จากนักฆ่ากลายเป็นองครักษ์และสาวใช้ส่วนตัว จากพยัคฆ์ที่นิ่งและสุขุมดุจภูผาน้ำแข็ง กลับเริ่มละลายและตามหึงสาวใช้ข้างกายจนหน้ามืด "หากเจ้าไม่คิดอะไรกับเขา ก็จงพิสูจน์ให้ข้าเห็น จูบข้าสิอวิ๋นซี!" จากคนที่เคยสุขุมและนิ่งดุจธาราน้ำแข็ง แต่เมื่ออยู่ใกล้นาง และพบกับความใจร้อนและไม่สนใจผู้ใดของนาง ทำให้หัวใจของพยัคฆ์หนุ่มเริ่มถูกละลายทีละนิด... จนเปลี่ยนเป็นความรัก และความหึงหวงโดยไม่รู้ตัว นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเซต "ดวงใจพยัคฆ์แห่งเฉินซาน"
Lihat lebih banyakเมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซาน
เสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด
“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”
""พ่ะย่ะค่ะ""
“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า
“หนีไปทางหอซิงเฟย”
“ตามไป”
""พ่ะย่ะค่ะ""
หอซิงเฟย
ท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป
“ค้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ
“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”
สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อสตรีใบหน้างามดุจโบตั๋นแรกแย้มหันไปคว้าผ้ามาพันกายอีกครั้ง ดาบคมกริบหันไปมองรอบ ๆ ห้อง เขามั่นใจว่าเห็นคนร้ายวิ่งเข้ามาในนี้แน่ ๆ
“เจ้าเห็นสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
“ข้าไม่เห็น หากจะผิดปกติก็มีเพียงท่าน กรี๊ด!!”
เสียงกรีดร้องของนางดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นนางรำอีกคนในชุดสีขาวที่วิ่งพรวดพราดเข้ามา เมื่อเห็นท่านอ๋องก็กรีดร้องขึ้นเพื่อเรียกหาคนช่วย
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ มีคนร้ายฆ่าคนในห้อง”
“อะไรนะ! เสี่ยวอวี้รีบไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องวิ่งไปตามทางที่คณิกาสาวผู้นั้นชี้บอกทาง แต่เมื่อเขาวิ่งไปถึงกลับพบสตรีอีกคนที่วิ่งตามออกมา
“หยุดนะ!”
“ท่านนั่นแหละหลีกไป ข้าจะตามคนร้าย”
“คนร้ายงั้นหรือ นี่เจ้า…”
“ระวัง!”
นางยกดาบขึ้นมาและปัดอาวุธลับเพื่อช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา พร้อมกันก็พุ่งอาวุธบางอย่างเฉียดริมแก้มของบุรุษหนุ่มอย่างเฉินตงหราน และโดนเป้าหมายในทันที
“ไอเย็นนั่น…”
แต่สตรีผู้นั้นมิได้รอ นางวิ่งผ่านเขาไปเพื่อจับคนร้ายที่กำลังล้มลงอยู่ด้านหลัง เมื่อหันไปจึงได้ทันเห็นนางดึงตัวคนร้ายขึ้นมา
“แม่นาง! ยั้งมือก่อน”
“เจ้าชั่วนี่พรวดพราดเข้ามาก็ฆ่าคน ท่านจะให้ข้าปล่อยมันอย่างนั้นหรือ… บอกมา เจ้าฆ่าเขาทำไม!”
“ระวัง เขากำลังจะฆ่าตัวตาย”
“พลั่ก!”
“ฮึก!”
สันมือของสตรีร่างบางฟาดลงไประหว่างคอของคนร้ายจนสลบคาพื้น นางยังใช้เท้าเตะที่ปากของคนร้ายที่พึ่งสลบไป ยาพิษที่อยู่ใต้ลิ้นนั้นกระเด็นออกมา เฉินตงหรานยังไม่เคยเห็นสตรีคนใดที่ดุดันเช่นนี้มาก่อน
“แค่นี้ก็ฆ่าตัวตายไม่ได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อน! เจ้าบอกว่ามันผู้นั้นฆ่าคน… ฆ่าผู้ใดงั้นหรือ”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงเสียงของทหารองครักษ์ที่เรียกเขาก็ทำให้ “หลิ่วอวิ๋นซี” หันมาสนใจเขาในทันที ในคราแรกคิดว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ทหารของทางการที่ตามจับคนร้ายเท่านั้น
‘เขาก็คือพยัคฆ์อุดร เทพสงครามแดนหิมะผู้นั้น “เฉินตงหราน” ท่านอ๋องแห่งหลิงโจว’
“ว่าอย่างไร จับคนร้ายที่เหลือได้หรือไม่”
“ทูลท่านอ๋อง เราพบศพคนร้ายคนหนึ่งอยู่ในห้องข้าง ๆ ศพของใต้เท้าเหรินลั่วหลีพ่ะย่ะค่ะ”
“เหรินลั่วหลี รองเจ้ากรมขุนนางงั้นหรือ เขามาทำอะไรที่นี่”
“เขานัดข้ามาพบที่นี่ ยังไม่ทันได้พูดคุยกันก็มีคนมาบุกฆ่า คนร้ายผู้นั้นข้าเป็นคนฆ่าเอง”
“เจ้างั้นหรือ”
เฉินตงหรานเดินเข้ามาใกล้เพื่อมองนางชัด ๆ ดรุณีน้อยผู้นี้รูปร่างบอบบางสวมอาภรณ์แดงสลับขาว หากมองผิวเผินคงไม่คิดว่าจะมีแรงถือดาบด้วยซ้ำ แต่ทว่านางกลับกล้ายอมรับต่อหน้าเขาว่าเป็นผู้ลงมือสังหารคนร้ายที่ฆ่าขุนนางในหอนางโลม
“แม่นาง เจ้ามีนามว่าอย่างไร”
“พบกันเพียงบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องแจ้งกระมัง”
“บังอาจ! ต่อหน้าท่านอ๋องอย่าได้ใช้วาจาโอหัง”
“ที่แท้ท่านก็คือหลิงอ๋อง เทพสงครามแดนเหนือที่เลื่องลือ แต่เหตุใดแค่จับคนร้ายไม่กี่คนถึงทำไม่สำเร็จ หรือสิ่งที่ร่ำลือมานั้นเป็นเพียงคำอวดอ้าง”
“เจ้า!”
“เสี่ยวอวี้อย่าเสียมารยาท แม่นางน้อยวาจาช่างคมคาย อีกทั้งไม่ตกใจเมื่อทราบว่าข้าคือผู้ใดเกรงว่าเจ้าคงทราบอยู่แล้วสินะ”
‘ก็ไม่ได้โง่นี่ ดูออกว่าข้ากำลังหยั่งเชิงอยู่ นับว่ายังพอใช้ได้’
“จากแววตาของเจ้าดูเหมือนว่ากำลังลอบด่าข้าอยู่ในใจสินะ ถึงอย่างไรเหตุการณ์ที่นี่เจ้าไม่ได้อยากเกี่ยวก็คงต้องเกี่ยว คงต้องขอให้ตามข้ากลับไปเพื่อสอบถามเล็กน้อย”
“หากว่าข้าไม่ยอมเล่า”
“เข็มปราณเย็นดุจเกล็ดหิมะ รวดเร็วดุจสายลม หากเดาไม่ผิดอาวุธที่เจ้าใช้เมื่อครู่นี้คือ “เข็มพิษวารี” สินะ”
หลิ่วอวิ๋นซีหันมามองหน้าผู้พูดเพื่อประเมินอีกฝ่าย ซึ่งกำลังมองกลับมาเช่นกัน
“ท่านต้องการสิ่งใด”
“กลับไปกับข้าแล้วค่อยคุยกันเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ก้าวขาเข้ามาในคดีนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วนี่”
‘คิดไม่ถึงว่าจะตกปลาตัวใหญ่อย่างหลิงอ๋องได้ เดิมทีคิดจะมาถามเหรินลั่วหลีไม่กี่ประโยคเท่านั้น ในเมื่อท่านเปิดโอกาสเอง ไฉนเลยข้าจะไม่ตอบรับ’
“หากว่าข้าไม่ยอมไปแต่โดยดี ท่านอ๋องจะสั่งให้ทหารจับกุมข้าและพาไปขังคุกของทางการหรือไม่”
รอยยิ้มมุมปากของท่านอ๋องเผยออกมาเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเวลายิ้มเขาจะมีรอยบุ๋มตรงแก้มทำให้ใบหน้าของเทพสงครามแดนเหนือผู้นี้น่ามองจนหัวใจนางกระตุกเล็กน้อย
“ในเมื่อข้าเป็นผู้เอ่ยปากเชิญ เท่ากับว่าเจ้าเป็นแขกหาใช่ผู้ต้องสงสัยเหตุใดจึงต้องใช้กำลังบีบบังคับ”
“เช่นนั้นก็ตกลง”
“เชิญ”
ทั้งหมดเดินทางกลับเข้าวังหลวงของหลิงโจว คนร้ายถูกนำตัวไปขังไว้ที่คุกใต้ดินและคุ้มกันอย่างแน่นหนา สามเดือนที่ผ่านมานี้มีขุนนางระดับสูงของหลิงโจวถูกฆ่าตายอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ แน่นอนว่าเรื่องนี้หลิงอ๋องมิได้นิ่งนอนใจเพราะพระองค์ทรงออกสืบคดีนี้ด้วยตัวเอง
วังหลวง
หลิ่วอวิ๋นซีเดินตามท่านอ๋องมายังตำหนักกลางในวังหลวงหลิงโจว เมื่อเข้ามาแล้วเขาจึงบอกให้ทหารองครักษ์ออกไปทั้งหมดพร้อมกับปิดประตู
“นั่งก่อนสิ”
“เหตุใดท่านอ๋องจึงได้เชิญข้าเข้ามาในนี้ ข้าเป็นเพียงชาวยุทธ์ทั่วไปที่ไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก”
“แต่คืนนี้เจ้ากลับไปพบกับขุนนางของข้าและเป็นคนสุดท้ายที่พบเขาก่อนที่จะถูกฆ่ามิใช่หรือ”
อวิ๋นซีนิ่งไป หลิงอ๋องผู้นี้มิใช่ผู้ที่นางจะประฝีปากด้วย ท่วงท่าที่นิ่งสงบตรงหน้าเตือนให้นางคอยระวัง
“นั่งก่อนสิ แม่นาง…”
“หลิ่วอวิ๋นซี เรียกข้าว่าอวิ๋นซีก็ได้ แต่ข้าขอทูลตามตรงว่าไม่สะดวกคุยกับท่านด้วยคำยุ่งยากพวกนั้น”
“หึ ข้าเองก็มิได้อยากจะบังคับให้เจ้าพูดเช่นนั้น นั่งก่อนสิอวิ๋นซี ข้าคิดว่าคืนนี้เรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันหลายเรื่อง บางทีเจ้าอาจจะช่วยข้าได้”
น้ำชาร้อนถูกรินจากพระหัตถ์ของท่านอ๋องและส่งมาให้นางที่กำลังนั่งลงตรงข้ามโต๊ะในห้อง
“ท่านอ๋องแน่ใจได้เช่นไรว่าข้าจะช่วยท่านได้ ไม่กลัวหรือว่าข้า… จะฆ่าท่าน”
“จิ่วโม่หราน” เดินออกมาและเปิดเผยใบหน้าให้นางเห็น อวิ๋นซีมีแววตาตกใจไปเล็กน้อยก่อนจะคำนับให้คนตรงหน้าอีกครั้ง มือของนางยังคงสั่นเพราะไม่คิดว่าเขาจะมาด้วยตัวเอง“คารวะท่านเจ้าหอ”“หลิ่ว…อวิ๋น…ซี เดิมทีข้ามิได้อยากจะมาด้วยตัวเอง แค่ใคร่อยากจะรู้นักว่าเหตุใดเจ้าจึงขาดการติดต่อกับหอฟงหรูไปนานถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้า... จะมัวแต่มาร่วมสนุกกับงานงี่เง่านี่!”“ขออภัยท่านเจ้าหอ แต่ภารกิจครั้งนี้จะประมาทมิได้ รอบกายของหลิงอ๋องมีทั้งยอดฝีมือ อีกทั้งตอนนี้เขาก็เรียกน้องชายทั้งสามมาอยู่ข้างกาย การจะลงมือฆ่าเขามิใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย อีกอย่างการจะล่อลวงเขา…”“พอได้แล้ว ข้าต้องการรู้เพียงแค่ว่าบัดนี้ ภูตมรณะเพียงคนเดียวของหอฟงหรูเช่นเจ้า เปลี่ยนไปสวามิภักดิ์อีกฝ่ายหรือยังมีใจปฏิพัทธ์ต่อข้าอยู่ ก็เท่านั้นเอง เจ้าคงไม่ลืมความแค้นของเจ้าหรอกนะ”“ข้าย่อมไม่ลืมแต่หากว่าฆ่าหลิงอ๋องแล้ว ท่านจะยอมบอกข้าได้หรือไม่ ว่าแท้จริงแล้วบิดาของข้าตายเพราะถูกผู้ใดสังหารกันแน่”“เจ้าดูตัวเจ้าในตอนนี้สิ สายตานั่นคืออะไรกัน แม้แต่ข้าเจ้าก็ยังสงสัยงั้นหรือ เห็นทีเช่นนี้คงจะใช้งานเจ้าทำภารกิจนี้ไม่ได้แล้ว”“ไม่นะ!
“เจ้า…เจ้า”แต่เมื่อโม่ชิงเซียนหันไปมององครักษ์สกุลโม่ของนาง ซึ่งทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับหลิ่วอวิ๋นซี ตลอดทางนางทำได้แค่กรีดร้องและเรียกให้คนช่วยอารักขา ทั้ง ๆ ที่ไร้ความสามารถแต่กลับอยากจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ คุณชายโม่เองก็เตือนนางแล้ว แต่ก็ยังดื้อดึงจะเข้าร่วม“คุณหนู ทางข้างหน้าเหมือนจะยังมีกลไกอยู่…”“พวกท่านหลบไปก่อน พอข้าให้สัญญาณก็ใช้ตัวแนบเข้าไปกับต้นไม้ให้ชิดที่สุด เข็มของข้าจะเข้าไปทำลายกลไกของเกาทัณฑ์นั่น”""ขอรับ""น่าแปลกที่คนของสกุลโม่เชื่อใจนางทั้ง ๆ ที่พึ่งได้พบกัน คงเป็นเพราะชื่อเสียงของหลิ่วอวิ๋นซี ซึ่งเป็นองครักษ์ข้างกายของหลิงอ๋องแห่งหลิงโจวนั่นเอง โม่หยางรู้สึกทั้งเลื่อมใสและยิ่งชื่นชมนางมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่ได้พบและสัมผัสกับความจริงใจนี้ด้วยตาของตัวเอง“ซ้ายสี่… ขวา สี่… ไม่สิ ยังมีตรงนั้น เป็นห้า ทั้งหมดเก้า”“พวกท่านอย่าขยับ หากเดินอีกก้าวเดียวกลไกจะทำงานทันที”ทั้งหมดหยุดนิ่งอยู่กับที่ตามที่นางบอก อวิ๋นซีนิ่งและหลับตาเพื่อฟังเสียงพร้อมกับเริ่มนับ“สาม….”“สอง…”ทั้งหมดกำหมัดแน่นเพื่อรอสัญญาณ แม้แต่โม่ชิงเซียนก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย นางหันไปมองยังพุ่มไม้ข
เมื่อพวกเขาได้หัวใจและเลือดมาพอแล้ว ก็เริ่มได้ยินเสียงพลุไม่ต่ำกว่าสามครั้ง ทั้งสามเดินออกมาจากบริเวณป่าหลังจากได้ยินเสียงเห่าหอนของหมาป่าที่เรียกรวมฝูง ไม่นานก็ออกมาที่ชายป่าก่อนจะถึงทางขึ้นเขา ซึ่งเป็นเขาวงกตป่าทึบตรงหน้า“เสี่ยวอวี้! เหตุใดจึงเป็นเจ้า พี่แปดเล่า”“ทูลท่านอ๋องทั้งสอง หลันอ๋องให้ข้ามารอพวกท่านและแจ้งข่าวว่ามีคนบุกซุ่มอยู่ทางทิศใต้และตะวันออกของป่า บัดนี้กำลังกระจายกำลังออกไป หลันอ๋องจึงไปทางตะวันตก ให้กระหม่อมมารอแจ้งพวกพระองค์ที่นี่”“คงไม่พาเราออกจากการแข่งขันหรอกใช่หรือไม่”“อวิ๋นซี เจ้าก็เห็นว่าเสี่ยวอวี้มาด้วยตัวเองเช่นนี้ นั่นย่อมแสดงว่าพี่สามต้องการสั่งให้เจ้าออกจากการแข่งขัน”“ไม่มีทางข้ายังไปไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ หากพวกท่านจะออกก็ออกไปก่อนได้เลย ข้าจะไปต่อเอง”“แต่ว่าคุณหนูหลิ่ว หนทางข้างหน้าอันตรายมาก แม้แต่องครักษ์หอหรงเยว่ก็ยังไม่สามารถดูได้ทั่ว ตอนนี้ผู้เข้าแข่งขันเหลืออยู่ไม่มากแล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย”“แต่ว่า!”“ปล่อยนางเข้าไปเถอะ เรื่องข้างนอกพวกข้าจัดการเอง”“แต่ข้าจะทูลท่านอ๋องเช่นไร”“ท่านก็ทูลท่านอ๋องของท่านตามตรง ว่าข้าทำร้
“หยกน้ำค้างเหมันต์งั้นหรือ นั่นมันเป็นของล้ำค่าที่หายากมาก ๆ เชียวนะ เป็นทั้งยาถอนพิษร้ายแรง หากนำมาหลอมเข้ากับอาวุธก็จะสามารถเพิ่มความแข็งแรงทนทานให้กับอาวุธในมือได้ไม่ต่างกับเหล็กไหล ถือเป็นยอดศาสตราวุธ”“คิดไม่ถึงเลยว่ารางวัลในปีนี้จะยอดเยี่ยมเพียงนี้ ก็ดี หากได้มาทำยาก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อใต้หล้า”“พี่ห้าแต่ข้าอยากนำมาทำอาวุธเสริมให้กองทัพ ข้าคิดว่ามันจะยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ พี่สะใภ้หากเจ้าชนะจะนำมาทำสิ่งใด”“ข้า… จะนำมาทำเข็มพิษปลิดเซียน”""เข็มพิษปลิดเซียน""“นี่อวิ๋นซีมันไม่ฟังน่ากลัวไปหรอกหรือ เดิมทีเข็มพิษวารีของอาจารย์ไป๋ก็เป็นที่หนึ่งใต้หล้าอยู่แล้ว เจ้ายังอยากจะทำเข็มพิษนี้ขึ้นมาอีกงั้นหรือ”“ตงอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว เข็มพิษที่ข้าจะทำเป็นเข็มที่มีทั้งพิษและช่วยถอนพิษต่างหาก เอาล่ะไม่พูดมากแล้ว พวกเราเริ่มได้หรือยัง”ว่านกงกงหันมายิ้มให้กับผู้เข้าแข่งขันที่เริ่มลังเลในตอนแรก แต่เมื่อรู้ว่ารางวัลในการแข่งขันนี้คือสิ่งใด ก็เริ่มมีคนเดินมาเอาถุงผ้ามากขึ้น ว่านกงกงรอจนทุกอย่างนิ่งแล้วจึงได้ประกาศออกไป “ผู้กล้าทั้งหลาย พวกท่านมีเวลาเตรียมตัวหนึ่งก้านธูป รอเสียงกลองสัญญาณก็เดินทางเข้
โม่หยางหันมามองสีหน้าที่ดูราวกับคนไร้สติของน้องสาว ก็เริ่มรู้สึกไม่ดี “ข้าจะเรียกท่านหมอมาตรวจให้เจ้า ดูว่ายังต้องดื่มยาอะไรเพื่อช่วยได้บ้าง”“พี่ใหญ่! เมื่อครู่นี้ท่านไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยงั้นหรือ”โม่หยางกำลังจะเดินออกไปจากห้องของนาง เขาถอนหายใจยาวอีกครั้งและหันกลับมามองน้องสาวของตัวเอง“เซียนเอ๋อร์ หากว่าพี่ต้องทำเรื่องต่ำทรามเช่นนั้น ก็คงได้ขึ้นชื่อว่าไร้คุณธรรม อีกอย่างข้าแค่ชื่นชมนางแต่ไม่เคยคิดอยากจะครอบครอง”“ท่านพี่ขี้ขลาด! สตรีที่ท่านชอบแต่เหตุใดจึงไม่คิดที่จะแย่งชิงมาเป็นของตัวเอง”“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่านั่นคือความรักที่แท้จริง เซียนเอ๋อร์สิ่งที่เจ้าทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อท่านอ๋องมาตลอดหลายปีนี้ ข้าขอถามสักหน่อยว่าไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเลยหรือ”“ข้าไม่เหนื่อย! ผู้ใดในหลิงโจวต่างก็รู้ว่าข้าเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาของท่านอ๋องมากกว่าผู้ใด ข้าเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีขุนนางชั้นเอก พี่ชายเป็นถึงรองเจ้ากรม…”“พอเถอะเจ้าเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว หากว่าท่านอ๋องมีใจชอบพอเจ้าจริง ๆ คงไม่รอเวลาจนล่วงเลยมาเกือบสองหนาวหลังเจ้าปักปิ่นแล้วเช่นนี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะสู่ขอ เจ้ายังจะคาดหวังอีกหรือ”“ท
ท่านอ๋องหันไปมองหลิ่วอวิ๋นซี ที่ยืนจ้องมองโม่ชิงเซียนที่น้ำตาเริ่มไหลออกมา เพราะความเจ็บปวดของเส้นเสียงที่เริ่มถูกเล่นงาน โดยเข็มพิษวารีที่มีฤทธิ์เย็น“ช่างเป็นการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งนัก”“ปึก!”เฉินเฟิ่งเซียวกดสกัดจุดที่ท้ายทอยของโม่ชิงเซียนเอาไว้ เพื่อมิให้นางเจ็บปวดเป็นการชั่วคราว เขามิอาจช่วยนางได้เพราะมิใช่เจ้าของพิษ ทำได้แค่บรรเทาอาการลงให้ชั่วคราวเท่านั้น“โม่ชิงเซียนเจ้าฟังข้าให้ดี เรื่องที่เจ้านำมาบอกข้าในวันนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้ารู้ทั้งหมดแล้ว”“เฮือก!”ท่าทางของโม่ชิงเซียนนึกอยากจะเถียงแต่กลับไร้คำพูด มีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวเท่านั้นที่แสดงออกว่านางไม่เชื่อ และอยากให้ท่านอ๋องไม่เชื่อด้วยเช่นกัน“ก็ยังดื้อดึงเช่นเดิม เรื่องที่เจ้าแอบสืบเป็นสิ่งที่พวกข้าล้วนรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว อีกอย่างเรื่องภายในราชสำนักเหตุใดบุตรีขุนนางเช่นเจ้าจึงให้ความสนใจนัก”“นางมิได้สนใจเรื่องในราชสำนักอะไรนั่นหรอก ท่านคิดดี ๆ หน่อย ที่นางสนใจเรื่องของท่านต่างหาก จงใจมาพูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้ท่านสั่งประหารข้าฐานหลอกลวงเบื้องสูง ที่แท้ก็แค่อยากจำกัดข้าแต่ไม่กล้าทำเอง ขี้ขลาดยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก”ท่านอ
เฟิ่งเซียวตกใจจนพัดหลุดออกจากมือ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาจึงรีบหยิบขึ้นมา สีหน้าของโม่ชิงเซียนที่โกรธจัดจนเดินเข้ามาเพื่อหวังทำร้ายอวิ๋นซีก็ถูกท่านอ๋องป้องกันเอาไว้“ท่านอ๋อง!”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดเข้ามาถึงห้องนี้โดยมิได้รับอนุญาต อยากให้ข้าสั่งลงโทษเจ้างั้นหรือ อย่าคิดว่ามีบิดาเป็นเสนาบดีเก่าแก่ของราชสำนัก แล้วเจ้าจะทำเหิมเกริมต่อหน้าข้าได้นะ”“หม่อมฉัน… มิบังอาจเพคะ”“เจ้าบังอาจ! บังอาจเข้ามาในเขตพระราชฐานทั้ง ๆ ที่ไม่มีคำสั่ง บังอาจเข้ามาถึงห้องทำงานของข้า และยังบังอาจที่สุดที่คิดจะทำร้ายคนของข้า ต่อหน้าข้า ทหาร!”“ช้าก่อนเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้มีเจตนาไม่ดีเพียงแต่วันนี้ติดตามท่านพ่อเข้าวังจึงมาเข้าเฝ้า อีกอย่างจะทรงตรัสเช่นนั้นหาได้ไม่ เพราะพระองค์เป็นคนอนุญาตในเทียบที่หม่อมฉันส่งมาครั้งก่อนด้วยพระองค์เอง”อวิ๋นซีหันมามองหน้าท่านอ๋องที่กลอกตาไปมา นี่เขาคงพลาดอะไรไปสินะถึงได้ไม่ทันอ่านฎีกาทั้งหมดนั่น เพราะวันที่เขากับอวิ๋นซีต่อสู้กันจนห้องทรงงานพังไปรอบหนึ่ง เขาก็เป็นคนแจ้งกับเสี่ยวอวี้เองว่าอนุญาตฎีกาทั้งหมด ซึ่งไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีคำขอเข้าเฝ้าของโม่ชิงเซียนด้วย“เช่นน
อวิ๋นซีก้มหน้าและยิ้มออกมา ท่านอ๋องคว้าร่างบางเข้าไปและจับนางเชยคางขึ้นเพื่อรับจุมพิตวาบหวามอีกครั้ง อวิ๋นซีแทบจะล่องลอยไปกับรสสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้ไม่รู้จบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่พึ่งผ่านสงครามรักที่ดุเดือดมาเกือบครึ่งวัน“พอเถิดเพคะ หายใจไม่ออกแล้ว”“กลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปหาน้องเก้าจัดการเรื่องที่เหลือให้เจ้า”“ขอบพระทัยเพคะ”“ไม่เป็นไร เพราะเจ้าต้องจ่ายค่าสืบเรื่องนี้ให้ข้าแพงแน่นอน”“แต่ท่านบอกว่าเงื่อนไขของพวกเรา…อ๊ะ!”ท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง เขาใช้สันจมูกก้มลงคลอเคลียปลายจมูกเชิดเล็กของนางราวกับหยอกล้อ“นั่นมันก่อนที่พวกเราจะทำเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้ต้องผูกขาเจ้าเอาไว้ข้าก็จะทำ กลับไปรอที่ตำหนักแล้วอย่าลืมรอกินข้าวกับข้าด้วย”“เผด็จการ”“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าเป็นเช่นนี้เองนะซีเอ๋อร์ โทษข้าไม่ได้รีบไปก่อนที่จะทนไม่ไหวและไม่ปล่อยเจ้าออกจากหอตำรา”“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”อวิ๋นซีรีบดันตัวเขาออกและวิ่งลงมาจากชั้นสองด้วยความรวดเร็ว หากนางขืนยังชักช้ากว่านี้ เกรงว่าจะมิได้เดินออกจากหอตำราแห่งนี้ก่อนตะวันตกดินเป็นแน่ เพราะสายตาและเสียงกระซิบแผ่วเบานั่นไม่ได้มีวี่แววว่าจ
อวิ๋นซีเองก็มิได้อยากจะทนแล้วเช่นกัน นางเองก็อยากปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม ๆ กับเขา “กอดข้าเถิดเพคะ”“คนดีของข้า เช่นนั้นข้าจะถอดผ้านี้ออก จากนี้เจ้าจะได้ไม่ลืมว่าข้า “รัก” เจ้ามากเพียงใด"ท่านอ๋องดึงผ้าผูกตาของนางออกและดึงนางขึ้นมาจูบ อวิ๋นซีตะลึงกับรูปร่างของบุรุษหนุ่มที่เปลือยเปล่าตรงหน้า แม้ว่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามเสียยิ่งนัก “อือ… ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ!”“หากว่าเจ้าเจ็บก็บอกข้า แต่ข้าจะไม่หยุดให้หรอกนะ เพียงแค่จะค่อย ๆ พาเจ้าเดินไปจนสุดทางเท่านั้น”“ผู้ใดจะไม่ไหวก่อนกันยังไม่รู้เลย อย่าพึ่งมั่นใจในตัวเองนักสิเพคะ”“เจ้ามันร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”จุมพิตหวานถูกป้อนไปนับไม่ถ้วน ท่านอ๋องค่อย ๆ กรีดกรายและขยับเรียวขาเล็กของนางออกเพื่อเปิดทางให้ตัวตนของเขาได้เข้าไป เพียงหัวของมังกรยักษ์ที่ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไป อวิ๋นซีก็รีบจิกเล็บลงที่ลำแขนล่ำของเขาทันทีเพราะความคับแน่นและอึดอัดกำลังเล่นงานนาง แต่อวิ๋นซีกลับไม่ร้องเลยสักคำ“ซีเอ๋อร์ ยังไหวอยู่หรือไม่ อาา…แน่นมากเลยให้ตายเถอะ”“ไม่เป็นไรเพคะ อื้อ…ท่านอ๋อง!”เพียงแค่นางเรียกร้อง เขาจึงตัดสินใจกระแทกซ้ำเข้าไปในค
Komen