Home / วาย / คู่หมั้นคุณภพ mpreg / เจอกันครั้งที่8

Share

เจอกันครั้งที่8

Author: Meithimm
last update Huling Na-update: 2025-06-09 20:51:06

เสียงคลื่นซัดเบาๆ ยามรุ่งสาง

เงาทะเลขลุกขลิกอยู่ใต้พื้นไม้บ้านที่เริ่มทรุดโทรม

มะลิสะพายกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่ง

เดินกะเผลกลงจากบ้านไม้ที่เคยซ่อนตัวอยู่มานานหลายสัปดาห์

บนตัวเธอยังมีร่องรอยบอบช้ำจากเหตุการณ์ร้ายแรงก่อนหน้า แม้จะไม่สดใหม่แต่ก็ยังเจ็บ

ใจเธอก็เช่นกัน

“ขึ้นเรือเลย เดี๋ยวคลื่นมันแรง”

เสียงของชาวประมงวัยกลางคน

ใบหน้าเหี่ยวย่นแต่แววตายังมีความเมตตา

ชายคนนั้นเป็นคนที่ช่วยเธอไว้วันนั้น และตอนนี้ เขายอมให้เธอหนีจากฝั่ง…ไปยังเกาะหนึ่งที่ “ไม่มีใครตามหาเจอ”

เรือแล่นผ่านทะเลที่เงียบสงบแต่ไกลออกไปเรื่อยๆ

ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีรีสอร์ต ไม่มีสะพานไม้ใดๆเชื่อมถึง

แผ่นดินที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

คือเกาะเล็กๆ ที่ไม่ปรากฏบนแผนที่ท่องเที่ยว

มีเพียงเงาไม้สูงแซมๆ กับแนวชายหาดสีน้ำตาลซีด

“ตรงนั้นแหละ บ้านไม้ยกสูง ฉันไม่ค่อยได้ใช้มันแล้ว มีครัว มีโอ่งน้ำฝน ถ้าฝนไม่ตกก็ต้องเดินไปตักที่คลองข้างหลัง”

“กินอะไรก็หาหาเอาเองนะ ใต้ทะเลมีปลา ใต้ดินมีหัวเผือกหัวมัน ถ้าอยู่เฉยๆ ระวังจะอดตายซะก่อน”

เสียงชาวประมงพูดพลางจอดเรือ

แต่ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

เขาพูดแบบคนเคยลำบาก และกำลังบอกเตือนจากใจจริง

มะลิพยักหน้าเบาๆ

ใบหน้าเธอเรียบนิ่ง ไม่ถามอะไรอีก

บ้านไม้ที่ว่า เป็นบ้านชั้นเดียว ยกสูงจากพื้นพอให้ลอดเข้าไปได้

ไม้เริ่มเก่า ผุไปบางส่วน แต่หลังคายังอยู่ดี

ข้างในมีเพียงเสื่อเก่าๆ และหม้อดินหนึ่งใบ

เธอไม่มีใคร ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า

มีแค่ตัวเอง กับแผลในใจที่ยังไม่สมาน

วันต่อมา

มะลิเริ่มหัดจุดไฟ หัดหาปลา

เธอเคยเห็นภพทำเมื่อตอนอยู่ด้วยกัน…

แต่มือเธอสั่น และไฟก็ไม่เคยติดในครั้งแรก

หลายวันผ่านไป

เธอเริ่มทำอาหารง่ายๆ ได้

เริ่มคุ้นกับเสียงคลื่นที่ไม่ใช่ภัย

และเริ่มคุ้นกับการอยู่คนเดียว แม้มันจะ “แห้งแล้ง” จนแทบหายใจไม่ออกก็ตาม

บ่ายวันหนึ่ง เธอก้มหน้ามองเงาสะท้อนของตัวเองในโอ่งน้ำฝน

ผมยาวระต้นหลัง ซีดเซียว

หน้าโทรมจนแทบจำตัวเองไม่ได้

แต่เธอไม่ร้องไห้…

“อยู่แบบนี้ก็สบายใจดี…”

