ณ มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนแนบผนังอย่างเงียบงัน
ดวงตาแน่นิ่งจับจ้องภาพตรงหน้าราวกับถูกสะกด
ตู้อี้จ๋าย บ่าวผู้ภักดีซึ่งตั้งใจมาเยี่ยมดูอาการเจ้านายเฉกเช่นทุกวัน
ไม่คาดคิดเลยว่า
จะได้ยินได้เห็นสิ่งที่ทำให้ชายชาตินักรบ...ถึงกับเข่าทรุดลงไปกองกับพื้น
สตรีนางนั้นร้องไห้คร่ำครวญ จนเปิดเผยสิ่งที่น่ากลัว
มันทำให้หัวใจของเขาแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
เจ้านายของเขาจากไปไกลแล้วอย่างนั้นหรือ?
คำสั่งสุดท้ายที่บอกให้เขาห้ามทอดทิ้งพวกนาง
แท้จริงเป็นคำสั่งของบุรุษที่เป็นสามีนาง หาใช่คำสั่งเสียของเจ้านายของเขาไม่
เรื่องบ้า ๆ ที่เคยเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ‘สลับร่างสับเปลี่ยนวิญญาณ’ กลับเกิดขึ้นจริง ๆ งั้นหรือ?
ตู้อี้จ๋ายหลุบตาลงช้า ๆ
ภาพความทรงจำวันวานไหลบ่าเข้ามาไม่ขาดสาย
เสียงดาบฟาดใส่โล่อย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องของทหารบาดเจ็บ เสียงม้ากระทืบพื้นจนดินสั่นสะเทือน
สนามรบเมื่อสิบสามปีก่อน
ตู้อี้จ๋ายตอนนั้นยังเป็นเพียงองครักษ์หนุ่มที่พยายามฝึกฝนตนเองให้คู่ควรกับหน้าที่
ในวันนั้น
เขาถูกศัตรูลอบแทงจากด้านหลัง ล้มลงท่ามกลางกองเลือด...สิ้นหวังและรอความตาย
“อี้จ๋าย! ลุกขึ้น! อย่าตายที่นี่!”
เสียงหนึ่งตะโกนลั่นกลางเสียงวุ่นวาย
มือที่เปื้อนเลือดคว้าเขาขึ้นจากพื้น
พระวรกายขององค์รัชทายาททรุดตัวลงข้างเขา ไม่สนพระองค์เองจะทรงบาดเจ็บเช่นกัน
"คนอย่างเจ้าจะมาตายไร้ค่าแบบนี้ไม่ได้ เข้าใจไหม!"
เขาจำได้ถึงแววตานั้น...เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ที่สุดในชีวิต
มันเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่า ชีวิตนี้ต้องอุทิศให้เจ้านายผู้นี้แต่เพียงผู้เดียว
ภาพสลับอีกฉากหนึ่งตามมาในบัดดล...
ค่ำคืนอันเงียบสงบในวังตะวันออก
เขาคุกเข่าอยู่หน้าพระองค์
ดวงหน้าละลานไปด้วยน้ำตา ยามมองบุตรแรกเกิดของตนซึ่งมารดาสิ้นไปด้วยไข้หลังคลอด
“เด็กคนนี้อาภัพนักพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือยามกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมกอด
องค์รัชทายาททรงเอื้อมพระหัตถ์มาอุ้มลูกของเขาไว้ในอ้อมพระกร
ทรงมองดวงหน้าน้อย ๆ ที่ยังหลับตาพริ้มอย่างพินิจ แล้วรับสั่ง
“จะอาภัพได้เช่นไรกัน เขายังบิดาที่เก่งกาจอย่างเจ้า”
“และเขายังมีข้า”
“ชีวิตของเด็กน้อยผู้นี้จะต้องบินสูงดั่งนกเหยี่ยว...จงชื่อว่า ‘เฟยอิง’”
วันนั้น...น้ำตาของเขาหลั่งด้วยความปลื้มปีติ
มิใช่เพราะเพียงแค่ชื่อ
หากเพราะเขาเห็นเจ้านายอุ้มบุตรตนไว้ด้วยสองพระหัตถ์... เหมือนลูกในอ้อมอกตนเอง
มิถือพระองค์มิแต่น้อย
จากนั้นสิ่งที่ถาโถมตามมาก็คือ...สิ่งที่ทรงตรัสกับเขาทุกครั้งที่มีโอกาส
“อี้จ๋าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าความฝันของข้าคือทำให้คนแคว้นซ่างหยุนมีแต่รอยยิ้ม”
“ร่มเย็น สงบสุข ไร้สงคราม”
“ข้ากับฮ่องเต้เคยสาบานว่าจะทำให้ได้”
“แต่บัดนี้ อำนาจในมือทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนไป...ทรงลืมสัญญานั่นไปเสียแล้ว”
พระสุรเสียงแสนเศร้าโศกของผู้เป็นนายดังก้อง
“องค์รัชทายาทที่เป็นเพียงแค่ชาวบ้านสามัญชน จะช่วยผู้คนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ตู้อี้จ๋ายค่อย ๆ ก้มศีรษะลงอย่างเงียบงันพลางร่ำไห้ลงกับพื้น ขณะถามในสิ่งที่ไม่มีทางได้คำตอบ
และการต่อสู้อย่างหนักหน่วงภายในใจของเขา
“หากกระหม่อมละทิ้งพระวรกายพระองค์ไว้ตรงนี้”
“ปล่อยให้พระองค์หายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นการดีที่สุดหรือไม่...”
องครักษ์หนุ่มร้องไห้ไร้เสียง
ไม่เหลือความน่าเกรงขามใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
ซ่งเม่ยหลินซึ่งเฝ้ามองเขาอยู่เงียบ ๆ ไม่ไกล
นางได้ยินทุกถ้อยคำของเขา...อย่างแจ่มชัด
ทุกคำถามที่เขาเอ่ยกับความว่างเปล่า ล้วนซึมเข้าไปในใจของนางทีละคำ...
‘องค์-รัช-ทา-ยาท’
นางค้นพบ...หนทางที่จะยื้อชีวิตเขาไว้ให้ได้
ดวงตาของนางแดงก่ำแต่เด็ดเดี่ยวกว่าครั้งไหน ๆ
“ช่วยได้แน่”
“ข้าและสามีจะช่วยผู้คนแทนเจ้านายท่านได้”
“ขอแค่เขาฟื้นขึ้นมา ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้าคนนี้จะทำให้ทุกอย่าง ฮือ ๆ”
ปึก
“ได้โปรด อย่าละทิ้งเจ้านายของท่านไว้ที่นี่”
ซ่งเม่ยหลินคุกเข่าศีรษะติดพื้นทั้งน้ำตา ขณะที่เจ้าตัวน้อยยังอยู่ในอ้อมกอดของนาง
นี่คือทางรอด...ที่นางเลือก
ทันทีที่รู้ว่าสามีของนางมีชีวิตอยู่ในร่างของชายสูงศักดิ์นางตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล
ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะยื้อชีวิตเขาได้อยู่ที่นั่น
ทั้งหมอมากฝีมือและสมุนไพร
ทั้งหมด...อยู่ในวังหลวง
ถึงแม้ที่แห่งนั้น...ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างนางควรเข้าใกล้
แต่... เพราะชีวิตแสนล้ำค่าของเขากับบุตรชายในอ้อมกอด
นางขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันนับจากนี้ไป
ซ่งเม่ยหลินเช็ดน้ำตา
พลางแหงนหน้าสบตาคนที่ยืนขึ้นพลางจ้องมองนางด้วยดวงตาแดงก่ำไม่แพ้กัน
อีกฝ่ายยังคงใจเย็นฟังนางโดยไม่คิดจะเดินหนี หรือชี้หน้าด่าว่านางเป็นสตรีบ้าเพ้อเจ้อ
“ข้ารู้ดีว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว”
นางหยัดตัวยืนขึ้นบ้างโดยมีบุตรชายที่ยังคงสะอื้นไว้แนบอก
“เจ้านายของท่านถูกคนชั่วผลักไสให้ตกลงมาตาย ไม่ต่างจากพวกข้า”
ซ่งเม่ยหลินเชิดหน้า พยายามสกัดน้ำตามิให้ไหลออกมา
“แม้ต่างกรรมต่างวาระ...แต่ถูกกระทำโดยคนชั่วทั้งสิ้น”
“ข้ากับสามี มิเคยทำร้ายผู้ใด ไม่เคยคิดเอาชีวิตผู้ใด ฮึก”
เสียงของนางขาดห้วง...พร้อมกับน้ำตาที่ห้ามไม่อยู่
“แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว”
“สวรรค์มิได้เข้าข้างหรือคอยปกป้องคนดี”
“มีแต่ตัวเราเท่านั้น...ที่ต้องดิ้นรนช่วยตนเอง”
“นับจากนี้ไป ข้าคนนี้จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด”
“ข้าจะยื้อชีวิตเขาไว้...”
