เสียงคลื่นซัดกระทบชายหาดเป็นจังหวะเบาๆ ยามเย็น มะลินั่งอยู่บนบันไดบ้านไม้ยกสูง ปล่อยให้เท้าสัมผัสทรายอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายซีดเซียวและผอมลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ น้ำหนักลด เสื้อผ้าหลวมจนไหล่แทบโผล่ แต่ในความเงียบสงบนั้น—มีบางอย่างผิดปกติ เสียงไม้แห้งกรอบถูกเหยียบย่ำ เสียงฝีเท้า… หนักแน่น และเร่งเร้า มะลิหันขวับ ชั่ววินาทีนั้น หัวใจร่วงวูบ ชายสี่คนในชุดดำปี๋เดินขึ้นฝั่งมาจากด้านหลังเกาะ คนหนึ่งควักอะไรบางอย่างจากเอวเหมือนเป็นมีด อีกคนถือเหล็กยาวดัดแปลงจากท่อน้ำ พวกมันเดินตรงเข้ามาที่บ้าน “มะลิใช่มั้ย” หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเรียบ ราวกับรู้ทุกอย่างแล้ว มะลิลุกขึ้นถอยหลัง น้ำตาเริ่มคลอโดยไม่รู้ตัว “จะเอาอะไรรึเปล่า…?” เสียงมะลิสั่นเครือ ทั้งกลัวทั้งสับสน “ของที่มึงขโมยมา… ส่งคืนมาเงียบๆ ไม่งั้นพวกกูต้องจัดการ” พวกมันไม่มีเจตนาคุย มะลิหันหลังจะหนี แต่ไม่ทัน ตึง! หลังถูกกระแทก ร่างเล็กปลิวล้มไปกับพื้นทราย พวกมันรุมกระทืบไม่ยั้ง เหมือนเก็บความโกรธไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว เสียงร้องของมะลิแหบแห้ง เจ็บจุกในทุกส่วน ชายคนหนึ่งกระชากผมเธอขึ้นมาพร้อมตะโกน “อย่าคิดว่าหนีแล้ว
“คุณภพครับ… ผมคิดว่าเราเจอตัวแล้ว”เสียงปลายสายของนักสืบเอกชนที่เขาจ้างไว้ดังขึ้นตอนเช้ามืดภพรีบลุกจากโต๊ะทำงานที่เขานั่งค้างคืนอีกแล้วบนโต๊ะยังเต็มไปด้วยเอกสารกองพะเนินและถ้วยกาแฟหมดเกลี้ยงสามใบ“อยู่ไหน?”เขาถามเสียงแหบต่ำด้วยความหวังที่ไม่กล้าเปล่งเต็มเสียง“เป็นเกาะห่างจากชายฝั่งราว 40 นาทีโดยเรือประมงครับ ชาวบ้านบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาหลบอาศัยอยู่เงียบๆ บ้านไม้หลังเล็กๆ บนเนิน ริมอ่าวฝั่งใต้…”หัวใจของภพเต้นแรงขึ้นเขาไม่แม้แต่จะขอบคุณก่อนจะวางสาย เขาเพียงสั่งเสียงสั้น“จัดเรือให้ภายในคืนนี้”เขาคิดจะทิ้งทุกอย่างทันที แต่แล้ว…ข่าวร้ายก็มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัวในเช้าวันเดียวกัน เลขาส่วนตัววิ่งเข้ามาในห้องทำงานใบหน้าเธอซีดเผือด ริมฝีปากสั่น“คุณภพคะ… จีนตีกลับตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด”เธอวางเอกสารบนโต๊ะ“เขาระบุว่าเจอสารตกค้างในผลไม้… ระดับเกินกว่ามาตรฐานหลายเท่า”ภพนิ่งงันไม่พูด ไม่ถามเขาเปิดเอกสารพลิกไปมา — แล้วโยนทิ้งลงพื้น“ใครเป็นคนรับผิดชอบล็อตนี้”“ฝ่ายตรวจสารเคมีค่ะ แต่… พวกเขายืนยันว่าไม่มีทางผิดพลาด เราคุมคุณภาพระดับสูงมาโดยตลอด…”“แปลว่าเราโดนใส่ร้าย”เสียงภพเย็นชาจนแม
