สองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับคดี แต่กลับปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน มิหนำซ้ำยังหาขี้เมางี่เง่าหยำเปคนหนึ่งมาทำนายชะตา อีกทั้งคำทำนายก็หาได้มีประโยชน์อะไร แต่เมื่อพวกฉู่อ๋องไปที่หมู่บ้านหมิงเยว่ กลับชี้นำให้เสนาบดีศาลต้าหลี่และผู้เกี่ยวข้องเร่งรีบตามไปด้วยเสนาบดีศาลต้าหลี่ครั้นได้ฟังถ้อยคำนี้ก็ทราบทันทีว่าฝ่าบาททรงสังเกตเห็นความผิดปกติในเรื่องนี้แล้ว ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาปราดเปรื่องตั้งเพียงใด เล่ห์เหลี่ยมเล็กจ้อยของพวกองค์ชายย่อมหนีไม่พ้นสายพระเนตรของฝ่าบาทเพียงแต่…หากว่าเหลียงอ๋องมีส่วนเกี่ยวข้องกับมือมืดเบื้องหลังผู้นั้นจริง เรื่องนี้ก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก…“ทูลเสด็จพ่อ พวกกระหม่อมเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทว่าพระชายาเหลียงอ๋องและรั่วเจินเคยมีความขัดแย้งต่อกันมาก่อน และที่สำนักเทียนฉือครานี้ก็ยังปะทะกันอย่างไม่ยอมลดราวาศอกพ่ะย่ะค่ะ”ฉู่จวินถิงกล่าวตามความจริง เขาย่อมเข้าใจดีด้วยพระปรีชาของเสด็จพ่อเกรงว่าเรื่องทั้งหมดคงถูกสืบรู้ชัดเจนตั้งแต่ต้นแล้ว กลอุบายเล็กน้อยของพวกเขาไม่มีทางปิดบังพระองค์ได้อยู่แล้วเซียวอ๋องเห็นฉู่จวินถิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ก็ยิ่งเข้าใจว่าที่เ
“พี่ชายสี่ ในเมื่อคุณหนูฉู่มีใจอยากพบท่าน ข้าคิดว่า มิสู้ใช้โอกาสนี้ไปพบนางสักครั้งเป็นอย่างไร”“ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นการเข้าใจผิดกันหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ควรจะต้องไปทำให้เรื่องราวกระจ่างชัดก่อนจะดีกว่า ท่านคิดว่าอย่างไรหรือ?”สายตาของซ่งรั่วเจินจริงจังยิ่งนัก พวกเขาเดาไปเดามาอยู่แบบนี้ก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ทำให้เรื่องราวกระจ่างชัดก่อนแล้วค่อยว่ากันยังดีเสียกว่าหากคนที่ฉู่ชิงหลีชมชอบคือพี่ชายสามจริง เช่นนั้นก็นับเป็นเรื่องดีงามถ้วนหน้า หากมิใช่ พี่ชายสี่ก็ต้องพูดกับแม่นางผู้นั้นให้ชัดเจน เพื่อมู่เหยาจะได้ไม่ต้องเข้าใจผิด“วันที่เลือกมิสู้วันที่เหมาะสม ก็เอาวันนี้ไปเลยเป็นอย่างไร!” ซ่งจิ่งเซินตบมือพลางเอ่ยซ่งรั่วเจินผงะไปเล็กน้อย “วันนี้? เร็วเพียงนี้เชียวหรือ?”“ไม่เร็วไปหรอก เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าหลายวันมานี้หลังจากข้ากลับมาก็ต้องมาเจอพี่ชายสามจับคู่ผูกสัมพันธ์ให้แบบนี้ มันน่าอึดอัดขนาดไหน!”“ข้าเองก็รอให้เจ้ากลับมาไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เจ้าเป็นสตรี หากไปพบแม่นางผู้นั้นกับข้าอย่างไรก็พูดคุยกันได้สะดวกกว่า หากวันนี้เจ้ายังไม่กลับมาอีก ข้าก็ตั้งใจเอาไว้แล้วนะว่าคืนนี้จะไปค้างแรมที่
ซ่งจิ่งเซินพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเองก็น่าจะรู้จักคุณธรรมของพวกคนในเมืองหลวงเหล่านี้ดี แต่ไหนแต่ไรขึ้นชื่อว่าทำศึก ย่อมมีความเป็นไปได้ว่าจะเสียชีวิตได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“แต่พวกเขากลับชอบโยนความรับผิดชอบให้สตรีเสมอ บอกว่านางเป็นสตรีบ่อเกิดแห่งหายนะ ทำให้คู่หมั้นต้องตายก่อนวัยอันควร เจ้าว่ามันไม่เกินไปหน่อยหรือ?”“ข้าเข้าใจ” ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “โลกนี้ไม่ยุติธรรมกับสตรี เพราะเหตุนี้ภายหลังต่อมาฉู่ชิงหลีจึงปรากฏหน้าสู่สังคมน้อยลงใช่หรือไม่?”“ไม่ผิด หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้ยินข่าวคราวของนางอีกเลย จนบัดนี้ก็ยังมิได้ออกเรือน”“เช่นนั้นแล้ว นางก็เป็นดรุณีแสนดีเพียบพร้อมคนหนึ่งจริง เพียงแต่โชคร้าย เจอเรื่องไม่ดีเช่นนี้เข้าก็เท่านั้นเอง”ซ่งรั่วเจินขมวดหัวคิ้วแน่น ดรุณีผู้นั้นก็แค่เกิดมามีรูปโฉมงดงามมากไปสักหน่อย กลับต้องถูกยัดเยียดชื่อเสียงให้ว่าเป็นตัวนำภัยสังหารบุรุษ น่าจะเอายาใบ้จับกรอกปากเจ้าพวกปากพล่อยกลุ่มนี้ให้เป็นใบไปเสียให้เข็ด!“ว่าไปก็แปลก หลายปีที่ผ่านมาฉู่ชิงหลีแทบไม่ปรากฏตัวต่อสังคม ส่วนพี่ชายสามก็เหมือนกันหากมิได้เข้าวังไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติก็จะไปที
ซ่งรั่วเจินมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพี่ชายสาม ก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชายสาม เรื่องนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตอนนี้ ไว้ข้าทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”ซ่งจืออวี้พยักหน้า “ได้ ข้าจะทำตามเจ้าว่า”ซ่งรั่วเจินโค้งมุมปากเล็กน้อย ตั้งแต่เด็กจนโตพี่ชายสามล้วนเชื่อใจนางเสมอ ทั้ง ๆ ที่อายุมากกว่านาง แต่ก็เชื่อฟังทำตามนางทุกอย่างจนติดเป็นนิสัยไปแล้วหากสมรสภรรยา จะต้องเชื่อฟังฮูหยินของตนเองมากแน่ ความจริงในสายตาของนาง หากอีกฝ่ายชอบบุรุษแข็งแรงกำยำออกแนวซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมแล้วล่ะก็ พี่ชายสามของนางนับว่าเป็นชายในอุดมคติเลยทีเดียว“เช่นนั้นท่านรออย่างสบายใจไปก่อนเถิด อย่าเพิ่งรีบร้อนชักใยสานสัมพันธ์ให้พี่ชายสี่ตอนนี้เลย หากเป็นการเข้าใจผิดขึ้นมาจริง ๆ พอเรื่องบานปลายจะกลายเป็นความกระอักกระอ่วนไปได้”“ข้าเข้าใจแล้ว”ซ่งจืออวี้มองว่าน้องหญิงห้าของตนเองฉลาดปราดเปรื่องเป็นที่สุด พูดถูกเผงไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว แต่พอคิดว่าคนที่คุณหนูฉู่ชมชอบอาจจะเป็นตัวเขาเองขึ้นมา หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ทว่า เพียงความนี้ผุดขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว ไหนเ
ซ่งจืออวี้นิ่งไปนานครู่ใหญ่กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง “อะไรนะ?”“แม้ข้าจะเป็นคนเสนอ แต่เหตุผลที่ท่านได้เป็นองครักษ์หน้าพระที่นั่ง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความสามารถของท่านเองต่างหาก!”“ภาระหน้าที่ขององครักษ์หน้าพระที่นั่งมิใช่เรื่องง่าย คนที่ไม่มีฝีมือย่อมมิอาจดำรงตำแหน่งนี้ได้ราบรื่น ยิ่งไม่ต้องหวังเลยว่าเพิ่งได้รับตำแหน่งมาก็ได้เป็นองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสองทันที”“ข้าได้ยินท่านพ่อพูดว่า ในช่วงเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งก็ทำผลงานได้ดีเสมอมา มิเพียงได้รับคำชื่นชมบ่อยครั้ง ยังได้รับการเลื่อนขั้นด้วย”“ท่านคิดดูสิตำแหน่งองครักษ์หน้าพระที่นั่งมีตั้งมากมายเพียงนั้น แต่ท่านกลับสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น สิ่งนี้มิใช่เพราะความสัมพันธ์ของท่านกับข้า”ซ่งรั่วเจินแววตาเจือรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านพ่อท่านแม่พูดทุกวันก็แค่จะเย้าหยอกท่านก็เท่านั้น ขนาดพี่รองฉลาดปราดเปรื่องปานนั้น มิหนำซ้ำสอบขึ้นถึงขั้นจอหงวนได้ ก็ยังถูกท่านพ่อท่านแม่บ่นว่ามีตาหามีแววไม่อยู่ประจำมิใช่หรือ?”“ท่านมิได้เดินในเส้นทางบัณฑิตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากมิใช่เพราะบัดนี้บ้านเมืองไร้ศึกให้สู้รบแล้ว ท่านต้องได้เป็นแม่ทัพผู้เกร
“ในเมื่อท่านรู้จักฉู่ชิงหลี เหตุใดถึงได้แนะนำให้ท่านพี่ชายสี่รู้จักเล่า?”ซ่งรั่วเจินมองซ่งจืออวี้ด้วยความสงสัย นางรู้จักนิสัยของพี่ชายสามของตนเองดีเกินไป ลำพังมองจากสีหน้าท่าทางของเขาก็ทราบแล้วว่าความรู้สึกที่เขามีต่อฉู่ชิงหลีนั้นไม่ธรรมดา และนั่นยิ่งทำให้น่าแปลกใจเข้าไปใหญ่“หากท่านชมชอบ ท่านก็ควรพยายามเพื่อตัวท่านเองสิ ไยจึงแนะนำให้พี่ชายสี่แทนซะเล่า?”ซ่งจืออวี้ถึงกับสะอึกไป ทั้งใบหน้าพลันขึ้นสีแดงก่ำทันใด รีบพูดว่า “น้องหญิงห้า เจ้าอย่าได้พูดจาส่งเดช ข้าเปล่า!”“ท่านเปล่าอะไร?” ซ่งรั่วเจินยกมือชี้หน้าเขา พร้อมเอ่ยว่า “ข้าน่าจะหยิบคันฉ่องสักบานมาให้ท่านใช้ส่องจริง ๆ เลยเชียว ลำพังท่านปิดบังคนอื่นยังไม่รอด ยังคิดจะปิดบังข้า นั่นยิ่งไม่มีทาง”เอ่ยพลาง ซ่งรั่วเจินก็วางมือบนตัวเขา สีหน้าพิกลทีเดียว คล้ายว่าอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี จึงได้แต่ฝืนกลั้นความรังเกียจไว้และเอ่ยออกมาว่า“พี่ชายสาม ท่านอายุก็ไม่น้อยแล้ว ควรจะคิดเผื่ออนาคตของตนเองเอาไว้บ้าง”“ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางที่ท่านชมชอบกลับแนะนำให้คนอื่น หากนางได้เป็นน้องสะใภ้ของท่านขึ้นมาจริง ๆ ท่านต้องเห็นนางท