หยางฉิงยิ้มเย็นในใจ ‘สิ่งที่ข้าทำไว้คงออกฤทธิ์แล้วสินะ’ นางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านแม่กล่าวหาอะไรข้ากัน? คนที่ควรจ่ายเงินควรเป็นท่านแม่มากกว่า เพราะลูกสาวสุดที่รักของท่านแม่มาทำร้ายข้าถึงหน้าบ้าน จนปากข้ามีเลือดออก หน้าข้าก็มีรอยแดงจากนิ้วมือของลูกท่าน ชาวบ้านทุกคนเห็นกันทั่ว ว่าใครเป็นฝ่ายถูกกระทำ”
จางเฟิงโต้กลับด้วยความโมโห “เจ้าเป็นลูกสะใภ้ ไม่ว่าลูกหรือครอบครัวแม่สามีจะทำอะไรกับเจ้าก็ได้ทั้งนั้น! ตั้งแต่วันที่ลูกข้าตบตีกับเจ้า นางก็เจ็บท้องอย่างหนัก! ถ้าไม่ใช่เจ้าทำ แล้วใครจะทำ!” หลี่เซิงที่ฟังสองคนทะเลาะกัน รู้สึกปวดหัวหนักขึ้น เขาคิดในใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เป็นแบบนี้ ทั้งที่เขายอมแยกบ้าน ยอมยกเงินทั้งหมดที่เขามีให้แม่ เพื่อแลกกับที่ดินผืนนี้เพียงอย่างเดียว และเขาก็ไม่เคยไปรบกวนบ้านหลักเลยแม้แต่ครั้งเดียว “ท่านแม่มาที่นี่ ท่านพ่อรู้หรือไม่? ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูชาวบ้าน ท่านแม่คิดว่าจะหาใครมาแต่งงานให้พี่หลี่เจิงได้อีกหรือ? ท่านแม่ลองคิดดูให้ดี ถ้าไม่อยากโดนท่านพ่อว่า” เขาเอาท่านพ่อมาอ้าง เพราะรู้ว่าท่านแม่กลัวท่านพ่อที่สุด จางเฟิงได้ฟังที่หลี่เซิงพูด นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าชาวบ้านรู้ คนที่นางหาให้แต่งกับลูกสาวต้องไม่แต่งแน่ ถ้าหลี่เจิงไม่ได้แต่งกับคนนี้ พ่อของนางจะจับนางแต่งงานกับพ่อม่าย จางเฟิงยืนกำมือแน่น ตาของนางเบิกโพลงด้วยความโกรธ “หึย!” นางโมโหมากที่ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ “จำไว้ ต่อไปนี้ถ้าพวกเจ้าจะเป็นจะตายก็ไม่ต้องมาเรียกข้า!” จางเฟิงพูดจบกำลังจะเดินออกไป ยังไม่ทันพ้นประตูดี นางก็ได้ยินเสียงดังไล่หลังมา “ข้าจะเป็นจะตาย ท่านแม่เคยสนใจข้าด้วยหรือ? ต่อจากนี้ท่านแม่ก็อย่ามาที่นี่อีกเลย ถือว่าลูกชายคนนี้ของท่านตายไปเสียเถอะ!” จางเฟิงได้ยินเสียงของหลี่เซิง นางหยุดเท้าที่กำลังเดินด้วยใจที่รู้สึกสับสน แต่เพียงครู่เดียว นางก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองทั้งสองคนอีก หยางฉิงเห็นบรรยากาศเศร้าหมองของครอบครัวหลี่เซิง นางรู้สึกสงสารเขา แต่ทันทีที่นางหันไปเห็นบาดแผลของหลี่เซิงที่มีเลือดไหลออกมา นางรีบพูดขึ้น “ท่านทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไมไม่ระวังตัวเองเสียบ้าง! ข้าจะไปเอายามาทำแผลให้ท่าน ส่วนเรื่องที่ท่านแม่พูดก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” นางพูดจบก็เดินออกจากห้องไป หลังจากหยางฉิงเดินออกไป หลี่เซิงก็นั่งนิ่ง จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ‘อย่างที่นางบอก เขาควรปล่อยวางได้แล้ว ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง’ หยางฉิงกลับไปที่คอนโด หยิบสิ่งของที่ใช้ทำแผลออกมา แม้รูปลักษณ์ของมันจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าให้แผลของเขาติดเชื้อ นางได้เตรียมอุปกรณ์มาครบแล้ว จากนั้นจึงเดินกลับไปยังห้องของหลี่เซิง “ข้ามาแล้ว ท่านเจ็บแผลหรือไม่?” หยางฉิงนั่งลงข้างเตียง แกะผ้าพันแผลออกจนหมด เมื่อเห็นว่าเลือดไหลออกมาไม่มาก นางก็โล่งใจ “ยังดีที่แผลของท่านไม่เป็นอะไรมาก เลือดก็ออกไม่เยอะ แถมรอบ ๆ บาดแผลก็ยุบลงแล้ว แสดงว่ายาที่ท่านหมอให้มานั้นเห็นผลดี” นางก้มหน้าทำแผล พร้อมอธิบายให้เขาฟัง หลี่เซิงนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง เขามองดูท่าทางเอาใจใส่ของนางแล้วรู้สึกดีกับนางมากขึ้นไปอีก เขาคิดว่า หากขาเขาเดินได้ เขาคงปกป้องนางได้มากกว่านี้ “ข้าจะล้างแผล อาจจะแสบนิดหน่อยนะ” หยางฉิงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดรอบ ๆ บาดแผล จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดซ้ำอีกครั้ง นางไม่ได้ใส่ยา เพราะต้องรอให้บาดแผลติดกันดีก่อน จากนั้นจึงพันแผลที่ขาเขาจนเสร็จ “ข้าทำแผลเสร็จแล้วนะ ระวังแค่อย่าให้โดนน้ำก็พอ” นางพูดพร้อมเงยหน้ามองหลี่เซิง และสบตาเขาพอดี นางรู้สึกเหมือนเขาสังเกตนางอยู่ตลอด นางทำตัวไม่ถูก หน้านางร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ข้าไปทำอาหารให้ท่านกินดีกว่า” นางรีบเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาเขา ไม่รอให้เขาตอบ นางรีบเดินออกจากห้องทันที เมื่อมาถึงคอนโด นางเอามือจับที่หัวใจตัวเอง ‘ทำไมถึงได้เต้นเร็วขนาดนี้กันเนี่ย’ นางคิดในใจ อาจจะเพราะตกใจจึงเป็นเช่นนั้น หยางฉิงยกมือเรียวตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนจะจัดอุปกรณ์ทำแผลให้เรียบร้อย วันนี้นางตั้งใจทำอาหารปลอบใจหลี่เซิง นางเปิดตู้เย็น พบเส้นก๋วยเตี๋ยวสองถุงที่ยังไม่ได้กิน นางเทน้ำซุปลงหม้อ ตั้งไฟให้เดือด แล้วใส่เส้นบะหมี่ขาวลงในถ้วย พอน้ำซุปเดือด นางเทมันลงบนเส้นที่เตรียมไว้ จากนั้นต้มไข่สี่ฟอง โดยให้ไข่ข้างในยังไม่สุกดี นางผ่าไข่เป็นสองซีก จัดใส่จานอย่างสวยงาม เติมหมูชิ้นเพิ่มเข้าไป เพราะนางเชื่อว่าการกินของอร่อยจะช่วยให้คนสบายใจขึ้น ‘ฝีมือของเราก็ดูน่ากินเหมือนกันนะเนี่ย’ หลี่เซิงกินคงทำให้อารมณ์ดีขึ้น เตรียมของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยางฉิงก็นำถ้วยก๋วยเตี๋ยวของหลี่เซิงไปให้ถึงในห้องนอน หลี่เซิงตอนนี้ดูดีขึ้นมาก หลังจากได้ฟังคำพูดปลอบใจของหยางฉิง กลิ่นหอมจากอาหารลอยเข้ามาถึงหน้าประตูห้อง เขาสงสัยว่าวันนี้นางทำอะไรมาให้กิน เพราะกลิ่นหอมน่าลิ้มลองยิ่งนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารฝีมือของนางอร่อยทุกอย่าง หยางฉิงเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้ามา ในมือของนางถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวขนาดใหญ่ที่หามาได้จากในครัว “ข้ามาแล้ว ท่านหิวมากหรือไม่ วันนี้ข้าทำอาหารสุดฝีมือเลยนะ เขาว่าการกินอาหารอร่อยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ท่านลองกินดูสิว่าอร่อยหรือยังขาดอะไรอีกหรือเปล่า” นางวางถ้วยอาหารไว้บนโต๊ะเล็กข้างตัวเขา หลี่เซิงมองถ้วยอาหารในมือของนาง มันเป็นหมี่น้ำ แต่หน้าตาดูแตกต่างจากที่เขาเคยกิน ด้านบนมีทั้งเนื้อและไข่ ดูน่ากินจนอดไม่ได้ที่จะลองชิม เขาตักก๋วยเตี๋ยวขึ้นมากิน พร้อมกับสายตาที่เหลือบมองหยางฉิงซึ่งจ้องเขาอยู่ไม่ห่าง “ของเจ้าไม่มีหรือ?” เขาไม่ชอบให้ใครมานั่งจ้องตอนเขากินแบบนี้ “ของข้าก็มีเหมือนกัน” นางตอบพร้อมรอยยิ้ม “แต่ข้าก็แค่อยากรู้ว่าท่านกินแล้วถูกใจหรือไม่” “ถ้าเจ้าคอยมองข้ากินเช่นนี้ ข้าก็คงไม่กล้ากิน ถ้าอย่างไร เจ้าก็เอาอาหารของเจ้ามากินพร้อมข้าดีกว่า” เขาพูดพลางรู้สึกเกือบหลุดปากว่าเหงา “ข้ามากินพร้อมท่านได้หรือ? ท่านกินคนเดียวคงจะไม่อร่อยสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเอาของข้ามากินด้วย” หยางฉิงเดินกลับไปในครัว หยิบถ้วยก๋วยเตี๋ยวของนาง และนำจานใส่พริกกับน้ำตาลติดมือมาด้วย “ข้ามาแล้ว ท่านชอบกินรสเผ็ดไหม?” นางถามด้วยความตื่นเต้น เพราะนางเป็นคนชอบกินเผ็ดหยางฉิงลอบยกมือลูบอกตัวเอง ‘ผ่านไปอีกเรื่องแล้ว…’หลังจากวันที่นางกับหลี่เซิงได้ลองกินมะพร้าว เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าครึ่งเดือนด้วยพลังวิเศษของนาง ต้นมะพร้าวที่ปลูกไว้ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนออกลูก และเริ่มผลิดหน่อ นางจ้างชาวบ้านหลายคนให้มาช่วยขุดดินเป็นร่องลึกระหว่างพื้นสองข้าง จากนั้นปล่อยให้น้ำจากลำธารไหลผ่านเข้ามานางทำร่องปลูกมะพร้าวทั้งหมดสามแถว แต่ละแถวมีสิบห้าต้น รวมกับแนวที่ปลูกริมลำธาร ทำให้ตอนนี้นางมีต้นมะพร้าวเกือบห้าสิบต้นภายในเวลาอันสั้น‘เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ’นางรู้ดีว่าอีกไม่นาน ชาวบ้านจะต้องสังเกตเห็นและเริ่มปลูกตามแน่นอน แต่นางต้องหาทางทำให้มะพร้าวของนางมีเอกลักษณ์แตกต่างจากคนอื่นให้ได้ ไม่เช่นนั้น รายได้ของนางจะลดลง นางจึงใช้ความสามารถจากมือวิเศษทำให้ต้นมะพร้าวแต่ละต้นมีสรรพคุณแตกต่างจากที่อื่นสวนมะพร้าวที่นางปลูกนั้นมีสรรพคุณพิเศษที่ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้า และช่วยฟื้นฟูร่างกายจากโรคเรื้อรังเมื่อรับประทานเป็นประจำ นอกจากนี้ หากใครที่นอนไม่หลับ ได้ลองดื่มน้ำมะพร้าวของนางเข้าไปก็จะหลับสบายตลอดคืน‘ความแตกต่างนี้ ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้อย่างแน่นอน’แม้จะม