เธอกระซิบเบาๆ เหมือนบอกตัวเองให้เชื่อมัน

แม้ในใจลึกๆ จะยัง “คิดถึงเขา” แทบขาดใจทุกคืน

บนเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อ ไม่มีสัญญาณ ไม่มีคน ไม่มีความแน่นอนของวันพรุ่งนี้

บ้านไม้ยกสูงที่ชาวประมงใจดีมอบให้กลายเป็น “โลกทั้งใบ”

ไม่มีประตู ไม่มีห้อง ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำประปา — มีแค่เสียงลม เสียงคลื่น และเสียงความเงียบที่กัดกินหัวใจ

ทุกเช้า มะลิตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัว

นอนไม่หลับสนิทเลยตลอดสัปดาห์

บางคืนตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อเย็นๆ และเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน

บางคืนต้องจุดไฟไล่ยุง แล้วนั่งกอดเข่าตรงมุมบ้านรอให้ตะวันขึ้น

อาหารที่มีคือปลาเล็กๆ ที่ตกได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

บางวันก็แค่ขูดเนื้อมะพร้าวมากินพอประทังชีวิต

เงินที่ขโมยมาจากกระเป๋าภพ ถูกใช้ซื้อของแปลกๆ จากฝั่งก่อนจะข้ามมาที่นี่ —

อาหารแห้ง กาแฟซอง ของกระจุกกระจิก น้ำหอมขวดหนึ่ง เสื้อยืดลายแมว

ของพวกนั้น…ไม่มีชิ้นไหนจำเป็นเลย

เธอยังไม่ลืมหน้าของภพ

ทุกครั้งที่คิดถึง ใจจะวูบเหมือนร่วงลงน้ำลึก

ทำไมแค่เดือนเดียว เธอถึงเผลอผูกตัวเองกับผู้ชายคนนั้นได้มากขนาดนี้?

เธอไม่รู้

รู้แค่ว่า ถ้าเธอกลับไป…

มันอาจไม่มีครั้งที่สองอีกแล้วถ้าเธอถูกลากไปอีก

ผิวของมะลิซีดลงจนเห็นเส้นเลือดชัด

แก้มตอบ แขนขาเริ่มบาง

ผมยาวปรกหน้า แตกปลาย หยิกนิดๆ จากลมทะเล

กระจกบานเดียวที่มีในบ้านเธอไม่เคยส่องมัน

เธอไม่อยากรู้แล้วว่าตัวเองดูเป็นยังไง

เพราะภายใน…มันแย่ยิ่งกว่าภายนอก

ทุกเย็น มะลิจะออกไปนั่งหน้าบ้าน

ทรายร้อนระอุอาบฝ่าเท้า

แสงสีส้มตกกระทบบนร่างผอมบางที่นั่งก้มหน้า วาดเส้นไร้ทิศทางบนพื้นทราย

เธอเคยพยายามเขียนชื่อภพลงบนพื้น

แล้วลบมันทิ้งด้วยส้นเท้าทันที

ในโลกทั้งใบของเธอ เหลือแค่ทะเล

และเสียงคลื่นที่ซัดซ้ำ

เหมือนความคิดที่ซัดใส่หัวใจของเธอทุกวันว่า

“มะลิ…มึงมันไม่เคยหายดีเลยตั้งแต่แรก”

แต่เธอก็ยังอยู่

เธอยังไม่ตาย

เธอเรียนรู้การหุงข้าวบนเตาถ่าน

เธอล้างแผลตัวเอง

เธอเริ่มเข้าใจว่าชีวิตคนเราบางครั้งต้องเงียบขนาดนี้

เพื่อให้ได้ยินเสียงของตัวเอง

เธอยังไม่รักตัวเอง

เธอยังรู้สึกผิดกับภพทุกคืน

เธอยังคิดถึงอ้อมกอดนั้น

แต่เธอเลือกจะอยู่ตรงนี้ — เพราะแค่ตรงนี้

ไม่มีใครจับเธอไว้ ไม่มีใครว่าเธอ

ไม่มีใครลากเธอเข้าห้องไหนอีก

และไม่มีใคร…รักเธอจนเธอเจ็บอีก

มะลิไม่ค่อยชอบให้ใครเดินเข้ามาใกล้

โดยเฉพาะหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกชายชุดดำ

แต่ “เขา” ไม่ได้เดินเข้ามา

…เขา “โผล่มาเงียบๆ” เหมือนกับว่าอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว

เด็กหนุ่มผิวเข้มแดด มีรอยยิ้มเก้อๆ กับตาเรียวที่มักก้มหลบ

ผมยาวระดับต้นคอ ใส่เสื้อกล้ามขาดๆ กับกางเกงขาสั้นเปื้อนดิน

เขาแบกตะกร้าหอยมาวางไว้บนบันไดบ้านไม้ของมะลิ แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร

ตอนแรกมะลิคงไม่ทันใส่ใจ

แต่วันรุ่งขึ้น มีผลไม้ในใบตองวางรออยู่หน้าประตู

วันต่อมา กล่องไม้ใบหนึ่งใส่เกลือแห้งๆ กับถ่านหุงข้าว

จนกระทั่งวันที่ห้า เธอเปิดประตูออกไปเห็นเขากำลังนั่งเหลาไม้กิ่งหนึ่งอยู่หน้าบ้าน

“ถ้าเธอไม่อยากให้มานั่งตรงนี้ บอกก็ได้นะ”

เขาเงยหน้าขึ้นมา รอยยิ้มในแววตาบริสุทธิ์อย่างน่าประหลาด

มะลิไม่ได้ตอบอะไร

เธอแค่เดินกลับเข้าไปในบ้าน

…แต่นับจากวันนั้น “จันเจ้า” ก็กลายเป็นเงาเงียบๆ ที่อยู่แถวๆ บ้านไม้หลังนี้เสมอ

ไม่คาดคั้น ไม่ถามอะไร ไม่ล้ำเส้น

บางวันเขานั่งแกะไม้

บางวันก็เอาเบ็ดมานั่งตกปลาใกล้ๆ

บางวันก็เพียงแค่นั่งนิ่งๆ มองทะเลเหมือนเธอ

เขาไม่เคยถามว่า “เธอชื่ออะไร”

ไม่เคยถามว่า “มาจากไหน”

และไม่เคยแตะต้องตัวเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“ทำไมถึงชื่อจันเจ้า?”

มะลิถามในวันที่ใจเริ่มสงบลงนิดหน่อย

เขาหันมามองเธอ ยิ้มบางๆ

“แม่ชอบมองพระจันทร์ แล้วบอกว่ามันเหมือนข้าวเหนียวกลมๆ”

“เลยตั้งชื่อว่า ‘จันเจ้า’ ให้ดูนุ่มนวล จะได้ไม่สู้กับใคร”

“อืม” มะลิพยักหน้าเบาๆ

แล้วกลับไปนั่งวาดวงกลมในทรายต่อ

เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง

แต่ทุกคำของเขาก็เหมือนลมทะเล — แรงไม่ได้

แต่อยู่ข้างๆ ตลอด

เวลาผ่านไปทีละวัน จันเจ้ากลายเป็นภาพประจำของทุกเย็น

เขาจะนั่งอยู่ห่างจากเธอพอประมาณ พูดเรื่องปลาตัวเล็กๆ เรื่องคลื่นที่แรงขึ้น

หรือแค่เงียบไปด้วยกันโดยไม่มีความอึดอัด

…จนวันหนึ่ง เขายื่นของสิ่งหนึ่งให้มะลิ

มันคือ หอยสังข์เล็กๆ ที่เจาะรูแล้วร้อยด้วยเชือกปอสีซีด

มะลิมองมันนิ่งๆ ก่อนจะถามเบาๆ

“ของขวัญเหรอ?”

จันเจ้าส่ายหัว

“ของกันลืม”

“ลืมอะไร?”

