุจน์ตลอดเวลา เขาสังเกตเห็นทุกอิริยาบถ ทุกคำพูด และแววตาที่วูบไหวของทั้งสองคน สีหน้าของลำดวนที่เต็มไปด้วยความพยายามจะเข้าหา กับท่าทางที่รุจน์พยายามหลีกเลี่ยงอย่างชัดเจนทำให้สายเมฆเริ่มประติดประต่อเรื่องราวบางอย่างในอดีตได้ ‘ดูท่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ธรรมดา... และลุงรุจน์ก็คงไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย’ ลำดวนเห็นดังนั้นก็ฝืนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างเสียดาย แต่ในใจของเธอพลันเดือดดาลด้วยความหงุดหงิด เธอสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ และยังไงก็จะต้องหาโอกาสเจอรุจน์อีกให้ได้!เมื่อเดินทางมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุง ลุงเพิ่มก็พาคณะทั้งหมดเดินสำรวจดูข้างในอย่างละเอียด ในตัวบ้านมีห้าห้องนอนกับสองห้องน้ำ ซึ่งกว้างขวางเกินความคาดหมายของทุกคน ลุงเพิ่มเสนอแผนการต่อ “เดี๋ยวลุงจะสร้างเรือนพักเล็ก ๆ ขนาดสามห้องนอนไว้ข้าง ๆ เรือนหลักนี้เลยนะ เผื่อแซมและธง ตัดสินใจมาเรียนหนังสือ จะได้แยกมาอยู่เป็นส่วนตัว จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดกันเกินไป สาลี่ก็จะได้แยกมาอยู่กับแซมด้วย”“โธ่ ลุงครับ! ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวพวกผมช่วยกันทำเองก็ยังได้เลยครับ” แซม รีบเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า” ลุงเพิ่มกล่าวตัดบทด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “แค่เห็นหนูแก้วกลับมามีความสุขอีกครั้ง ลุงก็ทำให้ได้หมดแหละ อีกอย่างนะ ถ้าพวกแกไม่อยู่บ้านมันก็จะทรุดโทรมเปล่า ๆ หากมีคนอยู่มันก็ยังดูมีชีวิตชีวา เผื่อวันข้างหน้าลุงจะขาย ก็จะได้ขายออกง่าย ๆ ถือซะว่ามาเป็นค่าจ้างเฝ้าบ้านให้ลุงละกันนะ” ลุงเพิ่มตัดบท เพื่อไม่ให้ผู้ใดคัดค้านอีกเมื่อเดินสำรวจบ้านพร้อมบอกรายละเอียดการปรับปรุงเพิ่มเติมแก่ช่างเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งรวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนงานในอนาคต“ผมว่าตอนนี้
วันนี้เป็นวันที่ต้องนำที่ตากเนื้อแห้งล็อตสุดท้ายไปส่งให้เจ๊จวง ทุกคนในครอบครัวรุจน์และเหล่าผู้ติดตามทั้งสาลี่ แซม แก้ว และธง รวมถึงลุงเพิ่ม ต่างนัดแนะกันว่าจะเข้าไปในตัวเมืองด้วยกันทั้งหมด เพื่อถือโอกาสไปดูความคืบหน้าของการซ่อมแซมบ้านหลังใหม่ที่ลุงเพิ่มจัดหาให้ และที่สำคัญคือไปหาลู่ทางทำมาหากินใหม่ ๆ ในเมืองด้วยที่ร้านของเจ๊จวง ขณะที่สายเมฆ รุจน์ ธง และแซม กำลังช่วยกันขนที่ตากเนื้อแห้งที่ผลิตอย่างประณีตเข้าร้านอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้นเอง ก็มีกลุ่มคนสามสี่คนเดินตรงเข้ามาในร้าน แต่ละคนหอบหิ้วที่ตากเนื้อแห้งที่โครงหลุดออกจากกันอยู่ในมือ“เจ๊! ของไม่มีคุณภาพแบบนี้ก็เอามาขายเหรอวะ!” ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นหัวโจกตะโกนเสียงดังลั่น สร้างความตกใจให้คนในร้าน พลางพูดจาหยาบคาย และโยนที่ตากเนื้อแห้งอันหนึ่งลงกระแทกพื้นหน้าร้านอย่างแรง จนโครงไม้พังทลาย ผู้คนที่กำลังเดินตลาดอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงก็พากันเข้ามามุงดูเหตุการณ์จนเต็มหน้าร้าน“เจ๊จะรับผิดชอบยังไง! คืนเงินพวกเรามาเลยนะ!” ชายหัวโจกเอ่ยขึ้นมาอีกคน ด้วยน้ำเสียงข่มขู่และท่าทางที่ต้องการสร้างความวุ่นวายอย่างเห็นได้ชัดขณะที่เจ๊จวงยืนอึ้ง พูด