“ใช่แล้ว นี่คือความสามารถของข้า ข้าเก็บของไว้ในนั้น และสิ่งที่เก็บเข้าไปจะยังคงสภาพเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ตอนที่ข้าไปขายแตงโม ข้าก็เก็บมันบางส่วนเอาไว้ในมิติเช่นกัน มันช่วยให้เราขนของได้สะดวกขึ้นมาก”นางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ที่ข้าบอกเรื่องนี้กับท่าน เพราะท่านเป็นสามีของข้า ข้ายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำในอนาคต หากท่านรู้เรื่องเหล่านี้ไว้ ก็จะสามารถช่วยข้าได้อีกแรง”หลี่เซิงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเข้าใจแล้ว และข้าขอบคุณเจ้าที่ไว้ใจบอกข้า ความจริงเจ้าไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้กับข้าก็ได้ แต่เจ้าก็เลือกจะบอก...แสดงว่าข้าคงเป็นคนที่เจ้าไว้ใจในระดับหนึ่งใช่หรือไม่?”เขาเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า หากเขาพยายาม เขาต้องทำให้นางเชื่อใจและรักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขได้แน่“ใช่แล้ว” หยางฉิงยิ้ม “ท่านอย่าทำให้ความไว้ใจของข้าสูญเปล่าก็แล้วกัน”นางเหลือบมองไปทางต้นมะพร้าวที่เธอเพิ่งเร่งการเติบโต มันดูเหมือนจะหยุดโตที่ระดับนี้แล้ว ซึ่งก็ดีต่อความต้องการของนาง ถ้าเธอเดาไม่ผิด มะพร้าวชนิดนี้ต้องเป็น มะพร้าวน้ำหอม อย่างแน่นอน และนางจะต้องหาเงินจากสิ่งนี้ให้ได้…“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ?” ห
‘กำแพงบ้านช่างสูงสมใจข้าจริง ๆ’ นางคิดในใจอย่างพอใจ รอเวลาผ่านไปช่างก็จัดการเรื่องทุกอย่างที่นางต้องการจนเสร็จเรียบร้อย และได้กลับบ้านของพวกเขาไป…เมื่อทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่นางต้องการ หยางฉิงคิดว่าถึงเวลาต้องบอกหลี่เซิงให้รับรู้ถึงความสามารถของนางเสียที หรืออาจบอกเรื่องมิติของนางไปเลย อย่างน้อย เวลาเอาของเข้าไปขายในเมืองจะได้ไม่เป็นที่สะดุดตาจนเกินไปนางจึงตัดสินใจจะบอกเขาเรื่องมิติหยางฉิงเดินเข้าไปหาหลี่เซิงที่กำลังตรวจสอบลำธาร "ท่านทำอะไรอยู่?"นางมองเขาที่กำลังตรวจดูความเรียบร้อยของพื้นที่บริเวณนั้น หลังจากขาของเขาหายดีแล้ว เขาก็สามารถเดินได้เป็นปกติ และเมื่อยืนเต็มความสูง ร่างของเขาก็ดูสูงใหญ่มาก จนนางต้องเงยหน้าพูดคุยกับเขาจนปวดคอ นางไม่ได้เป็นคนเตี้ยหรือไม่สูง แต่เพราะหลี่เซิงสูงเกินไปต่างหากหลี่เซิงหันไปมองหยางฉิงที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ "ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทำอะไร เจ้าคิดจะทำสิ่งใดต่อไปหรือไม่?" เขาถาม เพราะมั่นใจว่านางคงมีแผนการอะไรบางอย่าง จึงให้ช่างสร้างรั้วบ้านสูงถึงเพียงนี้“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องห่วง ข้าคิดไว้อยู่แล้ว” นางยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “แต่ตอนนี้
ทางด้านจวนเสนาบดีกรมการคลังเวลาล่วงเลยมากว่าสัปดาห์แล้ว ตามกำหนดที่บุตรสาวของเขาเคยบอกไว้ อาการของนางยิ่งทรุดหนักลง ไม่ว่าตามหาหมอจากที่ใดก็ไม่สามารถรักษาได้หม่าฉินเหยานอนงอตัวอยู่บนเตียง ร่างกายซูบผอมจนไม่เหลือเค้าโครงของหญิงงามผู้เคยเป็นที่เลื่องลือ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านฉิงอ๋องยังประกาศถอนหมั้นไปแล้ว แม้บิดามารดาจะพยายามตามหาหมอมาเยียวยา แต่แม้แต่หมอหลวงก็ทำได้เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น จนถึงตอนนี้ ต่อให้ใช้ยาใดรักษา อาการของนางก็ไม่อาจทุเลาได้อีกหม่าฉินเหยานอนจ้องเพดาน สายตาเหม่อลอย นางคิดถึงวันที่ได้พบกับหญิงผู้นั้น... ถ้าหากวันนั้นนางไม่คิดจะทำร้ายอีกฝ่าย ป่านนี้นางอาจไม่ต้องทนทรมานถึงเพียงนี้‘ทำไมข้าต้องมาเผชิญชะตากรรมเลวร้ายเช่นนี้ด้วย?’สายตาของนางเหลือบไปเห็นบิดามารดาที่ยืนอยู่ข้างเตียง บนใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางรู้สึกเวทนาตัวเองยิ่งนัก นางไม่อยากตายเช่นนี้! ถ้าหมอหญิงนั่นยอมรักษานาง ป่านนี้นางคงได้แต่งงานกับฉิงอ๋องไปแล้ว! ทุกอย่างเป็นเพราะนาง!“ท่านพ่อ... หากลูกเป็นอะไรไป ท่านต้องตามหาหญิงผู้นั้นมาให้ได้! ต้องให้นางเอาเลือดมาล้างหลุมศพของลูก!” หม่าฉินเหยากล่าว
“ใครอยู่หน้าห้อง?” หยางฉิงร้องถามหลี่เซิงได้ยินจึงรีบตอบ “ข้าเอง...หลี่เซิง”นางขมวดคิ้ว ‘หลี่เซิงมาเคาะประตูห้องนางทำไม? หรือว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ?’ ด้วยความสงสัย นางจึงเดินไปเปิดประตู แล้วพบเขายืนอยู่หน้าห้องในสภาพที่อุ้มหมอนกับผ้าห่มไว้แนบอก พร้อมกับทำสีหน้าสงสารเต็มที่“ท่านเป็นอะไร? มาเคาะห้องข้าทำไม?” นางถามพลางขมวดคิ้วหลี่เซิงไม่ได้คิดหาข้ออ้างมาก่อน จึงตอบออกไปตามที่ใจคิด “ข้าฝันร้ายมาก... ข้าขอนอนกับเจ้าได้หรือไม่?” เขาพูดพร้อมทำสีหน้าหวาดกลัวหยางฉิงสังเกตสีหน้าของเขา ดูแล้วเหมือนจะกลัวจริง ๆ หรือว่าเขาฝันร้ายมากจนไม่กล้านอนคนเดียว? นางหันไปมองเตียงของตน ซึ่งกว้างขวางพอจะแบ่งให้อีกคนได้ ‘แต่ก่อนเขาก็นอนอยู่ห้องนั้นมาตั้งนาน...’ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งหลี่เซิงมองสีหน้าของหยางฉิงที่เปลี่ยนไปมา จึงเพิ่มความน่าสงสารเข้าไปอีก “เมื่อก่อนข้านอนได้ แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร... ข้ารู้สึกแปลก ๆ ถ้ามีเจ้านอนอยู่ด้วย ข้าคงหลับได้สนิท” เขาก้มหน้าลง ซ่อนสายตาหลุกหลิก“...ก็ได้ ที่นอนของข้ากว้าง ท่านเข้ามานอนเถอะ” นางตอบในที่สุด ‘เขาเป็นสามีของข้า การนอนด้วยกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร’