เขายิ้ม ไม่ตอบ

แล้วเดินจากไปเงียบๆ เหมือนทุกวัน

หลังจากวันนั้นที่จันเจ้าร้อยหอยสังข์ให้

มะลิเริ่มเปิดใจ

เธอไม่ได้ยิ้มออกอย่างโจ่งแจ้ง

แต่ก็ไม่หลบหน้าเขาอีกแล้ว

บางครั้งเธอนั่งฟังเขาเล่าเรื่องปลาตัวเล็กๆ ที่ชอบมากินเหยื่อแต่ไม่ติดเบ็ด

บางครั้งเธอยอมล้างปลาด้วยกัน

บางครั้งเธอหลุดหัวเราะกับท่าทางเก้ๆ กังๆ เวลาที่เขาโดนปูกัด

จนวันหนึ่ง — เขาชวนเธอไปบ้านของเขา

“แม่อยากเจอ” เขาว่าเสียงเรียบ

“พ่อบอกว่า ถ้าเธอไม่กลัวพวกชาวเล ก็มากินข้าวด้วยกันบ้าง”

มะลิลังเล

แต่สุดท้าย เธอก็ไป

บ้านของจันเจ้า

บ้านไม้ยกสูงเรียบง่าย ตั้งอยู่ไม่ห่างจากหาดมากนัก

รอบบ้านเต็มไปด้วยอวนแห เปลือกหอย และกล่องปลา

เด็กชายวัยห้าขวบกำลังวิ่งเปลือยครึ่งตัวตะโกนไล่นก

มะลิยืนนิ่ง จนหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากใต้ถุนบ้าน

“หนูคือมะลิใช่มั้ยจ๊ะ?”

เสียงนั้นนุ่ม และอบอุ่นมากกว่าที่มะลิเคยได้ยินมานาน

“แม่” จันเจ้าเรียก

“นี่คือคนที่ช่วยลูกปลาหมึกวันนั้น”

แม่ของจันเจ้าเป็นหญิงร่างเล็ก ผิวสีเข้ม มือด้านแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เธอจับมือมะลิเบาๆ แล้วพาไปนั่งบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะพร้าว

“บ้านเราอยู่กันแค่นี้แหละจ้ะ มีพ่อของจันเจ้า คนงานประมงอีกสองคน แล้วก็น้องชายเขา — เด็กที่วิ่งอยู่เมื่อกี้ชื่อจันเปลว”

พ่อของจันเจ้าเป็นชายร่างใหญ่ หน้าตาเหมือนมีดโกนแต่แววตาอ่อนโยน

เขาเพียงพยักหน้าให้มะลิจากระยะไกล แล้วหันไปซ่อมแหต่อ

บ้านนี้ไม่มีทีวี ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่โต

มีแต่ เสียงคลื่น เสียงลม และ เสียงหัวเราะของคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมีความหมาย

“แม่กับพ่อเลี้ยงลูกแบบไม่ตีน่ะ” จันเจ้าเล่าในวันหนึ่งที่มะลิถาม

“เขาบอกว่าทะเลสอนให้ใจเย็นเองได้ ถ้าฟาดซ้ำไป เด็กมันจะไม่รู้จังหวะคลื่น”

มะลิฟังแล้วเงียบไปนาน

เธอไม่เคยได้ยินคำพูดแบบนี้จากบ้านของตัวเอง

มะลิเริ่มทำอาหารให้จันเจ้าบ้าง

เริ่มแบ่งปันน้ำปลา หรือมันที่ขุดมาได้

เริ่มถามถึงเรื่องทะเล เรื่องดาว เรื่องฤดูจับปลา

เธอไม่พูดถึงอดีต

และเขาก็ไม่ถามถึงมัน

จันเจ้าเพียงบอกว่า

“ถ้าวันไหนอยากพูด ก็ค่อยพูด”

“ไม่พูดก็ไม่เป็นไร”

มะลิเริ่มยิ้มบ่อยขึ้นนิดหน่อย

แม้ยังมีบาดแผลในใจและอาการสะดุ้งเวลามีเสียงดัง

แต่เธอไม่รู้สึก โดดเดี่ยวตลอดเวลา อีกแล้ว

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • คู่หมั้นคุณภพ mpreg   เจอกันครั้งที่10