“นี่ธง... เธอจะเอายังไงต่อเหรอ? หลังจากของล็อตสุดท้ายนี่เสร็จหมดแล้วน่ะ” แก้ว เอ่ยถาม ธง ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่พวกเขานั่งทำงานตัดตาข่ายอยู่ข้าง ๆ กัน คำถามของแก้วกลับทำให้ธงชะงักไปชั่วครู่ธง นิ่งคิดไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ไม่รู้สิแก้ว” คือเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำยังไงต่อดี ชีวิตเขามันยังไงก็ได้ จะทำที่ตากเนื้อแดดแห้งต่อในหมู่บ้านก็ดี หรือจะตามไปอยู่ในเมืองกับครอบครัวข้าวหอมก็น่าสนใจ เพราะการได้อยู่ใกล้ ๆ พวกเขาแล้วมันรู้สึกสบายใจ แถมยังได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา เพราะครอบครัวนี้ดูมีความรู้ มีความคิดที่จะทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่เคยหยุดนิ่งแก้วได้ฟังคำตอบแล้วก็หน้าเจื่อนลงไปทันที ในใจของเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ธงไปด้วยกัน เพราะถ้าธงไปอยู่เมืองเดียวกับเธอ เธอคงจะอุ่นใจมากขึ้นกว่านี้ ตั้งแต่ตอนเด็กไม่ว่าเธอจะโดนเพื่อนแกล้ง หรือเจอเรื่องอะไรไม่สบายใจ ธงก็คอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงเป็นคนที่คอยช่วยนั่นนี่เธออยู่เสมอธงเห็นแก้วเงียบไป ใบหน้าดูหม่นหมอง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “แก้วอยากให้เราไปอยู่ในเมืองด้วยไหม? ถ้าแก้วอยากให้เ
“ได้ของมาแล้วใช่ไหม? คิดว่าจะทำตามได้ไหม?” ลำดวน ถาม เข้ม ลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแฝงความไม่พอใจ หากคำตอบที่ได้ยินไม่เป็นไปตามที่เธออยากฟัง“ได้มาแล้วครับคุณลำดวน” เข้มตอบรับเสียงหงอย พลางก้มหน้าส่งที่ตากเนื้อแห้งที่ซื้อมาเป็นตัวอย่างให้ลำดวนดูอย่างระมัดระวัง “กำลังให้คนงานลองแกะดูอยู่ครับ ดูแล้วน่าจะทำตามได้ไม่ยากขอรับ”ลำดวนไม่ได้สนใจที่จะมองดูตัวอย่างสินค้านั้นเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างไร้อารมณ์ เธอเพียงแต่กำชับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ดี! ทำให้เร็วที่สุด และมากที่สุด! ฉันต้องการให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์” ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เข้มยืนงุนงงอยู่เพียงลำพังเข้มมองตามแผ่นหลังเจ้านายของเขาด้วยความงุนงง ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เดิมทีเขาเป็นคนดูแลกิจการให้กับนายใหญ่ผู้ล่วงลับ ซึ่งก็คือสามีของลำดวน แต่เมื่อนายใหญ่เสียชีวิต มรดกทุกอย่างก็ตกเป็นของลำดวนทั้งหมด เมื่อลำดวนกลับมาที่บ้านเกิดเขาก็ถูกลำดวนเรียกตัวมาใช้งานต่อทันทีครั้งนี้ลำดวนสั่งให้เขาไปสืบมาว่าที่บ้านของรุจน์กำลังจัดงานฉลองอะไร พอรู้ว่ารุจน์เริ่มทำสินค้าส่งให้เจ๊จวงที่ตลา