นางเคยคิดจะทำพะโล้ให้หลี่เซิงกินสักครั้ง แต่เพราะตนเองทำอาหารไม่เก่งนัก นางจึงยังลังเลอยู่ แต่ก็น่าแปลก... ไม่ว่านางจะทำอะไรให้เขากิน เขาก็ดูจะกินได้อย่างเอร็ดอร่อยทุกครั้ง ทำให้นางไม่รู้สึกกดดันมากนัก“หยางฉิง ข้ากลับมาแล้ว!” เขามองเห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากในบ้าน นางต้องทำอาหารอยู่แน่เสียงของหลี่เซิงดังขึ้นจากหน้าบ้าน หยางฉิงเดินออกไปดู ‘เขาน่าจะกลับมาจากการล่าสัตว์แล้ว’หลี่เซิงนำไก่ที่จับมาได้ไปปล่อยไว้ที่เล้าเก่าหลังบ้าน กั้นคอกเอาไว้ไม่ให้มันออกมากินผักผลไม้ของภรรยาหยางฉิงเดินออกมาจากครัว เมื่อเห็นเขา นางก็รับไก่ที่ตายไปแล้วสองตัวจากมือเขามาเก็บไว้ในครัว“ท่านได้อะไรมาบ้างหรือ?” นางถามพลางยกน้ำมาให้เขาดื่ม“วันนี้ข้าเข้าป่า เอาแม่ไก่กลับมาให้เจ้าเลี้ยงสามตัว ส่วนตัวที่ตายแล้ว เอามาให้เจ้าทำอาหารสองตัว” เขาพูดพลางยื่นของที่เก็บมาให้ “ข้ายังเจอต้นไม้ที่มีกลิ่นเหมือนกับสิ่งเผ็ด ๆ ที่เจ้าให้ข้ากิน ข้าจึงถอนรากของมันมาให้เจ้า และของที่เจ้าให้หลี่อี้หาให้ ข้าก็เอามาด้วยทั้งหมด”หยางฉิงรับของมา นางเห็นว่าหนึ่งในนั้นคือต้นพริก และอีกอย่างคือลูกมะพร้าวสองลูก แม้ขนาดจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ดูสมบู
หลี่ชวนได้ยินทุกคำพูดของน้องชาย เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดถึงลูกชายที่ผอมแห้ง ภรรยาที่ร่างกายซูบซีด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะต้องก้มหน้าก้มตาทำงานหนักและถูกตำหนิเพียงใด นางก็ไม่เคยโต้ตอบ มีเพียงลูกชายของเขาเท่านั้นที่กล้าพูดออกมา เด็กน้อยไม่ยอมถูกเอาเปรียบ แต่เมื่อต้องเจอกับความอยุติธรรม เขาก็ไม่อาจช่วยเหลือลูกได้เลย...หลี่เซิงเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างทางต้องผ่านใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่หญิงชาวบ้านมักมาจับกลุ่มพูดคุยกัน ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เขาสังเกตเห็นชาวบ้านสามถึงสี่คนกำลังสนทนากันอยู่ แต่ไม่ได้สนใจนัก จึงเร่งฝีเท้าเดินต่อไปหญิงชาวบ้านที่นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ มองเห็นชายหนุ่มเดินผ่านมา พวกนางแปลกใจไม่น้อย เพราะชายผู้นี้คือหลี่เซิง ผู้ที่เคยนอนติดเตียงใกล้ตายเมื่อสองเดือนก่อน“นั่นหลี่เซิงไม่ใช่หรือ? ลูกชายของเจ้าหรือเปล่า จางเฟิง?” หนานจือเอ่ยถาม พลางเหลือบมองใบหน้าของจางเฟิง“ใช่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า? ข้าตัดขาดกับมันไปนานแล้ว” จางเฟิงตอบเสียงเย็นชา ไม่ต้องการพูดถึงลูกชายคนนี้อีก“เจ้าไม่เสียดายหรืออย่างไร? ดูเห