    เสียงคลื่นซัดกระทบชายหาดเป็นจังหวะเบาๆ ยามเย็น มะลินั่งอยู่บนบันไดบ้านไม้ยกสูง ปล่อยให้เท้าสัมผัสทรายอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายซีดเซียวและผอมลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ น้ำหนักลด เสื้อผ้าหลวมจนไหล่แทบโผล่ แต่ในความเงียบสงบนั้น—มีบางอย่างผิดปกติ เสียงไม้แห้งกรอบถูกเหยียบย่ำ เสียงฝีเท้า… หนักแน่น และเร่งเร้า มะลิหันขวับ ชั่ววินาทีนั้น หัวใจร่วงวูบ ชายสี่คนในชุดดำปี๋เดินขึ้นฝั่งมาจากด้านหลังเกาะ คนหนึ่งควักอะไรบางอย่างจากเอวเหมือนเป็นมีด อีกคนถือเหล็กยาวดัดแปลงจากท่อน้ำ พวกมันเดินตรงเข้ามาที่บ้าน “มะลิใช่มั้ย” หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเรียบ ราวกับรู้ทุกอย่างแล้ว มะลิลุกขึ้นถอยหลัง น้ำตาเริ่มคลอโดยไม่รู้ตัว “จะเอาอะไรรึเปล่า…?” เสียงมะลิสั่นเครือ ทั้งกลัวทั้งสับสน “ของที่มึงขโมยมา… ส่งคืนมาเงียบๆ ไม่งั้นพวกกูต้องจัดการ” พวกมันไม่มีเจตนาคุย มะลิหันหลังจะหนี แต่ไม่ทัน ตึง! หลังถูกกระแทก ร่างเล็กปลิวล้มไปกับพื้นทราย พวกมันรุมกระทืบไม่ยั้ง เหมือนเก็บความโกรธไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว เสียงร้องของมะลิแหบแห้ง เจ็บจุกในทุกส่วน ชายคนหนึ่งกระชากผมเธอขึ้นมาพร้อมตะโกน “อย่าคิดว่าหนีแล้ว

  • คู่หมั้นคุณภพ mpreg   เจอกันครั้งที่9

    “คุณภพครับ… ผมคิดว่าเราเจอตัวแล้ว”เสียงปลายสายของนักสืบเอกชนที่เขาจ้างไว้ดังขึ้นตอนเช้ามืดภพรีบลุกจากโต๊ะทำงานที่เขานั่งค้างคืนอีกแล้วบนโต๊ะยังเต็มไปด้วยเอกสารกองพะเนินและถ้วยกาแฟหมดเกลี้ยงสามใบ“อยู่ไหน?”เขาถามเสียงแหบต่ำด้วยความหวังที่ไม่กล้าเปล่งเต็มเสียง“เป็นเกาะห่างจากชายฝั่งราว 40 นาทีโดยเรือประมงครับ ชาวบ้านบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาหลบอาศัยอยู่เงียบๆ บ้านไม้หลังเล็กๆ บนเนิน ริมอ่าวฝั่งใต้…”หัวใจของภพเต้นแรงขึ้นเขาไม่แม้แต่จะขอบคุณก่อนจะวางสาย เขาเพียงสั่งเสียงสั้น“จัดเรือให้ภายในคืนนี้”เขาคิดจะทิ้งทุกอย่างทันที แต่แล้ว…ข่าวร้ายก็มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัวในเช้าวันเดียวกัน เลขาส่วนตัววิ่งเข้ามาในห้องทำงานใบหน้าเธอซีดเผือด ริมฝีปากสั่น“คุณภพคะ… จีนตีกลับตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด”เธอวางเอกสารบนโต๊ะ“เขาระบุว่าเจอสารตกค้างในผลไม้… ระดับเกินกว่ามาตรฐานหลายเท่า”ภพนิ่งงันไม่พูด ไม่ถามเขาเปิดเอกสารพลิกไปมา — แล้วโยนทิ้งลงพื้น“ใครเป็นคนรับผิดชอบล็อตนี้”“ฝ่ายตรวจสารเคมีค่ะ แต่… พวกเขายืนยันว่าไม่มีทางผิดพลาด เราคุมคุณภาพระดับสูงมาโดยตลอด…”“แปลว่าเราโดนใส่ร้าย”เสียงภพเย็นชาจนแม