“ทำทุกอย่างให้เขา”
“สวมรอยเป็นองค์รัชทายาทแห่งซ่างหยุนที่องอาจและเก่งกาจไม่แพ้เจ้านายผู้อาภัพของท่าน”
นางหยุดพูดพลางหันไปสบตาตู้อี้จ๋ายด้วยแววตาแข็งกร้าว
“เจ้าเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง จะช่วยสิ่งใดองค์รัชทายาทของแคว้นซ่างหยุนได้อย่างนั้นหรือ”
ตู้อี้จ๋ายเช็ดน้ำตาลวก ๆ พลางถามสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเยาะเย้ยอย่างอดไม่ได้
นางเช็ดน้ำตาอย่างเข้มแข็งยามตอบโต้ตู้อี้จ๋าย
หัวใจ... เด็ดเดี่ยวหลังจากผ่านความเป็นความตาย
หัวใจ...ของคนเป็นแม่ที่ไม่อาจทนเห็นเสียงหวีดร้องเพราะหวาดกลัวของลูกน้อยได้อีก
มันทำให้นางต้องยืนหยัด...
ไม่ว่าภายในจิตใจจะพังทลายแค่ไหนก็ตาม
“สตรีที่เคยทำให้แผ่นดินล่มสลายมีมากนับไม่ถ้วน” “อย่าได้ดูเบาสตรีเช่นข้า”
“ท่านรู้ไว้เพียงว่า...”
“ข้าสามารถทำให้องค์รัชทายาท ขึ้นครองราชย์ได้ก็พอ”
ตู้อี้จ๋ายเงียบงัน ก่อนทอดตามองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาซับซ้อน
มีทั้งความเข้าใจ ความลังเล และความรู้สึกหนักหน่วงที่เขาไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำได้ง่าย ๆ
“ข้ารู้ว่าท่านเจ็บปวด... และต้องการแก้แค้น”
เสียงเขาเอ่ยแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยสัจจริงของคนที่เคยผ่านแผ่นดินเปื้อนเลือดมา
“แต่วังหลวง...มิใช่ที่ที่ใครก็จะอยู่ได้”
“ท่านก็เห็นแล้ว...แม้แต่เจ้านายของข้า ผู้เกิดมาพร้อมด้วยอำนาจและบารมี”
“ยังไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
เขาหยุดเงียบชั่วขณะหนึ่ง ก่อนกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตาทิ้งไป พลางพูดต่ออย่างหนักแน่น
“ข้าขอแนะนำให้เจ้า...”
