ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน
สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น
*ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ
ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้
ท้องฟ้าสีครามสดใส แสงแดดทอดลงมาต้องกระเบื้องหลังคาร้านค้าจนเป็นประกายระยิบระยับ เสียงเจรจาซื้อขายดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ ตลาดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของการค้าขายในดินแดนไร้ขอบ ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา ทั้งพ่อค้า แม่ค้า นักเดินทาง และเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แวะเวียนมาหาซื้อสมุนไพรหรืออาวุธหลี่หลิงเฟิ่งเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของอาหารและเสียงเจรจาต่อรอง นางสวมชุดเรียบง่ายและมีผ้าคลุมบางปกปิดใบหน้าเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ข้างกายนางคือโม่จื่อหลิงที่ยังคงแต่งกายด้วยชุดดำสนิท และโม่เจี้ยนหมิง น้องชายของเขา ที่แม้จะมีสีหน้าผ่อนคลาย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเฉียบคม"ข้าคิดถึงบรรยากาศแบบนี้เสียจริง" โม่เจี้ยนหมิงเอ่ยขึ้นขณะทอดสายตามองรอบด้าน "หลังจากถูกกักอยู่แต่ในตระกูลถัง ข้าก็แทบไม่ได้สัมผัสชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้อีกเลย""เจ้าถูกกัก หรือเจ้าขี้เกียจออกมาเองกันแน่" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงเรียบ แต่เต็มไปด้วยความรู้ทัน"เฮอะ พี่รอง ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นคนเช่นไร" โม่เจี้ยนหมิงยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเบนสายตาไปทางหลี่หลิงเฟิ่ง "ว่าแต่พี่สะใภ้ ท่านอยากได้อะไรหรือไม่ ข้าเต็มใจซื้อให้"หลี่หลิงเฟิ่งปรายตามอ
โม่จื่อหลิงส่งคนของหอสิบทิศปลอมตัวเป็นคนรับใช้ในงานเลี้ยง กระจายข่าวซุบซิบไปตามโต๊ะอาหาร ตามลานเรือน ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติ แขกเหรื่อกำลังดื่มกิน สนทนา และร่วมแสดงความยินดี ระหว่างนั้น ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายไปทั่วงานอย่างแนบเนียน"ข้าได้ยินมาว่าตระกูลหลินไม่ได้เต็มใจให้ลูกสาวแต่งเข้าจวนตระกูลหนานเลยสักนิด""ใช่หรือ? ข้าก็ว่าอยู่ ทำไมพวกเขาถึงไม่มีท่าทีเต็มใจ ทั้งที่เป็นวันมงคลโดยแท้ ขนาดรอยยิ้มยังดูน่าเกลียด""ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ พอได้ยินคนพูดบ่อยเข้าก็เหมือนจะจริงอย่างที่พวกเจ้าว่า พวกเขาแค่ทำตามแรงกดดัน ดองกันเพียงผลประโยชน์ จะมีความรักอันใดได้"“อย่าพูดเสียงดังไป หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ที่ข้าได้ยินมากกว่านั้นคือพวกเขาถึงกับกล้าไปเจรจากับศัตรูของตระกูลหนานอีกด้วย”“จิจิ คนตระกูลใหญ่พวกนี้ ยากแท้หยั่งถึง ช่างน่ากลัวเหลือเกิน”เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่วทุกมุมขณะเดียวกัน ‘สายลับ’ เลื้อยเข้าไปในห้องพักของประมุขตระกูลหนาน มันทิ้งจดหมายปลอมที่มีข้อความเกี่ยวกับการเจรจาลับกับอีกตระกูลที่ไม่ลงรอยกับตระกูลหนาน จดหมายดังกล่าวถูกเขียนขึ้นอย่างแยบยลให้ดูเหมือนเป็นแผนการที่จะหาทาง "ปลด