  • คู่หมั้นคุณภพ mpreg   เจอกันครั้งที่8

    เสียงคลื่นซัดเบาๆ ยามรุ่งสาง เงาทะเลขลุกขลิกอยู่ใต้พื้นไม้บ้านที่เริ่มทรุดโทรม มะลิสะพายกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่ง เดินกะเผลกลงจากบ้านไม้ที่เคยซ่อนตัวอยู่มานานหลายสัปดาห์ บนตัวเธอยังมีร่องรอยบอบช้ำจากเหตุการณ์ร้ายแรงก่อนหน้า แม้จะไม่สดใหม่แต่ก็ยังเจ็บ ใจเธอก็เช่นกัน “ขึ้นเรือเลย เดี๋ยวคลื่นมันแรง” เสียงของชาวประมงวัยกลางคน ใบหน้าเหี่ยวย่นแต่แววตายังมีความเมตตา ชายคนนั้นเป็นคนที่ช่วยเธอไว้วันนั้น และตอนนี้ เขายอมให้เธอหนีจากฝั่ง…ไปยังเกาะหนึ่งที่ “ไม่มีใครตามหาเจอ” เรือแล่นผ่านทะเลที่เงียบสงบแต่ไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีรีสอร์ต ไม่มีสะพานไม้ใดๆเชื่อมถึง แผ่นดินที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คือเกาะเล็กๆ ที่ไม่ปรากฏบนแผนที่ท่องเที่ยว มีเพียงเงาไม้สูงแซมๆ กับแนวชายหาดสีน้ำตาลซีด “ตรงนั้นแหละ บ้านไม้ยกสูง ฉันไม่ค่อยได้ใช้มันแล้ว มีครัว มีโอ่งน้ำฝน ถ้าฝนไม่ตกก็ต้องเดินไปตักที่คลองข้างหลัง” “กินอะไรก็หาหาเอาเองนะ ใต้ทะเลมีปลา ใต้ดินมีหัวเผือกหัวมัน ถ้าอยู่เฉยๆ ระวังจะอดตายซะก่อน” เสียงชาวประมงพูดพลางจอดเรือ แต่ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาพูดแบบคนเคยลำบาก และกำลังบอกเตื

  • คู่หมั้นคุณภพ mpreg   เจอกันครั้งที่7

    คำเตือน: ฉากนี้มีความรุนแรงที่อาจกระทบต่อบางท่าน หากคุณรู้สึกไม่สะดวกใจเกี่ยวกับเนื้อหาในส่วนนี้ โปรดทราบว่ามีความตั้งใจให้สะท้อนถึงความเจ็บปวดในตัวมะลิและความพยายามในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อมะลิมาถึงที่นี่—ริมทะเลที่ไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก—รู้สึกเหมือนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยจากโลกภายนอก…แต่ไม่ใช่จากตัวเอง มันเป็นบ้านเก่าหลังหนึ่งที่เจ้าของไม่เอาแล้ว หินปูนบ้าง ผนังบางทีก็แตก ตู้ไม้ที่ดูเหมือนจะเก่ากว่าสมาชิกในบ้าน แต่มะลิไม่เคยคิดเรื่องนั้นมากนัก มันมีแค่ทะเลกับฟ้า—และความเงียบ ที่ไม่มีใครถาม ไม่ต้องตอบ มะลินั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ ในห้องนั่งเล่น ดูคลื่นที่สาดมาทะเล หยดน้ำเล็กๆ กำลังไหลจากหน้าต่างเข้ามา พร้อมกับเสียงสายลมที่พัดเบาๆ เหมือนจะบอกว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไป—ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่บางครั้ง…ทำไมมันถึงหนักอยู่ในใจอย่างนี้? มะลิไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไรจากภพ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา—เดือนเดียวที่อยู่กับภพ—มะลิไม่เคยรู้สึกเหมือนตอนนี้ ทุกอย่างมันเหมือนคำว่า “ห่วง” ที่ภพพูดมาตลอด มันทำให้มะลิรู้สึกเหมือนอยู่ในกรงเหล็ก ที่ไม่สามารถหายใจได้เต็มปอ