“ใช้เวลาที่เขามีอยู่น้อยนิดให้คุ้มค่า”
“อย่าเสียเวลาดิ้นรนไปที่นั่นเลย”
“กว่าจะเข้าวังหลวงและให้หมอหลวงรักษาเขา”
“มันก็สายไปแล้ว”
นั่นคือคำตัดสินใจ...ที่ยากที่สุดเท่าที่เขาเคยมีมา
เขาเลือกละทิ้งพระวรกายของเจ้านายที่ตนนับถือเหนือชีวิต
องค์รัชทายาทแห่งซ่างหยุนจะไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
เขาหวังว่านาง...จะมีเวลาอยู่กับสามีในร่างนั้นได้นานอีกหน่อย
ซ่งเม่ยหลินเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
“ขอเวลาให้ข้าได้แสดงให้ท่านเห็น”
“จากนั้น...ท่านค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย”
คำพูดอวดดีออกจากปากนางอย่างน่าขัน
แต่มันจากหัวใจของผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเหลือจะเสียอีกแล้ว
ตู้อี้จ๋ายสบตานาง ก่อนถอนหายใจในความดื้อรั้นของอีกฝ่าย
“พวกข้าจะอยู่ที่นี่ได้อีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
“ทันทีที่คนของข้าฟื้นตัวพอจะเดินทาง...พวกเราจะจากไปทันที”
“เจ้ามีเวลาจนถึงตอนนั้น”
ตู้อี้จ๋ายไม่ได้ปฏิเสธ
แต่กลับบอกให้รู้ว่า....นางมีเวลาไม่นานที่จะพิสูจน์
เขาปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ
หันกลับไปมองพระวรกายของเจ้านายอีกครั้ง
‘แม้กระหม่อมจะทิ้งร่างพระองค์ไว้ที่นี่’
‘แต่ความแค้นที่พวกมันทำไว้ กระหม่อมจะเอาคืนแทนพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ’
องครักษ์ผู้ภักดีตัดสินใจอย่างแน่วแน่ก่อนเดินจากไป
ทว่า...ไม่ว่าตู้อี้จ๋ายจะคิดเช่นไร
แต่ซ่งเม่ยหลินถือว่านางซื้อโอกาสได้แล้ว
ที่เหลือก็แค่ต้อง...ลงมือทำให้เขายอมรับนาง
“มะ จ๋า ฮ้าวว”
เจ้าก้อนแป้งในอ้อมกอดซุกหน้ากับซอกคอนางพลางหาวหวอด
ซ่งเม่ยหลินลูบหลังลูกน้อยเบา ๆ ก่อนหอมแก้มนุ่มนิ่มเบา ๆ พลางเดินไปยังคนที่นอนหลับใหล
“นี่คือพ่อของหนูนะ”
“ท่านพ่อที่รักหนูไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแม่”
ซ่งเม่ยหลินกลั้นน้ำตายามจับมือน้อย ๆ ของลูกชายให้จับใบหน้าซีดเซียวของสามี
นางต้องทำให้ลูกรู้ว่า
คนที่ไม่คุ้นเคยนี้คือคนที่มีหัวใจดวงเดิม
จริง ๆ แล้วมิใช่แค่บอกลูกน้อย...ทว่าเป็นการบอกตัวนางเองเช่นกัน
หน้าตาเปลี่ยนไป...แต่หัวใจของเขาคงเดิม
“ป้อ จ๋า”
หานเอ๋อร์ตัวน้อยวัยหนึ่งขวบนั่งในตักมารดายามเรียกบิดา
เจ้าแก้มกลมยิ้มหวานให้มารดาอย่างไร้เดียงสา
น้ำตาของคนเป็นแม่พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ใช่แล้วพ่อของลูก”
“แม่จะทำทุกอย่างให้พ่อของเจ้าฟื้นมาเล่นกับเจ้าเหมือนเดิมนะ”
ซ่งเม่ยหลินก้มหน้าหอมกลุ่มผมลูกชายพลางร้องไห้เงียบ ๆ
นางวางแกให้นอนใกล้กับเขา
มือบอบบางตบก้นน้อย ๆ เพื่อขับกลับกล่อมให้ลูกหลับ
แต่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด... ถึงทางออกของวันพรุ่งนี้