เสียงคลื่นซัดเบาๆ ยามรุ่งสาง เงาทะเลขลุกขลิกอยู่ใต้พื้นไม้บ้านที่เริ่มทรุดโทรม มะลิสะพายกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่ง เดินกะเผลกลงจากบ้านไม้ที่เคยซ่อนตัวอยู่มานานหลายสัปดาห์ บนตัวเธอยังมีร่องรอยบอบช้ำจากเหตุการณ์ร้ายแรงก่อนหน้า แม้จะไม่สดใหม่แต่ก็ยังเจ็บ ใจเธอก็เช่นกัน “ขึ้นเรือเลย เดี๋ยวคลื่นมันแรง” เสียงของชาวประมงวัยกลางคน ใบหน้าเหี่ยวย่นแต่แววตายังมีความเมตตา ชายคนนั้นเป็นคนที่ช่วยเธอไว้วันนั้น และตอนนี้ เขายอมให้เธอหนีจากฝั่ง…ไปยังเกาะหนึ่งที่ “ไม่มีใครตามหาเจอ” เรือแล่นผ่านทะเลที่เงียบสงบแต่ไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีรีสอร์ต ไม่มีสะพานไม้ใดๆเชื่อมถึง แผ่นดินที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คือเกาะเล็กๆ ที่ไม่ปรากฏบนแผนที่ท่องเที่ยว มีเพียงเงาไม้สูงแซมๆ กับแนวชายหาดสีน้ำตาลซีด “ตรงนั้นแหละ บ้านไม้ยกสูง ฉันไม่ค่อยได้ใช้มันแล้ว มีครัว มีโอ่งน้ำฝน ถ้าฝนไม่ตกก็ต้องเดินไปตักที่คลองข้างหลัง” “กินอะไรก็หาหาเอาเองนะ ใต้ทะเลมีปลา ใต้ดินมีหัวเผือกหัวมัน ถ้าอยู่เฉยๆ ระวังจะอดตายซะก่อน” เสียงชาวประมงพูดพลางจอดเรือ แต่ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาพูดแบบคนเคยลำบาก และกำลังบอกเตื
คำเตือน: ฉากนี้มีความรุนแรงที่อาจกระทบต่อบางท่าน หากคุณรู้สึกไม่สะดวกใจเกี่ยวกับเนื้อหาในส่วนนี้ โปรดทราบว่ามีความตั้งใจให้สะท้อนถึงความเจ็บปวดในตัวมะลิและความพยายามในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อมะลิมาถึงที่นี่—ริมทะเลที่ไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก—รู้สึกเหมือนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยจากโลกภายนอก…แต่ไม่ใช่จากตัวเอง มันเป็นบ้านเก่าหลังหนึ่งที่เจ้าของไม่เอาแล้ว หินปูนบ้าง ผนังบางทีก็แตก ตู้ไม้ที่ดูเหมือนจะเก่ากว่าสมาชิกในบ้าน แต่มะลิไม่เคยคิดเรื่องนั้นมากนัก มันมีแค่ทะเลกับฟ้า—และความเงียบ ที่ไม่มีใครถาม ไม่ต้องตอบ มะลินั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ ในห้องนั่งเล่น ดูคลื่นที่สาดมาทะเล หยดน้ำเล็กๆ กำลังไหลจากหน้าต่างเข้ามา พร้อมกับเสียงสายลมที่พัดเบาๆ เหมือนจะบอกว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไป—ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่บางครั้ง…ทำไมมันถึงหนักอยู่ในใจอย่างนี้? มะลิไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไรจากภพ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา—เดือนเดียวที่อยู่กับภพ—มะลิไม่เคยรู้สึกเหมือนตอนนี้ ทุกอย่างมันเหมือนคำว่า “ห่วง” ที่ภพพูดมาตลอด มันทำให้มะลิรู้สึกเหมือนอยู่ในกรงเหล็ก ที่ไม่สามารถหายใจได้เต็มปอ
ภพ part เสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาจากตัวบ้านจนผมหยุดการพูดคุยกับลูกน้องทางโทรศัพท์แทบจะในทันที หัวใจมันกระตุกขึ้นอย่างแรง ทั้งเสียง ทั้งน้ำเสียงแบบนั้น…มันไม่ใช่การโวยวายธรรมดา “มะลิ…” ผมเรียกชื่อเขาในใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปในบ้านทันที สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือร่างของมะลิ—เสื้อเชิ้ตสีซีดถูกรั้งจนยับยู่ ผมกระเซิง ดวงตาแดงก่ำ และกำลังยืนสั่นเทาอยู่ตรงบันไดขั้นแรก ห่างจากแม่เลี้ยงของเขาเพียงไม่กี่ก้าว “ออกไป! มึงออกไปจากบ้านกู!!” มะลิตะโกนเสียงแหบ สองมือกำแน่นจนข้อขึ้นสีขาว เขาสั่นจนผมกลัวว่าจะเป็นลมไปตรงนั้น แม่เลี้ยงแค่นยิ้มมุมปากก่อนจะสะบัดหน้าหนี เดินก้าวฉับ ๆ ผ่านตัวผมออกไปโดยไม่พูดอะไร “มะลิ…” ผมเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เบา ๆ แต่เขาเหมือนไม่ได้ยินเลย ผมเดินเข้าไปใกล้ ช้า ๆ เหมือนเข้าใกล้ลูกสัตว์ที่บาดเจ็บหนัก และพร้อมจะตะปบใส่คนที่แตะต้องตัวมัน “มะลิ เป็นอะไร ใจเย็นก่อนครับ…” ผมยื่นมือออกไปแต่เขาถอยหลัง หน้าตาเขาตอนนี้เต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ผม…ไม่เข้าใจเลย เขาดูโกรธ ดูเจ็บ ดูปวดแบบที่ผมไม่รู้จะเข้าถึงมันได้ยังไง ในหัวผมตอนนั้นเต็มไปด้วยคำถาม แม่เลี้ยงคนนั้นพูดอะไร
สองวันหลังจากเหตุการณ์กล่องประหลาด ภพก็ได้รับสายจากสารวัตร “เจอเบาะแสแล้ว นายชื่ออีธานมีประวัติแจ้งความจากผู้หญิงหลายรายทั้งในและต่างประเทศทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายและข่มขู่ มีสองคดีที่ยังไม่ปิด และเขาถูกขับออกจากเมืองเก่าเมื่อห้าเดือนก่อน… แต่ตอนนี้เพิ่งกลับเข้ามาเงียบ ๆ” พี่ภพขบกรามแน่น “เขาอยู่ที่ไหน” “ล่าสุดมีคนเห็นที่รีสอร์ตเงียบ ๆ ทางฝั่งตะวันออกอำเภอ ถ้านายจะไป อย่าไปคนเดียว” ภพวางสายด้วยหัวใจหนักอึ้ง เขาไม่พูดอะไรกับมะลิในตอนนี้ เขารู้ว่าเธอเพิ่งเริ่มยืนขึ้นได้บ้าง เขาไม่อยากให้เธอล้มอีก คืนนั้น มะลิกำลังพับผ้าริมเตียง พี่ภพเดินเข้ามาในห้องหลังเสร็จจากงานที่รีบตัดจบเพื่อกลับมาทันเย็น “มะลิ วันนี้โอเคไหมครับ” เสียงพี่นุ่มนวลกว่าทุกวัน เหมือนรู้ว่ากำแพงเธอเริ่มบางลง มะลิพยักหน้าเบา ๆ “อือ” น้ำเสียงยังเรียบนิ่ง แต่เรียก พี่ แบบไม่ต้องให้ทวนซ้ำเหมือนก่อน พี่ภพเดินมาใกล้ เอื้อมมือจับไหล่บางเบา ๆ “มะลิ… ถ้าวันไหนรู้สึกเหมือนมีคนตาม หรืออะไรแปลก ๆ บอกพี่นะครับ ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียว” มะลิมองพี่อย่างสับสนเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าช้า ๆ “พี่… พี่รู้อะไรใช่ไหม” พี่ลังเลนิดหน