  • คู่หมั้นคุณภพ mpreg   เจอกันครั้งที่6

    ภพ part เสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาจากตัวบ้านจนผมหยุดการพูดคุยกับลูกน้องทางโทรศัพท์แทบจะในทันที หัวใจมันกระตุกขึ้นอย่างแรง ทั้งเสียง ทั้งน้ำเสียงแบบนั้น…มันไม่ใช่การโวยวายธรรมดา “มะลิ…” ผมเรียกชื่อเขาในใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปในบ้านทันที สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือร่างของมะลิ—เสื้อเชิ้ตสีซีดถูกรั้งจนยับยู่ ผมกระเซิง ดวงตาแดงก่ำ และกำลังยืนสั่นเทาอยู่ตรงบันไดขั้นแรก ห่างจากแม่เลี้ยงของเขาเพียงไม่กี่ก้าว “ออกไป! มึงออกไปจากบ้านกู!!” มะลิตะโกนเสียงแหบ สองมือกำแน่นจนข้อขึ้นสีขาว เขาสั่นจนผมกลัวว่าจะเป็นลมไปตรงนั้น แม่เลี้ยงแค่นยิ้มมุมปากก่อนจะสะบัดหน้าหนี เดินก้าวฉับ ๆ ผ่านตัวผมออกไปโดยไม่พูดอะไร “มะลิ…” ผมเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เบา ๆ แต่เขาเหมือนไม่ได้ยินเลย ผมเดินเข้าไปใกล้ ช้า ๆ เหมือนเข้าใกล้ลูกสัตว์ที่บาดเจ็บหนัก และพร้อมจะตะปบใส่คนที่แตะต้องตัวมัน “มะลิ เป็นอะไร ใจเย็นก่อนครับ…” ผมยื่นมือออกไปแต่เขาถอยหลัง หน้าตาเขาตอนนี้เต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ผม…ไม่เข้าใจเลย เขาดูโกรธ ดูเจ็บ ดูปวดแบบที่ผมไม่รู้จะเข้าถึงมันได้ยังไง ในหัวผมตอนนั้นเต็มไปด้วยคำถาม แม่เลี้ยงคนนั้นพูดอะไร

  • คู่หมั้นคุณภพ mpreg   เจอกันครั้งที่5

    สองวันหลังจากเหตุการณ์กล่องประหลาด ภพก็ได้รับสายจากสารวัตร “เจอเบาะแสแล้ว นายชื่ออีธานมีประวัติแจ้งความจากผู้หญิงหลายรายทั้งในและต่างประเทศทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายและข่มขู่ มีสองคดีที่ยังไม่ปิด และเขาถูกขับออกจากเมืองเก่าเมื่อห้าเดือนก่อน… แต่ตอนนี้เพิ่งกลับเข้ามาเงียบ ๆ” พี่ภพขบกรามแน่น “เขาอยู่ที่ไหน” “ล่าสุดมีคนเห็นที่รีสอร์ตเงียบ ๆ ทางฝั่งตะวันออกอำเภอ ถ้านายจะไป อย่าไปคนเดียว” ภพวางสายด้วยหัวใจหนักอึ้ง เขาไม่พูดอะไรกับมะลิในตอนนี้ เขารู้ว่าเธอเพิ่งเริ่มยืนขึ้นได้บ้าง เขาไม่อยากให้เธอล้มอีก คืนนั้น มะลิกำลังพับผ้าริมเตียง พี่ภพเดินเข้ามาในห้องหลังเสร็จจากงานที่รีบตัดจบเพื่อกลับมาทันเย็น “มะลิ วันนี้โอเคไหมครับ” เสียงพี่นุ่มนวลกว่าทุกวัน เหมือนรู้ว่ากำแพงเธอเริ่มบางลง มะลิพยักหน้าเบา ๆ “อือ” น้ำเสียงยังเรียบนิ่ง แต่เรียก พี่ แบบไม่ต้องให้ทวนซ้ำเหมือนก่อน พี่ภพเดินมาใกล้ เอื้อมมือจับไหล่บางเบา ๆ “มะลิ… ถ้าวันไหนรู้สึกเหมือนมีคนตาม หรืออะไรแปลก ๆ บอกพี่นะครับ ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียว” มะลิมองพี่อย่างสับสนเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าช้า ๆ “พี่… พี่รู้อะไรใช่ไหม” พี่ลังเลนิดหน

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status