วันนี้เป็นวันที่ห้าของการทำงาน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ใต้ถุนบ้าน สินค้าที่ทุกคนช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็งก็ใกล้จะครบจำนวนที่ต้องส่งในล็อตแรกแล้ว ข้าวหอมมองเห็นความสำเร็จอยู่รำไร จึงเอ่ยเสนอขึ้นมากลางวง “นี่! หลังจากที่เราส่งสินค้าล็อตแรกให้เจ๊จวงแล้ว พวกเราควรมีการฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไหมคะ? ทำอะไรอร่อย ๆ กินกันตอนเย็น ให้ธงกับแก้วชวนป้าแจ่มกับลุงเพิ่มมาด้วยเลย!”ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วยในทันที ใบหน้าของแต่ละคนเปื้อนยิ้มด้วยความยินดี พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำอาหารมาร่วมฉลองด้วยอย่างแน่นอน บรรยากาศของการทำงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความสุขและความกระตือรือร้น เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายร่วมกัน และอดใจรอช่วงเวลาแห่งการฉลองไม่ไหวเมื่อทำสินค้าชิ้นสุดท้ายจนครบตามจำนวน สายเมฆได้ขอให้ทุกคนช่วยทำเพิ่มอีกขนาดละสามอัน “กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ” เขากล่าว “เผื่อมีเสียหายระหว่างขนส่ง หรือมีอันไหนไม่ได้มาตรฐาน จะได้ไม่ต้องกังวล” ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยทำต่ออย่างไม่ปริปากบ่นเมื่อสินค้าสำรองเสร็จเรียบร้อย รุจน์ก็เล่าแผนการในวันพรุ่งนี้ว่า “พรุ่งนี้พ่อจะไปหาเหมารถสองแถว เพื่อเอาของไปส่งให้เจ๊จ
หลังจากที่ป้าแจ่มและเจ้าธงกลับไปแล้ว รุจน์และสายเมฆก็เริ่มปรึกษาหารือกันเรื่องสถานที่ที่จะใช้เป็นโรงงานผลิตที่ตากเนื้อแห้งชั่วคราว ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่า ใต้ถุนบ้าน นี่แหละคือจุดที่เหมาะสมที่สุด ด้วยความที่เป็นใต้ถุนยกสูง ลมพัดโกรกสบาย ทำให้ทำงานได้โดยไม่รู้สึกร้อนอบอ้าว ศจีเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรทำห้องเก็บของไว้ใต้ถุนด้วย จะได้ไม่ต้องขนข้าวของขึ้นลงไปเก็บข้างบนให้ยุ่งยาก ข้าวหอมเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยปรับปรุงสถานที่และสร้างห้องเก็บของขนาดกะทัดรัดให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะถึงวันนัดหมายสำคัญ เมื่อวันนัดมาถึง กลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงบ้านข้าวหอมคือ เจ้าธง แซม และสาลี่ผู้เป็นแม่ของแซม ทั้งสามคนดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาหิ้วตะกร้าใส่ส้มและกล้วยมาด้วย เพื่อเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนที่ได้รับโอกาสในการทำงาน เจ้าธงผู้ร่าเริงและเข้ากับคนง่าย รับหน้าที่แนะนำแซมและสาลี่ให้ทุกคนในบ้านรู้จัก แซมดูขัดเขินเล็กน้อย พูดน้อย ไม่ต่างจากสาลี่ผู้เป็นแม่ที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยและเงียบเช่นกัน ศจีผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปชวนสาลี่คุย เพื่อสร้างความรู้