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนไปตามหาหมอที่รู้จักโรคที่ลูกบอกไว้ก่อนครบเจ็ดวัน เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าจะพบหญิงผู้นั้นหรือไม่ ก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว ถ้าลูกอยากจับตายนางก็ได้เช่นกัน” แม้เขาจะเป็นคนมีศิลธรรม แต่ถ้ามีใครมาทำร้ายลูกสาว เขาก็ไม่ปล่อยมันไป ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน หรือแม้แต่ผีสางนางไม้ก็เถอะหม่าฉินเหยาตาของนางเบิกกว้างอย่างคนที่เห็นความหวัง ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มออกบางๆ ‘อย่างที่ท่านพ่อบอก หญิงผู้นั้นก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว’ นางเช็ดน้ำตาและเริ่มให้คนออกตามหาหมอที่รักษาโรคตามชื่อที่นางบอกไป พร้อมทั้งสัญญาว่าจะมีรางวัลให้กับผู้ที่พบหมอคนนั้นหลี่เซิงเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยตั้งแต่จำความได้ เขาเดินลัดเลาะไปตามลำธารจนมาถึงบ้านของท่านลุงหลี่เสี่ย เมื่อมาถึงหน้ารั้วบ้านซึ่งสูงเพียงระดับเอวของเขา เขายืนมองเข้าไปภายในลานกว้าง เห็นท่านลุงหลี่เสี่ยกำลังนั่งทำงานอยู่ ไม่เพียงแต่ท่านลุงเท่านั้น เขายังมองเห็นคนงานชายอีกสองถึงสามคนที่กำลังช่วยกันทำงานอยู่หลี่เซิงเอ่ยเรียกจากหน้าบ้าน “ท่านลุงหลี่เสี่ย ข้าหลี่เซิงเอง”หลี่เสี่ย ซึ่งช่วงนี้ยุ่งมากกว่าปกติ ตั้งแต่วันที่ภรรยาของหลี่เซิงมาขอให้เขาช่วยทำ
“ดีแล้วที่ท่านหายดี ข้าดีใจด้วย” นางยิ้มให้เขา แต่แล้วก็ต้องรีบพูดต่อ“แต่ตอนนี้... ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่? ท่านกอดข้าแน่นเกินไปแล้ว” พูดพลางใช้มือดันตัวเขาออกเบา ๆหลี่เซิงเพิ่งรู้สึกตัว ‘นี่ข้าลืมตัวจนเผลอกอดนางไปหรือ?’“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เขาคลายอ้อมกอดออกอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะความรู้สึกที่ได้กอดนางนั้นช่างดีเหลือเกินหยางฉิงหน้าแดงขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงอ้อมกอดของเขา เธอกระแอมไอเบา ๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง“ท่านหายดีแล้วก็ดี แล้วตอนนี้ท่านหิวข้าวหรือไม่?”“ข้าเพิ่งตื่น ยังไม่ได้กินอะไรเลย” หลี่เซิงตอบ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้“ในเมื่อข้าหายดีแล้ว ข้าจะไปหาท่านน้าหลี่เสี่ยเพื่อพูดคุยเรื่องสร้างรั้วบ้านให้เจ้า ต่อไปนี้ ข้าจะช่วยเจ้าทำทุกอย่างเอง” เขายิ้มให้เธอด้วยความตั้งใจ“อืม... ท่านไปบอกเขาแทนข้าก็ได้” นางยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดู ก่อนจะเสริมต่อ“แต่ก่อนอื่น ท่านเข้าไปกินข้าวก่อนเถอะ ข้าทำไว้ให้ในครัวแล้ว” เห็นเขามีความสุข นางก็ไม่อยากขัดใจหลี่เซิงมองหยางฉิงอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่เกาะอยู่บนใบหน้าของนางออก ตอนนี้เขาอยากทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนนา