หลี่จงพยักหน้าช้า ๆ มองนางด้วยสายตาอบอุ่น “ดี ดี เจ้าคิดได้แบบนั้น ข้าก็ดีใจกับสามีของเจ้าด้วย เขาดูแลเจ้ามาตั้งมากมาย ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก เจ้าก็ต้องดูแลเขาให้มาก”
นางรับฟังที่ผู้ใหญ่พูดสั่งสอนนางมาด้วยความหวังดี “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งที่นางต้องการหรือไม่ ข้านรู้มาว่าพี่หลี่อี้ก็ขายของไปตามแคว้นต่าง ๆ มีของแปลกใหม่มาขายตลอด ท่านพอมีเมล็ดพันธุ์แปลก ๆ มาขายให้ข้าบ้างไหม” นางหันไปถามพี่หลี่อี้อีกครั้ง ไหน ๆ เขาก็อยู่ตรงนี้แล้ว นางจะได้ไม่เสียโอกาส “ข้าน่ะมีไม่เยอะหรอก ถ้าเจ้ากล้าอยากซื้อก็ถือว่าวันนี้เจ้ามีโชคดี เพราะหลี่อี้กำลังจะเดินทางออกไปค้าขายในคืนนี้” หลี่จงบอกสิ่งที่นางอยากรู้ นางลูบอกด้วยความยินดี “ถือเป็นโชคดีของข้าจริง ๆ แล้วพี่หลี่อี้ขายสิ่งใดบ้าง” “เจ้าก็อยากได้อะไรก็มีทั้งนั้น เจ้าลองไปดูบนรถเกวียนของข้าดีกว่า ถามซื้อเมล็ดจากพ่อของข้าไปก็คงไม่มีของที่เจ้าต้องการหรอก” “ถ้าไม่รบกวนพี่หลี่อี้มาก ข้าขอดูของที่ท่านเอาไปขายเสียหน่อย” หลี่อี้เดินนำหยางฉิงไปดูบนรถเกวียนที่เตรียมไว้ขายในวันพรุ่งนี้ “ข้าเห็นว่าเจ้ากลับตัวกลับใจแล้ว จึงยอมให้เจ้ามาดูของที่ข้าเตรียมไว้” หลี่อี้เดินไปที่กล่องสี่เหลี่ยมที่ถูกมัดไว้ ในกล่องไม้ที่หลี่อี้เปิดออกมา มีเมล็ดพันธุ์พืชหลากหลายชนิดบรรจุในห่อผ้าพร้อมชื่อเขียนไว้ด้วยลายพู่กันจีน หยางฉิงกวาดตามองด้วยความตื่นเต้น นางรู้ว่านี่จะเป็นก้าวแรกของนางในการเริ่มต้นชีวิตใหม่… “ทั้งหมดนี้คือเมล็ดพันธุ์ที่มีใช่ไหม พี่หลี่อี้?” หยางฉิงมองดูห่อเมล็ดต่าง ๆ พร้อมอ่านชื่อแต่ละชนิด มือของนางค้นหาสิ่งที่ต้องการทีละห่อ นางพบเมล็ดแตงกวา ผักบุ้ง แตงโม องุ่น เมล็ดท้อ และเมล็ดดอกบัว นอกจากนี้ยังมีเมล็ดดอกกุหลาบ ซึ่งนางอยากได้ทั้งหมด “เลือกของได้หรือยัง?” หลี่อี้ถามพร้อมมองหยางฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เขาไม่เคยเห็นนางในมุมนี้มาก่อน “ข้าเจอสิ่งที่ต้องการหลายอย่างเลย แต่ไม่รู้ว่าท่านขายเมล็ดพันธุ์พวกนี้ราคาเท่าไหร่” นางกังวลว่าเงินที่พกมาจะเพียงพอหรือไม่ “ข้าขายจินละหนึ่งก้วน ถ้าซื้อเป็นเหลียงก็หกอีแปะ เจ้าจะได้เท่าไหร่ล่ะ?” ราคาดูไม่แพงเกินไป นางจึงตอบไปว่า “ข้าจะเอาเมล็ดแตงกวา ผักบุ้ง องุ่น แตงโม ลำไย ดอกบัว ดอกกุหลาบ และดอกหอมหมื่นลี้ อย่างละหนึ่งเหลียง ข้าขอลองปลูกดูก่อน ถ้าปลูกได้ดี ข้าจะมาซื้อกับท่านอีก” นางพยายามประหยัดเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น เพราะเหลือเงินติดตัวไม่มากแล้ว “ได้ ข้าจะห่อของที่เจ้าต้องการให้ แล้วเขียนชื่อไว้บนผ้า เผื่อจะหยิบใช้งานได้สะดวก” หลี่อี้เริ่มหยิบจับเมล็ดพันธุ์ที่หยางฉิงเลือก มาชั่งและห่อใส่ผ้าดิบสีขาว “ขอบคุณพี่หลี่อี้มากเจ้าค่ะ ถ้าพี่เดินทางไปแคว้นต่าง ๆ แล้วพบผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีเปลือกแข็ง ด้านในมีเนื้อสีขาว และน้ำรสอร่อย ช่วยนำต้นอ่อนหรือลูกแก่ ๆ กลับมาให้ข้าได้ไหม?” “เจ้าหมายถึงต้นสูง ๆ มีสีเขียวกับน้ำตาลเวลาแก่ใช่หรือไม่? ข้าเคยเจอมันทางตอนใต้ของแคว้นหนาน ถ้าข้าไปถึงที่นั่นจะลองนำกลับมาให้” หลี่อี้ตอบพลางนึกถึงผลไม้นั้น ซึ่งเขาเคยนำมาขาย แต่ไม่มีใครรู้จักวิธีกินจึงเลิกนำมา ผลไม่ชนิดนั้นต้องปลูกในเมืองร้อนถึงจะขึ้น ไม่คิดว่าภรรยาของหลี่เซิงจะมีความรู้กว้างไกลเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านหลี่จงที่ยืนฟังอยู่ สงสัยเพราะไม่เคยรู้จักผลไม้ชนิดนี้มาก่อน “เจ้ากินผลไม้นั้นมาก่อนหรือ หยางฉิง?” “ข้าเคยกินตอนเด็ก พ่อของข้าเคยสอน” นางโกหกไปเพื่อไม่ให้ใครสงสัย ทั้งสองพยักหน้าเข้าใจ “เอาไว้เจ้าปลูกมันได้ ก็สอนวิธีกินให้คนในหมู่บ้านเราบ้าง” หลี่จงกล่าว แม้จะไม่คาดหวังอะไรมาก แต่หวังให้นางปลูกได้สำเร็จ แค่เพียงปลูกผักบุ้งต้นเดียวขึ้นเขาก็ดีใจมากแล้ว “นี่ของที่เจ้าต้องการ ราคาทั้งหมดสี่สิบแปดอีแปะ” หลี่อี้ส่งของให้นางพร้อมรับเงินหนึ่งก้วน และทอนเงินให้ห้าสิบสองอีแปะ หยางฉิงรับของพร้อมกล่าวลา “ข้ากลับก่อนนะท่านผู้ใหญ่บ้าน ยังต้องแวะเอายาให้หลี่เซิง ไม่อยากทิ้งเขาไว้นาน ๆ” “เจ้ารีบไปเถอะ อย่าให้สามีของเจ้าคอยนาน” หลี่จงตอบ นางกล่าวลากับครอบครัวผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง ขากลับนางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมล็ดพันธุ์ทั้งหลายที่นางซื้อมา นางโยนเอาไปเก็บไว้ที่คอนโดของนางทั้งหมด เงินที่เหลือก็ด้วย นางเก็บไว้ที่นั้นรู้สึกปลอดภัยมากกว่า นางเดินเร่งฝีเท้าไปบ้านหมอหลี่เทาและบอกเล่าอาการของหลี่เซิงให้ท่านหมอหลีเทาฟัง ท่านหมอจัดยาแบบใหม่ให้เอามาต้มให้หลี่เซิงกินอีกครั้ง หลังจากนั้นจ่ายค่ายาที่ติดค้างไว้ และรับยาสำหรับหลี่เซิงก่อนเดินกลับบ้าน ท่ามกลางแดดร้อนที่แผดเผา นางนึกอยากหยิบร่มจากคอนโดของตนออกมา แต่ก็ทำได้เพียงหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาดื่มให้พอมีแรงเดินต่อ เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางเห็นประตูบ้านถูกเปิดและล้มระเนระนาด เสียง “เพล้ง!” ดังมาจากข้างใน นางรีบวิ่งเข้าไปด้วยความกังวล... หยางฉิงรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความร้อนรน ภาพที่นางเห็นคือหญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังทำร้ายหลี่เซิง โดยที่เขาไม่ได้ตอบโต้กลับเลย “กำลังทำอะไรน่ะ!” นางร้องห้ามพร้อมกับเข้าไปดึงหญิงวัยกลางคนนั้นออกมา หญิงวัยกลางคนที่นางเห็นคือแม่สามีของนางเอง จางเฟิงสะบัดมือไปมาเพื่อให้หลุดจากการจับของลูกสะใภ้ “มาเสียทีนะ! เจ้ามันตัวซวยจริง ๆ! ตั้งแต่มีเจ้ามาเป็นลูกสะใภ้ ชีวิตของครอบครัวข้าถึงได้เป็นแบบนี้!” หยางฉิงมองแม่สามีที่ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่สามีถึงบุกมาที่บ้านนาง “ถ้าข้าเป็นตัวซวย แล้วท่านมาที่บ้านพวกข้าทำไม? หรือว่าท่านแม่จะมาขอโทษแทนพี่หลี่เจิงที่บุกเข้ามาทำร้ายข้า?” นางยิ้มให้แม่สามีอย่างไม่เกรงกลัว เพราะอีกฝ่ายไม่เคยทำดีกับนางเลย แล้วนางจะต้องยอมทำไม? “หลี่เซิง! เจ้าสั่งสอนเมียยังไง ทำไมมันถึงได้ปากกล้าเถียงข้าขนาดนี้! หรือว่าเจ้าให้ท้ายมัน!” จางเฟิงหันกลับไปด่าลูกชายที่นั่งอยู่บนเตียง หลี่เซิงนั่งสงบนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าว่าท่านแม่กลับไปเถอะ อย่าให้ข้าหมดความนับถือท่านไปมากกว่านี้เลย ท่านแม่ควรรู้ตัวว่าทำอะไรกับข้าบ้าง และตอนนี้ข้ากับหยางฉิงแยกบ้านออกมาเรียบร้อยแล้ว ข้าคิดว่าเราไม่เกี่ยวข้องกันอีก ตั้งแต่วันที่ท่านแม่จะปล่อยให้ข้าตายเพราะไม่ยอมให้หมอมารักษาข้า” จางเฟิงตวาดกลับทันที “เจ้าสองคนมันก็เหมือนกัน! แล้วข้าจะกลับบ้านได้ยังไง ในเมื่อเจ้ายังไม่จ่ายค่าหมอให้พี่สาวของเจ้าเลย! รู้ไหมว่าตอนนี้พี่สาวของเจ้าต้องนอนเจ็บปวดทรมานแค่ไหน! ทุกอย่างมันเป็นเพราะมัน!” นางชี้หน้าหยางฉิงอย่างเกลียดชังวันหนึ่ง นางเดินทอดน่องชมร้านดอกไม้ มีเพียงบ่าวรับใช้หนึ่งคนติดตามมาด้วย ขณะกำลังเพลิดเพลินกับดอกไม้ตรงหน้า นางก็เดินชนใครบางคนเข้าอย่างจังสายตาทั้งคู่สบกันหัวใจของหลี่หยูฟางพลันเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่นางจดจำได้ไม่ลืม เพียงแวบเดียว...นางรู้ทันทีว่าเขาคือใครทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยทัก เขาก็เบือนหน้าหนีแล้วรีบเดินจากไป‘เขาหนีข้าไปอีกแล้ว...’ นางคิดในใจด้วยความเจ็บปวด คราวนี้นางไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว นางเติบโตพอจะออกเรือนได้ด้วยซ้ำ...ฝ่ายชายหนุ่มเมื่อเหลือบเห็นสีหน้าผิดหวังของหญิงสาว ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ นางโตขึ้นมากจริง ๆ งดงามยิ่งนักผู้ติดตามที่คอยเฝ้าดูอยู่ข้างกายเขา ถึงกับไม่เชื่อสายตาตนเอง เมื่อนายท่านของเขาแย้มยิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ชายหนุ่มจึงหุบยิ้มลงทันที สายตาเหม่อมองเมืองหลวงเบื้องหน้า เมืองที่เขาเคยมาเมื่อห้าปีก่อน บัดนี้เปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้...เว้นเสียแต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของนาง ที่ยังคงติดอยู่ในใจเขาไม่จางหายหลังจากวันนั้น เขาก็หาเรื่องใกล้ชิดนางอยู่หลายครั้ง บ้างแกล้งเดินชน บ้างแกล้งทำของตก เพื่อให้มีโอกาสพูดค
ด้านหลี่หยูฟาง นางลอบออกมานอกเรือน เดินไปยังจุดที่เคยพบเด็กชายผู้นั้น ตามที่นางสังเกต เด็กคนนั้นน่าจะมีอายุมากกว่านางเล็กน้อย และอาจจะน้อยกว่าพี่ชายของตนอยู่บ้างแต่เมื่อมาถึงจุดเดิม กลับไม่พบร่างของเด็กชายคนนั้นเสียแล้ว...นางถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความเสียดาย แล้วกำลังจะหันหลังกลับทว่าในเงามืดเบื้องหลัง ปรากฏร่างของเด็กชายผู้หนึ่ง ผมยาวสลวยรวบเป็นมวยต่ำด้านหลัง ใบหน้าขาวกระจ่าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววเจ้าเล่ห์แฝงอยู่เพียงชั่วครู่ เขามองเด็กหญิงวัยสิบขวบตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉยเขาเห็นว่านางกำลังมองหาใครบางคนอยู่ และเฝ้ามองนางเงียบ ๆ ไม่เผยตัว จนกระทั่งนางหันหลังกลับ จึงจงใจขยับตัวให้เกิดเสียงเสียงเบา ๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลี่หยูฟางหันขวับไปมอง และเมื่อพบว่าเป็นคนที่นางกำลังตามหา ดวงตาของนางก็เปล่งประกายทันใด “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย! ข้านึกว่าเจ้ากลับไปเสียแล้ว” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีเด็กชายผู้นั้นกลับไม่ตอบอะไร เพียงจ้องมองนางอย่างนิ่งเงียบเมื่อนางไม่ได้รับคำตอบ สีหน้าของหลี่หยูฟางก็พลันหม่นลงเล็กน้อย นางรู้สึกเสียใจลึก ๆ กับท่าทีเย็นชาของเขา...เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ หลี่หยูฟางจึงถ
ภายในห้องนอน หยางฉิงหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยล้า โดยมีหลี่เซิงนอนกอดอยู่เคียงข้าง ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันตลอดทั้งคืน จนกระทั่งยามนี้จึงได้หลับพักผ่อนอย่างแท้จริงเมื่อทั้งสองตื่นขึ้นมาก็สายมากแล้ว จึงออกมาจากมิติ หลี่เซิงดูสดชื่นกว่าทุกวัน เพราะเมื่อคืนเขาได้เติมเต็มช่วงเวลาที่ขาดหายไป หยางฉิงมองเขาอย่างหมั่นไส้น้อย ๆ เมื่อออกจากห้อง นางก็พบว่าลูกชายทั้งสองออกจากห้องไปนานแล้ว ตอนนี้พวกเขาโตพอที่จะไม่ติดแม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว...เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เข้าสู่ปีที่สอง หยางฉิงตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว ท้องครั้งนี้ของนางไม่ใหญ่เท่าตอนท้องลูกชาย ทำให้นางคิดว่าน่าจะได้ลูกเพียงคนเดียวนางมาพักอยู่ในเรือนที่เมืองหลวง เพราะอย่างน้อยก็สามารถออกมานั่งเฝ้าร้าน ดูแลกิจการหน้าร้านได้บ้าง จึงไม่รู้สึกเบื่อมากนักเมื่อเข้าสู่เดือนที่เก้า หยางฉิงคลอดลูกตามที่คาดหวังไว้ เป็นเด็กหญิงตัวอวบอ้วนน่ารักน่าชัง เด็กน้อยเปรียบเสมือนสีสันใหม่ของครอบครัว หยางฉิงจึงตั้งชื่อให้ลูกสาวว่า ‘หลี่หยูฟาง’ แปลว่า กลิ่นหอมละมุน เพราะนางเกิดมาพร้อมกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ เป็นเอกลักษณ์ ใครเข้าใกล้ก็อดที่จะอยากอุ้มนางไม่
เมื่อชายชรานั่งรถเกวียนมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ก็มีผู้คนออกมาต้อนรับมากมาย พร้อมกับเสียงเรียกขานว่า“เชิญเสด็จพะยะค่ะ ฝ่าบาท!”เสียงเรียกขานเปี่ยมด้วยความยินดีดังขึ้นพร้อมกันเมื่อชายชราได้ยินคำเรียกขานนั้น เขาถึงกับถอนหายใจเบา ๆ ความสนุกตลอดหลายวันที่เขาแอบออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ตนเคยปกป้องดูแล บัดนี้จำต้องวางลงเสียแล้ว...ทางด้าน หยางฉิง นางยืนอยู่ต่อหน้าเด็กน้อยทั้งสองคนที่มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งสุขุมเยือกเย็น อีกคนกลับซุกซนเอาเรื่อง นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้าให้ลูกชายคนโตหยางฉิงเพิ่งได้ฟังเรื่องราวจากท่านตาโจวเล่อ นางหันไปมองหลี่เต๋อชางด้วยแววตาภาคภูมิใจ เขาช่างละม้ายคล้ายสามีของนาง เพียงแต่เงียบขรึมกว่า ต่างจากหลี่เจียเฉิงโดยสิ้นเชิงนางถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ เมื่อคิดว่าลูกชายคนโตแอบออกไปเล่นตอนไหน ถึงกับไปแกล้งลูกของท่านอ๋องสามจนร้องไห้ ดีที่ท่านอ๋องไม่ติดใจเอาความอะไรหยางฉิงปรายตามองหลี่เจียเฉิงด้วยสายตาดุเมื่อหลี่เจียเฉิงเห็นสายตาของมารดา เขาก็หลบตาลงทันที“เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้เจ้าทำอะไรผิดไป?” นางถามด้วยน้ำเสียงเข้มได้ยินเช่นนั้น หลี่เจียเฉิงสะด
หลี่เจียถิง บุตรชายคนโต เป็นเด็กฉลาด ช่างพูด และกล้าแสดงออก ต่างจากหลี่เต๋อชาง ซึ่งเป็นเด็กช่างสังเกต เงียบขรึม และไม่ค่อยพูดเท่าใดนัก นางให้ลูกทั้งสองทดลองฝึกงานในกิจการของนางทั้งหมด หลี่เจียถิงชอบฝึกฝนในโรงเตี๊ยมและโรงทำน้ำมันพริก ส่วนหลี่เต๋อชางกลับชอบกิจการในเมืองหลวงและโรงเรือนทำยามากกว่า โดยเฉพาะเรื่องสมุนไพรที่เขาสนใจเป็นพิเศษนางไม่คิดจะบังคับ หากพวกเขาชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด นางก็จะตามใจ ไม่ว่าในอนาคตพวกเขาจะสานต่อกิจการหรือไม่ก็ตาม เพราะตอนนี้พวกเขายังเด็กนัก นางจึงไม่อยากให้ต้องคิดมากเหมือนผู้ใหญ่วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังยุ่งกับการดูแลร้านเทียนเจินถัง นางจึงฝากหลี่เต๋อชางให้อยู่กับท่านตาโจวเฉียวทางด้านโจวเฉียวกำลังนั่งคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้ทำงานกับหยางฉิงมาเกือบห้าปีแล้ว เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงานที่นี่ ตอนนี้โจวเล่อก็เติบโตพอจะช่วยงานได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นเด็กเรียนดี เขาจึงไม่ค่อยเป็นกังวลนักโจวเฉียวเหลือบมองหลี่เต๋อชาง ซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ เขารู้สึกเอ็นดูเด็กชายผู้นี้เหมือนเป็นหลานแท้ ๆ หลี่เต๋อชางเป็นเด็กฉลาดเกินวัย นั่นทำให้เขาอด
เมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั