ม่านผ้าไหมสีทองถูกยกขึ้นเบาๆ ขณะองครักษ์ประกาศเสียงกังวาน“เฉิงอู๋อ๋อง ฟางตงเกาขอออนญาตเข้าเฝ้าฝ่าบาท”เสียงฝีเท้าหนักแน่นก้าวเข้าไปในท้องพระโรง ชุดเกราะดำลายเมฆทองส่องประกายสะท้อนแสงอาทิตย์เฉียงเช้า บนใบหน้าเฉิงอู๋อ๋องไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงดวงตาเข้มขรึมดั่งเปลวเพลิงที่รอวันลุกโชนบนบัลลังก์…ฮ่องเต้ปาหวางฮ่อ ทรงประทับนิ่ง เฝ้ารอฟังอย่างเงียบงัน ข้างพระองค์…จิวอันฮองเฮายืนเคียงอยู่ สีหน้าเคร่งขรึมไม่ต่างกันเฉิงอู๋อ๋องกับตงเกาทรุดตัวลงคุกเข่า“กระหม่อม เฉิงอู๋อ๋อง ขอทูลขอพระราชทานจัดทัพแคว้นเป่ยเหลียง เพื่อออกล้างแค้นให้กับฝ่าบาทโตวโฮฉิน”เสียงของเขาดังชัด ก้องท้องพระโรง ทุกอักขระแฝงความอัดอั้นและความอาลัยปาหวางฮ่องเต้ทอดสายตามองเฉิงอู๋อ๋องและตงเกาผู้ภักดีเบื้องหน้า“เจ้าแน่ใจหรือว่าทัพเป่ยเหลียงพร้อมแล้ว”เฉิงอู๋อ๋องเงยหน้าขึ้น ตอบด้วยน้ำเสียงไม่สั่นไหว“แม้ไม่พร้อม ข้าก็จะต้องให้มีการซ้อมรบ เพื่อทำให้พร้อม และข้าเฉิงอู๋อ๋องจะต้องวางกลยุทธ์ให้ดี แม้ต้องเดินทางเพียงลำพัง ข้าก็จะล้างแค้นแทนพระองค์ผู้ถูกปลิดชีพอย่างอัปยศ โตวโฮฉิน คือพันธมิตรที่แท้จริงของเป่ยเหลียง หากเรายอมให้เป่ยซวีลอยนวล
ดวงตาของเขานิ่งราบเรียบ...เหมือนแม่น้ำที่ถูกน้ำแข็งปิดทับ อี้เหยาไม่สะทกสะท้านหัวเราะเบา ๆ พยายามไล่บรรยากาศอึมครึมนั้นเสีย“ท่านเคยพูดว่า ข้าโกรธอะไรท่านหรือเปล่าคราวนี้ข้ามาตอบคำถามให้แล้วนะ อยากฟังไหม”อีกคนเงียบงัน“ไม่ลองชิม ข้าจะน้อยใจจริง ๆ ด้วย…ข้าขี้งอนนะใครๆ ก็พูดแบบนั้น” อี้เหยาพูดพร้อมทำหน้าแง่งอน แสร้งล้อเลียนตัวเองแต่เว่ยจินยังนิ่ง ไม่ตอบ ไม่สบตา ในใจเขาหนักอึ้งจนไม่อาจส่งรอยยิ้มให้ใครได้อีกเงียบ… เงียบงันราวกับทั้งห้องไร้เสียงรอยยิ้มบนใบหน้าอี้เหยาเริ่มไหวเล็กน้อย ดวงตากลมโตที่เคยสดใสตอนเข้ามานั้น บัดนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยอีกครั้งวางถาดขนมลงบนโต๊ะข้างแท่นนอนอย่างแผ่วเบา“…เจ้าไม่อยากคุยกับใคร…ข้าก็เข้าใจ” อี้เหยากระซิบเบา แทบไม่เป็นคำ “แต่…อย่างน้อย…ข้าก็อยากให้เจ้ารู้ ว่าข้ายังอยู่ตรงนี้...ข้ายังอยากให้เจ้ากลับมาทะเลาะกับข้าเหมือนเดิม” กลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ ยิ้มสุดท้ายให้เขา ดวงตาเริ่มแดงก่ำแต่ยังคงยิ้มก่อนจะหมุนตัวกลับ เดินช้า ๆ ออกไปทันใดนั้น...มือเรียวยาวของเว่ยจินเอื้อมออกไปแต่ยังไม่ทันสัมผัส…ปลายนิ้วเขากลับสั่นน้อย ๆ แล้วชะงักเขาเผลอยื่นไปจนปลายนิ้วสัมผ
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านเงาไม้ลงบนพื้นหินเย็นเยียบ เสียงสายลมพัดเบาๆ ปะทะม่านผ้าทางเดินที่พลิ้วไหวราวจะบอกว่าราตรีนี้ยังไม่หลับใหลซางหลาง เดินโซเซมาในชุดคลุมยาว สีหน้าระเรื่อด้วยฤทธิ์สุรา กลิ่นเหล้าจางๆ โชยมาตามตัว ท่วงท่าแม้จะมัวเมา แต่สายตากลับแจ่มชัดเมื่อเขายืนหยุดอยู่หน้าประตูห้องประตูห้องเปิดแง้มอยู่ดวงตาคู่นั้นสบเข้ากับภาพตรงหน้า เว่ยจินที่นอนหลับตาอยู่บนแท่นนอน มือข้างหนึ่งยังคงกุมมือของไป๋ฮวาที่นั่งอยู่ข้างแท่นนอน ใบหน้าของนโน้มไปเล็กน้อย ราวกับจะหลับไปเช่นกันสายตาของซางหลาง...นิ่งคล้ายกับหยุดชะงัก ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีเสียงถอนใจมีเพียงแววตา ที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าปนปวดร้าว บางสิ่งที่ซ่อนไว้ในใจ กลับถูกเปิดออกด้วยเงียบงันเบื้องหน้านั้นเองเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นด้านหลัง เป็นเงาของชายหนุ่มอีกผู้ที่เดินเข้ามาหยุดยืนข้างเขาไป๋อวี้เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร เพียงมองตามสายตาของซางหลาง แล้วก็ถอนหายใจเบาๆมือหนึ่งของไป๋อวี้ยกขึ้น ตบเบาๆ ลงบนไหล่ของซางหลาง“ไปเถอะ... ไปดื่มกัน ยังดื่มไม่มากพอจึงเป้นเช่นนี้ปลดปล่อยมันออกมาเสียพรุ่งนี้จึงจะไม่ต้องทุกข์ตรม อย่างน้อย...ท่านก็ยังมีเหล้า มีราต
แสงตะเกียงบนโต๊ะหนังสือส่องผ่านม่านบางสะท้อนเงาอ่อนโยนลงบนใบหน้าเรียบนิ่งของ อ้ายฉิง ที่นั่งจิบชาเงียบๆ มือเรียวสวยวางถ้วยชาลงเบา ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่จริงจัง“ข้าได้ยินมา... ว่าในงานเลี้ยงน้ำชา วันนั้น ไป๋ฮวาเป็นฝ่ายรินชาให้กับซางหลางก่อน”เฉิงอู๋อ๋อง ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเบือนหน้ากลับมาช้าๆ แววตาครุ่นคิดก่อนจะตอบเสียงหนักแน่น“เรื่องนั้น... ไว้ค่อยพูดกันอีกทีเถิด เว่ยจินก็ไม่ได้ทำอะไรผิด และเจ้าเองก็เห็น เขา...ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”อ้ายฉิงเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตานิ่งสงบแต่ลึกซึ้ง ราวกับมองเข้าไปถึงความคิดของบุรุษตรงหน้า“ท่านอ๋อง...ท่าน กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่“ความพอใจของไป๋ฮวา ถือเป็นที่สุดแล้วสำหรับคนเป็นแม่อย่างข้าในเมื่อไป๋ฮวาเลือกซางหลาง ข้าก็ควรจะยอมรับ... และซางหลางเอง ก็หาได้ทำผิดอันใด”เฉิงอู๋อ๋อง เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วโน้มตัวสวมกอด อ้ายฉิง ไว้แน่น ดวงตาที่เคยเฉียบคมกลับหม่นแสงลง“ข้าแค่... สงสารเว่ยจิน เขาสูญเสียบิดา สูญเสียบ้านเมือง บัดนี้... ข้าก็ไม่อยากให้เขาต้องสูญเสียหัวใจไปอีก หากไป๋ฮวาจะลองเปิดใจให้เ
“เจ้า...งดงามในแบบของเจ้าจริงๆ น้องสาวของข้า... และเจ้าคู่ควรกับคนที่เห็นค่าของเจ้า”คำพูดนี้ทำให้อี้เหยาเริ่มสั่นสะท้าน แต่ก็ยังคงห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมาได้“หากใครไม่เห็นค่าของเจ้า ก็แค่...จากไป...”เสียงของอี้หลินช่างเต็มไปด้วยความมั่นคงและความรักอย่างที่อี้เหยาไม่เคยได้รับมาก่อน ราวกับเป็นการสั่งสอนที่เตือนใจว่าไม่จำเป็นต้องเสียใจต่อความไม่ยุติธรรมใดๆ ที่ได้รับ“พี่หลินข้า” น้ำตาของอี้เหยาสุดท้ายก็ไหลออกมาเงียบๆ แต่ไม่ใช่ด้วยความโศกเศร้า... มันคือการปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดที่เก็บไว้ในใจ“เจ้าจะผ่านมันไปได้ ...พี่เชื่อว่าเจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก พี่ขอสัญญา...เราจะจากไปหากเขาไม่เห็นค่าในตัวพวกเรา” อี้หลินพูดพร้อมกับค่อยๆ ปลอบน้องสาวด้วยคำพูดที่อ่อนโยนที่สุดและเมื่อการปลอบใจเสร็จสิ้น อี้เหยาก็ยิ้มบางๆ ให้กับอี้เหยา ไม่ได้ตอบอะไรออกไป... แต่มันทำให้รู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาดแสงดาวพร่างพรายกระจายทั่วท้องฟ้า ขณะที่ ซางหลาง เดินกลับมายังตำหนักบูรพาด้วยท่าทางที่เงียบเหงา ใบหน้าของเขายังคงแฝงไปด้วยความหนักหน่วงจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เขาก้าวเท้าอย่างช้าๆ ผ่านห้องโถงที่เงียบส
เสียงฝีเท้าดังเร่งรีบของ ซางหลาง สะท้อนมาตามทางเดินยาวของจวน เขายังสวมชุดเดิมจากเมื่อคืน สีหน้าอิดโรยแต่มีแววดีใจระคนเร่งด่วนในดวงตา“ท่านอ๋อง เว่ยจินฟื้นแล้ว” เขาเอ่ยทันทีที่เห็น เฉิงอู๋อ๋อง ซึ่งกำลังพูดคุยอยู่กับ อ้ายฉิง และ จิวฮัวเฉิงอู๋อ๋องเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ตรงหน้า สีหน้าที่หม่นหมองจากเหตุการณ์ก่อนหน้าเหมือนสว่างวูบขึ้นมาเล็กน้อย“จริงหรือ” เขาก้าวฉับๆออกมาโดยไม่รอคำตอบใดต่อ พาอ้ายฉิง จิวฮัว และตงเกาไปพร้อมกันภายในห้องสงบงามที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพร เว่ยจินนั่งพิงหมอนใบใหญ่ มีไป๋ฮวาและไป๋อวี้นั่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้ายังซีดเผือด แต่สายตาเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อเห็นเฉิงอู๋อ๋องเดินเข้ามา“ท่านอา…”“เจ้าเก่งมาก ที่ไม่ยอมแพ้” เฉิงอู๋อ๋องเอ่ยเสียงทุ้ม แต่น้ำเสียงกลับหนักอึ้ง“ข้ามีเรื่องที่เจ้าต้องรู้...” ไม่พูดพร่ำทำเพลงเรื่องสำคัญที่สุดและสมควรที่สุดที่เว่ยจินจะรู้เว่ยจินขมวดคิ้ว ร่างกายเหมือนแข็งทื่อรอรับคำพูดถัดไปเฉิงอู๋อ๋องเดินเข้ามาใกล้ จับมือของเว่ยจินแน่นแล้วกล่าวช้า ๆ“โตวโฮฉิน... ฮ่องเต้ของพวกเราบิดาของเจ้า... ถูกเป่ยซวีประหารต่อหน้าต่อตาข้า ข้าขออภัย... ข้าช่วย