คำเตือน: ฉากนี้มีความรุนแรงที่อาจกระทบต่อบางท่าน
หากคุณรู้สึกไม่สะดวกใจเกี่ยวกับเนื้อหาในส่วนนี้ โปรดทราบว่ามีความตั้งใจให้สะท้อนถึงความเจ็บปวดในตัวมะลิและความพยายามในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อมะลิมาถึงที่นี่—ริมทะเลที่ไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก—รู้สึกเหมือนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยจากโลกภายนอก…แต่ไม่ใช่จากตัวเอง มันเป็นบ้านเก่าหลังหนึ่งที่เจ้าของไม่เอาแล้ว หินปูนบ้าง ผนังบางทีก็แตก ตู้ไม้ที่ดูเหมือนจะเก่ากว่าสมาชิกในบ้าน แต่มะลิไม่เคยคิดเรื่องนั้นมากนัก มันมีแค่ทะเลกับฟ้า—และความเงียบ ที่ไม่มีใครถาม ไม่ต้องตอบ มะลินั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ ในห้องนั่งเล่น ดูคลื่นที่สาดมาทะเล หยดน้ำเล็กๆ กำลังไหลจากหน้าต่างเข้ามา พร้อมกับเสียงสายลมที่พัดเบาๆ เหมือนจะบอกว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไป—ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่บางครั้ง…ทำไมมันถึงหนักอยู่ในใจอย่างนี้? มะลิไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไรจากภพ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา—เดือนเดียวที่อยู่กับภพ—มะลิไม่เคยรู้สึกเหมือนตอนนี้ ทุกอย่างมันเหมือนคำว่า “ห่วง” ที่ภพพูดมาตลอด มันทำให้มะลิรู้สึกเหมือนอยู่ในกรงเหล็ก ที่ไม่สามารถหายใจได้เต็มปอด แม้ว่าภพจะทำเพื่อดีที่สุดแล้วก็ตาม มะลิเคยแอบมองการเดินทางที่ต้องทำทั้งชีวิต—และรู้ว่ามันจะไม่มีวันจบ แต่การได้ออกมาที่นี่ มันเหมือนกับการได้ออกจากคุกที่มะลิสร้างขึ้นเอง โดยที่ไม่ได้ขอให้ใครช่วย ตอนนี้มะลิอยู่กับตัวเอง แม้จะยังไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร แต่อย่างน้อย…ที่นี่มันเงียบพอที่มะลิจะฟังเสียงตัวเองได้ ภายในบ้าน มะลิเปิดกระเป๋าเดินทางที่พกมา—มันไม่มีอะไรมาก นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุดที่เอาไปจากบ้านของภพ และหนึ่งในนั้นคือ—บัตรเครดิตที่มะลิแอบเอาไป มันคือเงินที่มะลิไม่ได้ถามหรือบอกอะไรกับภพ มันแค่ตกอยู่ในมืออย่างไม่รู้ตัว ตอนนั้นรู้แค่ว่ามะลิต้องหนี ต้องเอาตัวรอดก่อน ทุกอย่างมันรุนแรงเกินไป เหมือนตัวเองกำลังจะขาดหายไปจากโลกนี้—ถ้าทำอะไรไม่ทัน มะลิรู้สึกถึงความผิด—แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ ทำไมมันถึงยากขนาดนี้ ทำไมต้องหนีมาแบบนี้ ทำไมต้องเอาเงินของภพไปโดยไม่บอกเขา ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนตอนนี้ทุกอย่างมันผิดพลาดเกินไปแล้ว แต่ที่นี่…มันเงียบเกินไป ไม่มีใครถาม ไม่มีใครให้คำแนะนำ แค่ความเงียบที่หล่อหลอมความคิดภายใน และบางครั้งมะลิก็แอบรู้สึกว่าความคิดมันช่าง “หนัก” อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน มะลิยังคงมีอาการ PTSD*ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา บางครั้งเสียงดังๆ หรือการแตะต้อง—แม้แต่คำพูดน้อยๆ ก็ทำให้มะลิสะดุ้ง และเมื่อคืนที่ผ่านมา—เสียงฝนตกแรงๆ ก็ทำให้มะลิตื่นขึ้นมาและหนีไปหลบมุมในห้องนอน ทั้งที่รู้ว่าฝนมันไม่อันตรายเลย แต่มันยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้มะลิเคยกลัว จนรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของมะลิมันคือการเผชิญหน้ากับความกลัวที่ไม่มีวันจบ แต่ที่นี่…มันเงียบ มันเหมือนกับการให้มะลิได้อยู่กับตัวเอง แค่…ตัวเองเท่านั้น มะลิหยิบกระดาษโน้ตที่ขีดเขียนเมื่อวันก่อนขึ้นมา มันมีแค่คำว่า “ไม่อยากกลับไป” และมะลิคิดถึงภพอีกครั้ง… แค่คิดถึงก็รู้สึกเหมือนจะตัดใจไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากกลับไป แล้วคำว่า “ขอโทษ” มันยังค้างในใจอยู่ จนทำให้มะลิอยากลืมมันไป วันนี้เป็นอีกวันที่มะลินั่งอยู่ที่ชายหาดหน้าบ้านหลังเก่า มองดูคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่ง ความเงียบในที่นี้มันทำให้มะลิเหมือนมีเวลามากมาย แต่ทุกสิ่งมันกลับไม่เคยสมบูรณ์อย่างที่ใจต้องการ แม้จะพยายามเริ่มต้นใหม่ แต่เงินที่มีค่อยๆ หมดไปจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ช็อปปิ้งซื้อของที่ไม่จำเป็น ทั้งที่ในหัวก็รู้ว่าไม่ควร แต่เหมือนมีบางสิ่งที่ทำให้มะลิหลงลืมทุกอย่างไปชั่วขณะ จนตอนนี้ร่างกายมันซีดและผอมลง ผมยาวสยายเกือบถึงกลางหลัง ดูเหมือนจะหมดแรงจะสู้กับอะไรมากไปกว่านี้ นั่งเล่นทรายจนรู้สึกเหนื่อยใจ คิดถึงอดีตที่เคยมีชีวิตที่ดี—ตอนที่ยังอยู่กับภพ แม้จะเครียดบ้าง แต่ทุกอย่างก็ยังมีความหวัง แต่มะลิยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจากชีวิตนี้ มีแต่คำถามในใจที่ไม่มีคำตอบ อยู่ๆ เสียงฝีเท้าหลายคู่ก็เริ่มเข้ามาใกล้ มะลิเห็นชายชุดดำหลายคนเดินเข้ามาในมุมมองของสายตา ท่าทางน่ากลัวและไม่เป็นมิตร พวกเขากำลังเดินตรงมาหามะลิ มะลิไม่ได้ขยับตัวหรือร้องขอความช่วยเหลือใดๆ แค่หันไปมองด้วยความสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แต่ความสงสัยนั้นถูกลบหายไปในทันทีที่พวกเขามาหยุดตรงหน้ามะลิ และลากตัวมะลิไปอย่างรุนแรง “ ปล่อย!” มะลิพยายามตะโกน แต่ชายเสื้อดำสองคนจับตัวมะลิไว้แน่น มือที่บีบคอและดึงไปข้างหลังทำให้มะลิเกือบจะล้มลง เขาลากมะลิไปจนถึงตัวบ้านเก่าของมะลิ—ที่ตอนนี้มันดูเหมือนจะเป็นที่ที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ และไม่มีที่ให้หลบหนี ชายเสื้อดำเริ่มเตะและกระทืบมะลิที่พื้น มะลิรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการโดนตบตีจนหมดแรง มือที่จับผมและกระชากมันทำให้มะลิรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง “มึงจะทำอะไร!” มะลิตะโกนเสียงแหบแห้งจากความเจ็บปวดและความหวาดกลัว แต่เสียงฝีเท้าของชายเสื้อดำยังคงทำให้มะลิรู้สึกถึงภัยอันตรายที่อยู่รอบตัว โชคดีที่เสียงการตะโกนและการกระทืบได้รับความสนใจจากชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากนั้น พวกเขามองเห็นเหตุการณ์จากระยะไกล ก่อนจะเริ่มเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับการตะโกนไล่พวกชายเสื้อดำ “ไปซะ! อย่ามายุ่งกับเด็กคนนี้!” ชาวบ้านตะโกนออกมาด้วยเสียงแข็งกร้าว เสียงนั้นเหมือนจะเป็นเสียงของความหวัง มะลิรู้สึกว่าความเจ็บปวดลดลงบ้างเมื่อชายเสื้อดำเริ่มชะงักและไม่กล้าทำร้ายต่อ ชายเสื้อดำบางคนเริ่มหันหลังและเดินหนีไป แต่ก็ยังคงมองมาที่มะลิด้วยความเคียดแค้น ก่อนที่พวกเขาจะออกไป ชาวบ้านคนหนึ่งก็วิ่งมาที่มะลิและช่วยยกร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลขึ้น “มะลิ! เป็นอะไรไหม?” ชาวบ้านถามอย่างห่วงใย แต่เสียงนั้นดูเหมือนจะหายไปจากในใจของมะลิแล้ว มะลิเพียงแค่พยักหน้าด้วยความรู้สึกผิดที่ทำตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ การช่วยเหลือจากชาวบ้านทำให้มะลิไม่ต้องเจ็บปวดมากกว่านี้ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่มีใครสามารถช่วยแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ทั้งหมด มะลินั่งลงที่พื้นข้างๆ บ้าน มองเห็นแผลที่ตามร่างกาย ยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันจบไม่ลง แต่มะลิก็ไม่รู้จะทำอะไรไปมากกว่านี้แล้ว การถูกกระทืบไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมะลิ แต่ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น มันทำให้มะลิรู้สึกเหมือนทุกสิ่งในชีวิตกำลังล้มลง และมันเริ่มกลายเป็นเรื่องที่ต้องทนรับ—แม้ว่าจะไม่เคยอยากให้มันเป็นแบบนี้ เสียงลมหายใจของภพยังคงสม่ำเสมอ แต่ดวงตาใต้กรอบแว่นกลับไม่เคยหยุดสอดส่อง เขานั่งอยู่ที่เบาะคนขับภายในรถยนต์คันเดิม มือที่กุมพวงมาลัยแน่นจนเส้นเอ็นปูดขึ้น แม้ว่าเครื่องยนต์จะดับไปแล้วนานหลายชั่วโมง แต่เขาก็ยังคงไม่ลุกไปไหน เสื้อเชิ้ตเรียบร้อยยับยู่ยี่จากการนั่งนาน และใบหน้าที่เคยเฉยชา ตอนนี้ปรากฏเงาแห่งความเหนื่อยล้าเจือปนหงุดหงิด ไม่มีใครรู้ว่าภพตามหามะลิเองมากี่วันแล้ว แต่แน่นอนว่า…มันไม่ใช่แค่ 2–3 วัน เขาเริ่มจากสถานที่ใกล้ๆ ตามเบาะแสทุกชิ้นที่คิดว่ามะลิอาจไป ถามเพื่อน ถามคนในละแวกบ้าน ถามแม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อแถวบ้าน “ไม่เห็นเลยครับ” “ไม่ได้เจอนานแล้วค่ะ” “เขาหายไปเหรอ?” คำตอบแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนตอกย้ำให้เขารู้ว่าตัวเอง…กำลังไล่ตามเงาที่ไม่มีอยู่จริง ในห้องทำงาน โต๊ะทำงานของภพเต็มไปด้วยแผนที่ สมุดบันทึก รายชื่อสถานที่ และบันทึกโทรศัพท์ที่เขาโทรออกเกือบทุกชั่วโมง คอมพิวเตอร์เปิดค้างหน้าโซเชียลที่มะลิเคยเล่น แต่ก็ไร้ความเคลื่อนไหวเหมือนเป็นบัญชีร้างไปแล้ว ข้างตัวมีรูปถ่ายมะลิที่ถ่ายไว้ตอนเผลอยิ้มในห้องครัว ตอนนั้นแสงแดดส่องลงมากระทบผิวหน้าของเธอพอดี เป็นรอยยิ้มที่ภพไม่เคยลืม แต่ตอนนี้มันเหลือแค่ความว่างเปล่า เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่บันทึกไว้ว่า “นักสืบ” เสียงรอสายทำให้หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงขึ้น เหมือนจะหวังมากไปกว่าที่ควรจะเป็น “ครับคุณภพ?” “ผมตกลง…จะให้คุณช่วยเต็มที่ ผมจะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ขอแค่…หาตัวเขาให้เจอ” เสียงของภพเรียบแต่หนักแน่น เหมือนเป็นคำสั่งกับโลกทั้งใบ ว่าต้องพามะลิกลับมาให้เขา กล้องวงจรปิด บัญชีธนาคาร สัญญาเช่าบ้าน การเดินทางที่ไม่ถูกบันทึกในชื่อของมะลิแต่มีรูปพรรณคล้ายกัน และการซื้อของบางอย่างที่น่าจะตรงกับนิสัยของเธอ นักสืบเริ่มต่อจิ๊กซอว์ที่หายไปจากข้อมูล ก่อนจะเริ่มสงสัยว่า—มะลิอาจไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่ “นี่คือบ้านที่ไม่มีเจ้าของแล้ว แต่มีคนเช่าด้วยเงินสดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนครับ” นักสืบส่งภาพบ้านไม้โทรมๆ ริมทะเลมาให้ภพ “และมีชาวบ้านเล่าว่า เด็กหนุ่มผอมๆ ผมยาว ดูเหมือนเจ็บป่วยอาศัยอยู่คนเดียว” มือของภพสั่นเล็กน้อย เขาหรี่ตาดูภาพนั้นช้าๆ ก่อนจะบันทึกพิกัดทันที “ขอบคุณ…ผมจะไปเอง” ภพยืนมองภาพบ้านริมทะเลในมือถือเนิ่นนาน ริมฝีปากขบแน่น ดวงตาคมดูแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาไม่รู้ว่าที่นั่นจะใช่หรือไม่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า “ใกล้จะเจอ” และเขาไม่คิดจะยอมแพ้อีกแล้วเสียงคลื่นซัดกระทบชายหาดเป็นจังหวะเบาๆ ยามเย็น มะลินั่งอยู่บนบันไดบ้านไม้ยกสูง ปล่อยให้เท้าสัมผัสทรายอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายซีดเซียวและผอมลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ น้ำหนักลด เสื้อผ้าหลวมจนไหล่แทบโผล่ แต่ในความเงียบสงบนั้น—มีบางอย่างผิดปกติ เสียงไม้แห้งกรอบถูกเหยียบย่ำ เสียงฝีเท้า… หนักแน่น และเร่งเร้า มะลิหันขวับ ชั่ววินาทีนั้น หัวใจร่วงวูบ ชายสี่คนในชุดดำปี๋เดินขึ้นฝั่งมาจากด้านหลังเกาะ คนหนึ่งควักอะไรบางอย่างจากเอวเหมือนเป็นมีด อีกคนถือเหล็กยาวดัดแปลงจากท่อน้ำ พวกมันเดินตรงเข้ามาที่บ้าน “มะลิใช่มั้ย” หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเรียบ ราวกับรู้ทุกอย่างแล้ว มะลิลุกขึ้นถอยหลัง น้ำตาเริ่มคลอโดยไม่รู้ตัว “จะเอาอะไรรึเปล่า…?” เสียงมะลิสั่นเครือ ทั้งกลัวทั้งสับสน “ของที่มึงขโมยมา… ส่งคืนมาเงียบๆ ไม่งั้นพวกกูต้องจัดการ” พวกมันไม่มีเจตนาคุย มะลิหันหลังจะหนี แต่ไม่ทัน ตึง! หลังถูกกระแทก ร่างเล็กปลิวล้มไปกับพื้นทราย พวกมันรุมกระทืบไม่ยั้ง เหมือนเก็บความโกรธไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว เสียงร้องของมะลิแหบแห้ง เจ็บจุกในทุกส่วน ชายคนหนึ่งกระชากผมเธอขึ้นมาพร้อมตะโกน “อย่าคิดว่าหนีแล้ว
“คุณภพครับ… ผมคิดว่าเราเจอตัวแล้ว”เสียงปลายสายของนักสืบเอกชนที่เขาจ้างไว้ดังขึ้นตอนเช้ามืดภพรีบลุกจากโต๊ะทำงานที่เขานั่งค้างคืนอีกแล้วบนโต๊ะยังเต็มไปด้วยเอกสารกองพะเนินและถ้วยกาแฟหมดเกลี้ยงสามใบ“อยู่ไหน?”เขาถามเสียงแหบต่ำด้วยความหวังที่ไม่กล้าเปล่งเต็มเสียง“เป็นเกาะห่างจากชายฝั่งราว 40 นาทีโดยเรือประมงครับ ชาวบ้านบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาหลบอาศัยอยู่เงียบๆ บ้านไม้หลังเล็กๆ บนเนิน ริมอ่าวฝั่งใต้…”หัวใจของภพเต้นแรงขึ้นเขาไม่แม้แต่จะขอบคุณก่อนจะวางสาย เขาเพียงสั่งเสียงสั้น“จัดเรือให้ภายในคืนนี้”เขาคิดจะทิ้งทุกอย่างทันที แต่แล้ว…ข่าวร้ายก็มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัวในเช้าวันเดียวกัน เลขาส่วนตัววิ่งเข้ามาในห้องทำงานใบหน้าเธอซีดเผือด ริมฝีปากสั่น“คุณภพคะ… จีนตีกลับตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด”เธอวางเอกสารบนโต๊ะ“เขาระบุว่าเจอสารตกค้างในผลไม้… ระดับเกินกว่ามาตรฐานหลายเท่า”ภพนิ่งงันไม่พูด ไม่ถามเขาเปิดเอกสารพลิกไปมา — แล้วโยนทิ้งลงพื้น“ใครเป็นคนรับผิดชอบล็อตนี้”“ฝ่ายตรวจสารเคมีค่ะ แต่… พวกเขายืนยันว่าไม่มีทางผิดพลาด เราคุมคุณภาพระดับสูงมาโดยตลอด…”“แปลว่าเราโดนใส่ร้าย”เสียงภพเย็นชาจนแม
เสียงคลื่นซัดเบาๆ ยามรุ่งสาง เงาทะเลขลุกขลิกอยู่ใต้พื้นไม้บ้านที่เริ่มทรุดโทรม มะลิสะพายกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่ง เดินกะเผลกลงจากบ้านไม้ที่เคยซ่อนตัวอยู่มานานหลายสัปดาห์ บนตัวเธอยังมีร่องรอยบอบช้ำจากเหตุการณ์ร้ายแรงก่อนหน้า แม้จะไม่สดใหม่แต่ก็ยังเจ็บ ใจเธอก็เช่นกัน “ขึ้นเรือเลย เดี๋ยวคลื่นมันแรง” เสียงของชาวประมงวัยกลางคน ใบหน้าเหี่ยวย่นแต่แววตายังมีความเมตตา ชายคนนั้นเป็นคนที่ช่วยเธอไว้วันนั้น และตอนนี้ เขายอมให้เธอหนีจากฝั่ง…ไปยังเกาะหนึ่งที่ “ไม่มีใครตามหาเจอ” เรือแล่นผ่านทะเลที่เงียบสงบแต่ไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีรีสอร์ต ไม่มีสะพานไม้ใดๆเชื่อมถึง แผ่นดินที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คือเกาะเล็กๆ ที่ไม่ปรากฏบนแผนที่ท่องเที่ยว มีเพียงเงาไม้สูงแซมๆ กับแนวชายหาดสีน้ำตาลซีด “ตรงนั้นแหละ บ้านไม้ยกสูง ฉันไม่ค่อยได้ใช้มันแล้ว มีครัว มีโอ่งน้ำฝน ถ้าฝนไม่ตกก็ต้องเดินไปตักที่คลองข้างหลัง” “กินอะไรก็หาหาเอาเองนะ ใต้ทะเลมีปลา ใต้ดินมีหัวเผือกหัวมัน ถ้าอยู่เฉยๆ ระวังจะอดตายซะก่อน” เสียงชาวประมงพูดพลางจอดเรือ แต่ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาพูดแบบคนเคยลำบาก และกำลังบอกเตื
คำเตือน: ฉากนี้มีความรุนแรงที่อาจกระทบต่อบางท่าน หากคุณรู้สึกไม่สะดวกใจเกี่ยวกับเนื้อหาในส่วนนี้ โปรดทราบว่ามีความตั้งใจให้สะท้อนถึงความเจ็บปวดในตัวมะลิและความพยายามในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อมะลิมาถึงที่นี่—ริมทะเลที่ไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก—รู้สึกเหมือนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยจากโลกภายนอก…แต่ไม่ใช่จากตัวเอง มันเป็นบ้านเก่าหลังหนึ่งที่เจ้าของไม่เอาแล้ว หินปูนบ้าง ผนังบางทีก็แตก ตู้ไม้ที่ดูเหมือนจะเก่ากว่าสมาชิกในบ้าน แต่มะลิไม่เคยคิดเรื่องนั้นมากนัก มันมีแค่ทะเลกับฟ้า—และความเงียบ ที่ไม่มีใครถาม ไม่ต้องตอบ มะลินั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ ในห้องนั่งเล่น ดูคลื่นที่สาดมาทะเล หยดน้ำเล็กๆ กำลังไหลจากหน้าต่างเข้ามา พร้อมกับเสียงสายลมที่พัดเบาๆ เหมือนจะบอกว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไป—ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่บางครั้ง…ทำไมมันถึงหนักอยู่ในใจอย่างนี้? มะลิไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไรจากภพ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา—เดือนเดียวที่อยู่กับภพ—มะลิไม่เคยรู้สึกเหมือนตอนนี้ ทุกอย่างมันเหมือนคำว่า “ห่วง” ที่ภพพูดมาตลอด มันทำให้มะลิรู้สึกเหมือนอยู่ในกรงเหล็ก ที่ไม่สามารถหายใจได้เต็มปอ
ภพ part เสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาจากตัวบ้านจนผมหยุดการพูดคุยกับลูกน้องทางโทรศัพท์แทบจะในทันที หัวใจมันกระตุกขึ้นอย่างแรง ทั้งเสียง ทั้งน้ำเสียงแบบนั้น…มันไม่ใช่การโวยวายธรรมดา “มะลิ…” ผมเรียกชื่อเขาในใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปในบ้านทันที สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือร่างของมะลิ—เสื้อเชิ้ตสีซีดถูกรั้งจนยับยู่ ผมกระเซิง ดวงตาแดงก่ำ และกำลังยืนสั่นเทาอยู่ตรงบันไดขั้นแรก ห่างจากแม่เลี้ยงของเขาเพียงไม่กี่ก้าว “ออกไป! มึงออกไปจากบ้านกู!!” มะลิตะโกนเสียงแหบ สองมือกำแน่นจนข้อขึ้นสีขาว เขาสั่นจนผมกลัวว่าจะเป็นลมไปตรงนั้น แม่เลี้ยงแค่นยิ้มมุมปากก่อนจะสะบัดหน้าหนี เดินก้าวฉับ ๆ ผ่านตัวผมออกไปโดยไม่พูดอะไร “มะลิ…” ผมเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เบา ๆ แต่เขาเหมือนไม่ได้ยินเลย ผมเดินเข้าไปใกล้ ช้า ๆ เหมือนเข้าใกล้ลูกสัตว์ที่บาดเจ็บหนัก และพร้อมจะตะปบใส่คนที่แตะต้องตัวมัน “มะลิ เป็นอะไร ใจเย็นก่อนครับ…” ผมยื่นมือออกไปแต่เขาถอยหลัง หน้าตาเขาตอนนี้เต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ผม…ไม่เข้าใจเลย เขาดูโกรธ ดูเจ็บ ดูปวดแบบที่ผมไม่รู้จะเข้าถึงมันได้ยังไง ในหัวผมตอนนั้นเต็มไปด้วยคำถาม แม่เลี้ยงคนนั้นพูดอะไร
สองวันหลังจากเหตุการณ์กล่องประหลาด ภพก็ได้รับสายจากสารวัตร “เจอเบาะแสแล้ว นายชื่ออีธานมีประวัติแจ้งความจากผู้หญิงหลายรายทั้งในและต่างประเทศทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายและข่มขู่ มีสองคดีที่ยังไม่ปิด และเขาถูกขับออกจากเมืองเก่าเมื่อห้าเดือนก่อน… แต่ตอนนี้เพิ่งกลับเข้ามาเงียบ ๆ” พี่ภพขบกรามแน่น “เขาอยู่ที่ไหน” “ล่าสุดมีคนเห็นที่รีสอร์ตเงียบ ๆ ทางฝั่งตะวันออกอำเภอ ถ้านายจะไป อย่าไปคนเดียว” ภพวางสายด้วยหัวใจหนักอึ้ง เขาไม่พูดอะไรกับมะลิในตอนนี้ เขารู้ว่าเธอเพิ่งเริ่มยืนขึ้นได้บ้าง เขาไม่อยากให้เธอล้มอีก คืนนั้น มะลิกำลังพับผ้าริมเตียง พี่ภพเดินเข้ามาในห้องหลังเสร็จจากงานที่รีบตัดจบเพื่อกลับมาทันเย็น “มะลิ วันนี้โอเคไหมครับ” เสียงพี่นุ่มนวลกว่าทุกวัน เหมือนรู้ว่ากำแพงเธอเริ่มบางลง มะลิพยักหน้าเบา ๆ “อือ” น้ำเสียงยังเรียบนิ่ง แต่เรียก พี่ แบบไม่ต้องให้ทวนซ้ำเหมือนก่อน พี่ภพเดินมาใกล้ เอื้อมมือจับไหล่บางเบา ๆ “มะลิ… ถ้าวันไหนรู้สึกเหมือนมีคนตาม หรืออะไรแปลก ๆ บอกพี่นะครับ ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียว” มะลิมองพี่อย่างสับสนเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าช้า ๆ “พี่… พี่รู้อะไรใช่ไหม” พี่ลังเลนิดหน