“ซื่อหมิง จงทำหน้าที่แทนพี่ชายคนนี้ด้วย” “เจ้าต้องคืนรอยยิ้มให้ไท่จื่อเฟยให้ได้” “ท่านอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะหวังหลุน” “พวกเราต้องรอดไปด้วยกัน” “เจ้าได้ยินไหม” “ถ้าเจ้ากล้าทิ้งข้า ข้าจะฆ่าท่าน” ฉึบ “ล่าก่อนซื่อหมิง” “อย่าให้พระองค์ร้องไห้เพราะข้า” ตูมมมม “พี่หวังหลุนนนน” นั่นคือเหตุการณ์เพียงชั่วลมหายใจ ที่เกิดขึ้นหลังจากกระโดดจากหน้าผา เขาคิดว่า....พวกเขารอดแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะเชือกที่คว้าเอาไว้ได้... มันรับน้ำหนักไม่ไหว มีคนหนึ่งที่ต้องเสียสละ และเจ้านั่น...มันใช้มีดสั้นที่มันพกเอาไว้ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวและทิ้งร่างลงทะเลไป ทั้งที่รู้สึกผิด หัวใจปวดร้าวจนแทบจะแตกสลาย แต่ทุกคนเชื่อไหม.... เขาไม่กล้าโดดลงไปเพื่อให้ตายตามอีกคนไป ยอมรับตามตรง... ว่าเขาอยากรอดชีวิตมากกว่า สิ่งที่ตอบตัวเองได้ในยามนั้นมิใช่เพราะเจ
“กรี๊ดดด พี่สาวทางนั้นมีขนมหนวดมังกรด้วย” “หานเอ๋อร์หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้นะ” ซ่งเม่ยหลินห้ามพลางส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองเจ้าก้อนแป้งทั้งสองที่วิ่งหลุน ๆ ไปยังร้านขนม โดยไม่สนใจว่านี่... มิใช่วังหลวง เด็กทั้งคู่ชอบนักยามได้ออกมาข้างนอกเช่นนี้ แต่คนที่ปวดหัวหนัก คงหนีไม่พ้นองครักษ์ทั้งหลายที่ต้องทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้เจ้านาย “ไม่เป็นไรหรอกเม่ยเม่ย อี้จ๋ายกับซื่อหมิงเองก็อยู่ด้วย” ลั่วอี้เสียนจับมือภรรยาเอาไว้ก่อนบอกนางให้เบาใจ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับมาทำเอาอีกสองคนถึงกับสะดุ้ง “สองคนนั้นน่าเป็นห่วงไม่ต่างกับหานเอ๋อร์และลู่ลู่เลยนะเจ้าคะ” “คราวก่อนเด็กแสบหายไปอยู่หลังโรงงิ้ว” “เพราะผู้ใหญ่ต่างหลงเสน่ห์นางเอกผู้งดงามเข้าให้” “โธ่นายหญิงขอรับ” “ข้าน้อยบอกท่านเป็นร้อยครั้งพันครั้งแล้ว...” “พวกเรามิได้หยุดดูนางจนทำให้นายน้อยหานเอ๋อร์ กับคุณหนูน้อยลู่ลู่หายไป” เฟิ่งซื่อหมิงแกล้งโอดครวญ “กระหม่
“พี่สาว...นี่ตัวอะไรเอ่ย” “คิก ๆ เอาไปเลย” “ว้ายยย หานเอ๋อร์ไม่นะ” “ทิ้งมันเดี๋ยวนี้” องค์หญิงน้อยลู่ลู่วัยหกชันษา ถูกองค์รัชทายาทตัวน้อยแกล้งเข้าให้อีกแล้ว “พี่สาวกลัวอะไรน่ะ มันแค่ไส้เดือนเองนะ” เจ้าตัวอ้วนหานเอ๋อร์ ยืนมือเท้าสะเอวข้างหนึ่งหัวเราะพี่สาวขณะที่มีเจ้าไส้เดือนตัวอ้วนอยู่ในมือ แม้รู้ความว่าเป็นน้องแต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าแสบจะเป็นน้องที่ดีเหมือนพี่น้องคู่อื่น แค่คนพี่ก็ใช่ว่าจะยอมเสียเมื่อไร “หึ หานเอ๋อร์” “ดูนี่สิ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ผิดกับหน้าตาน่ารักดังขึ้น บ่าวไพร่รู้ดี... มันคือช่วงเวลาเอาคืน “อื้ออยยย พี่สาว” “เอามันออกไป “อย่าเอามาใกล้ข้านะ” “เสด็จแม่” “แง้งงง” ในที่สุดชัยชนะก็เป็นขององค์หญิงน้อยผู้กล้าหาญ นางกล้าจับกบตัวเป็น ๆ มาเอาคืนน้องชายตัวแสบ “...” “พอได้แล้วเด็ก ๆ” “มากินของว่างได้แล้ว ประเดี๋ยวเย็น
สำนักศึกษาภายในตำหนักตงกง ยามสายของวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงไล่จับ และเสียงท่องบทเรียนที่เจือปนเสียงหัวเราะ ตรงลานกว้างใต้ร่มไม้ เด็ก ๆ จากตระกูลขุนนางหมุนเวียนกันเข้ามาเรียนรู้ร่วมกับองค์รัชทายาท เหล่าอาจารย์พากันอมยิ้มบ้าง ดุด่าบ้าง ขณะมองเหล่าศิษย์ตัวเล็ก ๆ ที่บางครั้งตั้งใจ บางครั้งก็แกล้งหลับในห้องเรียน แม้ทุกอย่างจะดูวุ่นวายไปบ้างในสายตาผู้ใหญ่ แต่ความวุ่นวายนั้นกลับอบอุ่นนัก การได้เห็นว่าเด็กเหล่านี้มีเสียงหัวเราะ มีอิสระให้วิ่งเล่นและเรียนรู้ นั่นย่อมหมายความว่า… แผ่นดินในยามนี้สงบสุข และรุ่งเรืองอย่างแท้จริง “องค์รัชทายาททรงพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่เห็นจะเก่งเลย เสด็จแม่เก่งกว่าข้าตั้งเยอะ” “ฮ้าววว ท่านอาจารย์” “วันนี้ข้าเรียนจบแล้วใช่ไหม” องค์รัชทายาทตัวน้อยของทุกคนหาวหวอด เด็กคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้าอ้วนน้อยหานเอ๋อร์ของซ่งเม่ยหลิน ทันทีที่อายุสี่ขวบเต็ม เจ
“แม่จ๋าอุ้มลูก” “แม่จ๋า” “เจ้าตัวแสบ อายุสามขวบกว่าแล้วยังจะอ้อนให้แม่อุ้มอยู่อีกหรือ” คำพูดเหมือนจะดุ แต่สิ่งที่ทำคือคว้าตัวเจ้าก้อนกลม ๆ ที่วิ่งหลุน ๆ มาหาทันทีที่พวกนางเปิดประตูเข้ามา ซ่งเม่ยหลินที่ดวงตายังคงแดงก่ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา นางอ้าแขนรับเจ้าตัวกลมขึ้นมาอุ้ม วันนี้นางกอดลูกรักไว้แน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ การที่มีเขาอยู่ในอ้อมกอด และการที่เขากอดนางตอบอย่างออดอ้อน คือคำตอบ....ว่านางทำทุกสิ่งทุกอย่างไปทำไม ร้ายกับคนทั้งโลก เพื่อรักษารอยยิ้มบริสุทธิ์ของแกเอาไว้ เพื่อให้ครอบครัวเล็ก ๆ ของนางยังคงอยู่ เพื่อรักษารอยยิ้มของผู้คนที่ไม่เคยได้ลืมตาอ้าปาก “ได้โปรดอย่ากรรแสงอีกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” “พระองค์เป็นคนดีที่สุดเท่าที่กระหม่อมเคยพบเจอมา” เฟิ่งซื่อหมิงปาดน้ำตายามปลอบเจ้านาย เขาหมายความตามนั้น หากการเป็นคนดี...คือการปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้าย ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอยู่ร่ำไป
เงามืดที่คืบคลาน “พวกเราควรทำเช่นไรดี” “วาจาของมันศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าเทพเซียน” “ไม่ว่ามันจะเยื้องย่างไปที่ไหน...แม่น้ำก็กลับไปเป็นปกติทุกที่ไป” “และยิ่งมันเป็นฮ่องเต้ของแคว้นซ่างหยุน” “ยิ่งทำให้ความเชื่อของชาวบ้านยิ่งหนักแน่น” “มันคือคนที่สวรรค์เลือก ฮ่องเต้หย่งหลงเริ่มต้นปรึกษากับฮ่องเต้อีกสามแคว้น ชื่อของซ่างหวงตี้กำลังหลอกหลอนพวกเขา ทั้งเรื่องมันสังหารพี่ชายเมื่อเดือนก่อน พร้อมกับที่คนของมันก่อกบฏ แย่งชิงบัลลังก์มอบให้ผู้เป็นนายโดยเสียเลือดเนื้อเพียงน้อยนิด แม้ไรพิธีปราบดาภิเษกอย่างเป็นทางการ แต่...มันคือฮ่องเต้แห่งซ่างหยุนโดยชอบธรรม และอีกเรื่องที่ทำให้พวกเขานั่งไม่ติดไปตาม ๆ กัน ก็คือเรื่องที่มันเป็นคนที่สวรรค์เลือก หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดูผิวเผินเหมือนว่าพวกมันตกอยู่กับความเศร้าโศกที่ คณะทูตของพวกมันถูกไฟไหม้จนวอด เหลือผู้รอดชีวิตแค่ไม่กี่คน แต่ความรู้สึกบอกว่า... พวกมัน