บ้านสวนสกุลหลินตั้งอยู่ในเขตอำเภอจงมู่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม สวนของพวกเขาอยู่ห่างจากตัวอำเภอไกลพอสมควร จึงต้องอาศัยรถม้าในการเดินทาง
พอถึงตัวอำเภออาโต๋วก็บังคับม้าตรงไปยังร้านขายผ้าในตลาด ฉู่ชิงเฟิงที่ส่วนใหญ่อยู่แต่ในเมืองหลวง พอได้ออกมาเปิดหูเปิดตาจึงถือโอกาสสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรเสียเลย เขามองทุกที่ที่รถม้าแล่นผ่านอย่างพิจารณา แล้วพบว่าถึงจงมู่จะเป็นอำเภอเล็กๆ แต่ก็มีแผงลอย ร้านค้าเปิดอยู่หลายร้านเลยทีเดียว ชาวบ้านก็ดูมีความสุขดี แทบจะไม่เจอขอทานตามท้องถนน อ๋องหนุ่มในคราบอาเปาจึงอดยิ้มปลาบปลื้มแทนพระบิดาไม่ได้
“มัวยิ้มอยู่นั่น รีบลงจากรถแล้วเอาบันไดมาวางให้คุณหนูเร็วเข้า” อาโต๋วหันไปสั่งอาเปาที่มัวแต่ใจลอยให้ลุกมาช่วยกันทำงาน
“อ่า ถึงแล้วเหรอ”
“ก็ถึงแล้วน่ะสิ เจ้ามัวแต่นั่งยิ้มใจลอยอยู่นั่น ไหนว่าไม่อยากมาไงเล่า”
ฉู่ชิงเฟิงไม่คิดจะโต้เถียงกับอาโต๋ว จึงทำเป็นหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อน แล้วรีบลงจากรถม้าไปหยิบบันไดมาวางให้หลินเสี่ยวหราน ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษที่ถูกอบรมว่าต้องดูแลสุภาพสตรี เขาจึงเผลอยื่นมือออกไปให้หลินเสี่ยวหราน โดยลืมไปว่ายามนี้ตนเองเป็นเพียงคนความจำเสื่อม ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า หลินอ้ายเห็นเช่นนั้นก็ยื่นมือมาจับมือของเขาแทนหลินเสี่ยวหราน แล้วรีบลงมารอรับนางที่ด้านล่าง ไม่เปิดโอกาสให้เขาแตะต้องคุณหนูของตน
“หลินอ้าย เจ้าเอาของพวกนี้เข้าไปส่งให้เถ้าแก่ ส่วนอาโต๋วเจ้าไปสั่งเสบียง” หลินเสี่ยวหรานสั่งเสียงเรียบ
“เจ้าค่ะ/ขอรับ คุณหนู”
“แล้วข้าล่ะ” ฉู่ชิงเฟิงถาม
“เจ้าจะไปกับหลินอ้าย หรืออาโต๋วก็ได้ตามใจ” หลินเสี่ยวหรานตอบ
“แล้วคุณหนูเล่า” ฉู่ชิงเฟิงเห็นนางทำท่าจะเดินไปทางอื่นผู้เดียวเลยอดถามไม่ได้
“ข้าจะไปกินน้ำชารอที่ฝั่งตรงข้าม เรียบร้อยแล้วค่อยพาเจ้าไปโรงหมอ”
“โรงหมอ? ข้าสบายดี เหตุใดต้องไปหาหมอด้วยเล่า”
“จริงสิ ข้าคงลืมบอกไปว่า เรื่องความจำของเจ้ายังต้องรักษาต่อเนื่อง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง อาเปาต้องรบกวนคุณหนูหลินแล้ว” ฉู่ชิงเฟิงยิ้มตอบ แต่ท่าทางสบายๆ เหมือนว่าเรื่องนี้คือเรื่องที่ควรจะเป็นของเขาทำให้หลินอ้ายนึกโมโห
“อาเปาเจ้าคงไม่รู้สินะว่า คุณหนูของข้าต้องปักผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ทั้งวันทั้งคืน เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าฝังเข็มให้เจ้า”
“หลินอ้าย!” หลินเสี่ยวหรานปรามสาวใช้คนสนิทเสียงดุ นางถือว่าเขาทำงานแลกที่อยู่ที่กิน อีกทั้งค่ารักษาทั้งหมดนางก็ทำบัญชีเอาไว้ รอเวลาเขาจำความได้ก็จะให้ชดใช้ตามจริง จึงไม่ถือเรื่องพวกนี้เป็นบุญคุณอะไร
“นี่ท่านต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” ความจริงฉู่ชิงเฟิงตกใจมาก หลินเสี่ยวหรานเป็นถึงบุตรสาวคนโตของอัครเสนาบดี สินเดิมมารดาจากสกุลกัวนั้นคงมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบหาบ ไฉนเงินค่าฝังเข็มแค่หนึ่งตำลึงนางจึงขัดสนขนาดนี้ได้เล่า
“ก็ใช่น่ะสิ” หลินอ้ายสวนทันควัน เพราะสงสารในชะตากรรมของเจ้านายตัวเอง
“หลินอ้าย! เจ้าจะทำให้ข้าขายหน้าไปถึงเมื่อใด” อย่างไรตนก็เป็นถึงบุตรสาวขุนนางใหญ่ การที่ถูกเปิดเผยว่าต้องมานั่งทำงานงกๆ แลกกับเงินเพียงตำลึงเดียวทำให้นางอับอาย
“บ่าวขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”
“อาเปา ในเมื่อข้ารับปากจะช่วยเหลือเจ้า ข้าย่อมทำตามคำพูดให้ถึงที่สุด เจ้าไม่ต้องไปฟังที่นางพูด ส่วนกระโปรงกับผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ ข้าอยู่ว่างๆ ก็ทำงานฝีมืออยู่แล้ว ต่อให้ไม่ต้องจ่ายค่าให้รักษาเจ้า ข้าก็เอามาขายอยู่ดีนั่นแหละ” หลินเสี่ยวหรานพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับว่านี่เป็นเรื่องปกติ
นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่ฉู่ชิงเฟิงรู้สึกชื่นชมคุณหนูหลินเสี่ยวหรานผู้นี้จากใจจริง
ตอนแรกเขานึกว่านางอยากกลั่นแกล้งถึงให้ตนเองกินแต่ผักมาเป็นแรมเดือน แต่ดูเหมือนคุณหนูใหญ่สกุลหลินจะมีปัญหา ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพเหมือนที่คนอื่นๆ เข้าใจเสียด้วย
“ขอบคุณคุณหนูหลิน ในเมื่อของเหล่านี้คือค่ารักษาอาเปา เช่นนั้นข้าจะไปกับหลินอ้ายก็แล้วกัน”
หลินเสี่ยวหรานพยักหน้ารับรู้ ก่อนหมุนกายเดินจากไปยังโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม อาโต๋วเห็นเช่นนั้นก็ไม่มากวาจารีบเดินไปสั่งซื้อเสบียงที่ร้านขายธัญพืชที่ตรอกถัดไปจะได้รีบกลับมาอารักขาเจ้านาย
“ตามข้ามาทางนี้” หลินอ้ายเรียก ฉู่ชิงเฟิงที่ยังมองส่งแผ่นหลังบอบบางของหลินเสี่ยวหรานได้สติกลับมา แล้ววิ่งตามหลินอ้ายไป
“เดี๋ยวก่อนหลินอ้าย”
“เจ้าจะรั้งข้าทำไม”
“ข้ามีอะไรจะถาม”
“อะไรอีกล่ะ ทำไมเจ้าถึงได้เป็นคนเรื่องมากแบบนี้นะอาเปา”
“ข้าขอดูกระโปรงกับผ้าเช็ดหน้าที่คุณหนูปักหน่อยได้หรือไม่”
“เจ้าจะดูไปไย ข้ายิ่งรีบๆ อยู่”
“เถอะน่า ให้ข้าดูหน่อย”
แม้ไม่รู้ว่าอาเปาจะอยากดูของไปทำไม แต่ดวงตาที่มองมาอย่างขอร้องทำให้หลินอ้ายยื่นตะกร้าไปให้เขา “เอ้า เอาไป แล้วอย่าทำเลอะล่ะ”
ฉู่ชิงเฟิงรับตะกร้ามาเปิดดู เห็นภายในเป็นชุดกระโปรงกับผ้าเช็ดหน้าปักลายงดงาม ฝีเข็มประณีต สมเป็นฝีมือของคุณหนูสกุลใหญ่ และหากดูไม่ผิด ผ้าที่หลินเสี่ยวหรานใช้นั้นเป็นผ้าทออย่างดี ไม่ใช่ของดาษดื่นทั่วไปที่จะหาซื้อได้ในอำเภอเล็กๆ อย่างจงมู่ ดูเหมือนผ้าพวกนี้น่าจะเป็นของที่หลินเสี่ยวหรานนำติดตัวมา ไม่ใช่ผ้าที่ทางร้านตัดเย็บหามาให้อย่างแน่นอน
“สวยใช่ไหมล่ะ ขนาดคุณหนูรีบทำยังออกมาดีขนาดนี้เลย”
“ชุดกระโปรงกับผ้าเช็ดหน้านี่ดีจริงดังเจ้าว่า คงขายได้สักสองสามตำลึงเงินกระมัง”
“ถ้าได้ขนาดนั้นก็ดีน่ะสิ”
“ไม่ถึงงั้นรึ”
“อาภรณ์หนึ่งชุดกับผ้าเช็ดหน้าสิบสองผืน ขายได้ถึงหนึ่งตำลึงเงินก็นับว่าเยอะมากแล้วนะ นี่เจ้าคิดว่าของในตลาดราคาเท่าใดกัน”
“คุณหนูรับจ้างที่ร้านตัดเย็บ โดยได้ผ้าจากร้านมางั้นรึ” เขาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เพราะลำพังแค่ค่าแรง ไม่รวมค่าวัสดุ หนึ่งตำลึงเงินถือเป็นค่าจ้างที่สูงดังหลินอ้ายว่า
หลังจากจัดการกางเกงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว บุรุษที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาพลันแทรกกายลงตรงกลางหว่างขาเรียว เขาลูบไล้เนินเนื้อเกลี้ยงเกลาอย่างพออกพอใจ แล้วค่อยๆ ขยับเข้าประชิดร่างบาง ดุนดันสะโพกส่งตัวตนเข้าไปพิชิตเส้นทางสู่สวรรค์หลินเสี่ยวหรานกรีดร้อง เมื่อถูกแท่งเพลิงร้อนลวกชำแรกความสาวเป็นครั้งแรก มันทั้งเจ็บทั้งตึงไปหมดจนไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้“อาเปา ขะ…ข้าเจ็บ”“อดทนอีกนิดนะ อีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น ดีเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เชียวล่ะ” ฉู่ชิงเฟิงล่อลวง พลางขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ พรมจูบทั่วดวงหน้างามผุดผาด รวมไปถึงกลีบปากเล็กน่ารักที่เอาแต่ร้องเรียก “อาเปา อื้อ อาเปา” ไม่หยุดหลินเสี่ยวหรานสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางทั้งเจ็บทั้งเสียดเสียว เมื่อเขาเร่งจังหวะตอกสะโพก บดเบียดลำกายจนเส้นทางรักร้อนฉ่า แต่ละครั้งที่เสาหลักแห่งเลือดเนื้อตอกตรึงเข้าหามันทั้งแรงขึ้นและลึกขึ้น กระทั่งความเป็นชายสอดลึกสุดเส้นทางสวรรค์ได้สำเร็จ“อื้อ…อาเปา”“รู้สึกดีแล้วใช่ไหมภรรยาข้า” เขากระซิบถามเสียงพร่า เมื่อรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในน้ำเสียงนาง และแน่นอนว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกดีที่ถูกความแน่นหนึบของนางตอดรั
“ที่แท้เจ้าก็คืออาเปา” ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางเบา เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าผู้มีพระคุณของนางเป็นผู้ใด“ข้าต้องขออภัยด้วยที่เป็นเพียงคนไร้หัวนอนปลายเท้า มิใช่คุณชายสูงศักดิ์ที่ไหน”“เจ้าไม่ผิดหรอกอาเปา ถ้าไม่มีเจ้าข้าคงโดนกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งไปแล้ว” หลินเสี่ยวหรานตอบเสียงเบาหวิว ฤทธิ์ยาทำให้ร่างกายนางอ่อนเปลี้ยราวกับไร้กระดูก ดวงตาพร่าลายไปหมด“เหลือเวลาไม่มากแล้ว คุณหนูหลินตัดสินใจเถอะ”แม้เขากับนางแทบไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาขยันตั้งใจทำงาน และคอยช่วยเหลือคนในบ้านสวนสกุลหลินอยู่เสมอ ถึงบางครั้งหลินอ้ายจะทำตัวไม่น่ารัก เขาก็มิได้ถือสา จนล่าสุดก็เพิ่งทวงความยุติธรรมให้กับงานตัดเย็บที่ทำขึ้นอย่างยากลำบากของนาง เห็นได้ชัดว่าเนื้อแท้เขามีจิตใจที่ดี ขยันอดทน ไม่โอ้อวด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของบุรุษที่มีการศึกษาและถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ต่อให้ตอนนี้เขาจะความจำเสื่อม แต่ฐานะที่แท้จริงคงไม่ด้อยนัก ร้ายที่สุดก็คงไม่พ้นตระกูลพ่อค้าวาณิช[1] ในเมื่อเกาอี้ซินกลัวเหลือเกินว่านางจะได้ดิบได้ดีเกินหน้าเกินตาหลินผู่ซิน และนางก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การเลือกอาเปามาเป็นสามีคงจ
หลินเสี่ยวหรานที่กำลังหมดหวัง เห็นเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากนั้นนางก็ถูกใครบางคนพาตัวเข้าไปยังความมืดหลังแนวไม้ นางพยายามมองใบหน้าของคนที่มาช่วยนางจากปากเหว แต่ต้นไม้ใบหนาทึบเกินกว่าแสงจันทร์จะลอดเข้ามาให้เห็นได้ชัดเจน ในใจนางรู้สึกทั้งซาบซึ้งและนึกขอบคุณ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกไม่วางใจอย่างบอกไม่ถูก“ทะ...ท่านเป็นใคร”“...” ฉู่ชิงเฟิงไม่ตอบ เพราะตอนนี้เขากำลังเพ่งสมาธิไปเบื้องหน้า เพราะจับสัมผัสได้ว่ามีคนตามมาจากด้านหลัง ถึงฝีเท้าจะไม่เร็วมากนักเพราะบาดเจ็บ แต่ความเร็วระดับนี้ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฝีมือ หากเทียบกับอ๋องที่แค่อยากตั้งใจเรียน แต่ไม่ชอบฝึกวรยุทธเยี่ยงเขา นับว่าอยู่คนละชั้น มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังมีสตรีที่น่าจะโดนวางยาอยู่ในอ้อมอก มองยังไงก็เสียเปรียบเต็มประตู เช่นนั้นก็ไม่ควรอวดเก่ง แต่ควรหาที่ซ่อนตัวจนกว่าจะปลอดภัยต่างหาก“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ก็เป็นผู้มีพระคุณของข้าแล้ว”“อืม” เขาขานรับในลำคอ แล้วพุ่งไปเบื้องหน้า ไม่กล้าลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว แต่มองไปทางใดก็ยังไม่เจอจุดที่น่าจะหลบซ่อนตัวได้ และเขาที่เพิ่งใช้วิชาตัวเบาอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็เริ่
อีกด้านหนึ่งฉู่ชิงเฟิงที่คิดถึงเนื้อจนทนไม่ไหวตัดสินใจซ่อมธนูสำหรับล่าสัตว์ที่ถูกทิ้งไว้ในห้องเก็บเครื่องมือ เพื่อออกไปล่ากระต่ายป่า แล้วเขาก็ค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วว่องไวขึ้น อีกทั้งกล้ามเนื้อแขนก็แข็งแกร่งจนง้างธนูได้สบายกว่าเดิมมากดูเหมือนการทำงานหนักในบ้านสวนสกุลหลินจะไม่ได้มีแต่มุมเลวร้าย เพราะตอนนี้เขากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายแข็งแรงกำยำจนสตรีใจสะท้านไปแล้ว ดูได้จากสายตาหญิงสาวที่เขาพบเจอที่ตัวอำเภอ จะมีก็แต่คุณหนูใหญ่สกุลหลินผู้เดียวที่ไม่รู้สึกรู้สา แล้วยังใจร้ายกับเขาไม่เลิกราในเมื่อนางคิดแต่จะทำให้เขาทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ไหว เขาก็จะช่วยเหลือตัวเองโชคดีที่เขาชอบยิงธนู เพราะมันไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเยอะเหมือนพวกวิชากระบี่ แต่ด้วยเป็นคนร่างใหญ่อ้วนท้วนทำให้เขาขยับตัวบนหลังม้าได้ไม่คล่อง ส่งผลให้ผลงานการล่าสัตว์รั้งท้ายพี่น้องอยู่ทุกปี ผิดกับพวกเป้านิ่ง ซึ่งฝีมือของเขาถือเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาองค์ชาย แต่ก็มักถูกด้อยค่าด้วยคำพูดที่ว่าแค่ยืนยิงธนูอยู่กับที่จะไปมีประโยชน์ใช้สอยอะไรทว่าวันนี้เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมร่างกายที่เคยอ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ตอนนี้แข็งแรงกำย
“ถึงบ่าวจะโง่เขลา แต่ใช่จะไม่รู้อะไรเลย ป่านนี้ชื่อเสียงของท่านคงถูกฮูหยินกับคุณหนูสี่ทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้บ่าวโกรธแค้นพวกเขาแทนท่านได้เยี่ยงไร”“พวกนางอยากทำอะไรก็ให้ทำไป เพราะสำหรับข้าในตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาร่างกายให้หายดี”“ท่านถูกรังแกถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เล่าให้ทางสกุลกัวฟังเล่าเจ้าคะ ถ้าให้เหล่าไท่จวินที่คนต่างเคารพนับถือช่วยออกหน้า จะต้องทวงความยุติธรรมคืนให้คุณหนูได้อย่างแน่นอน”“เพราะข้าแซ่หลิน มิได้แซ่กัว อีกอย่างท่านป้าสะใภ้กับท่านยายมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ข้ามิอาจให้พวกท่านเหล่านั้นถูกคนตำหนิเอาได้ว่าก้าวก่ายเรื่องของคนสกุลอื่นโดยไม่จำเป็น”“โถ่ คุณหนู”“หลินอ้าย ถ้าทุกอย่างมันง่ายปานนั้น ข้าคงไม่ต้องมารักษาตัวไกลถึงจงมู่”“บ่าวกลัวเหลือเกินว่าฮูหยินจากสกุลเกาผู้นั้นจะจัดการให้ท่านแต่งกับบุรุษเสเพล ไร้ชื่อเสียง ไร้อนาคต” หลินอ้ายเป็นกังวลแทนเจ้านาย เพราะสตรีที่มีข่าวลือว่าร่างกายอ่อนแอมักไม่มีตระกูลใหญ่ต้องการ“พอได้แล้ว ข้าอยากแช่ตัวเงียบๆ” ใช่ว่าหลินเสี่ยวหรานจะไม่คิดอะไรเลย จึงอดหงุดหงิดไม่ได้“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”“คืนน
หลินเสี่ยวหรานได้รับการอบรมจากป้าสะใภ้ และเหล่าไท่จวินผู้เป็นยาย เติบโตมาเป็นดรุณีที่งดงามทั้งกิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนล้วนจัดการได้ดี กระทั่งอายุได้สิบสามปีบิดาก็มาเจรจาขอนางคืนจากสกุลกัวต่อให้ไม่อยากคืนเท่าไร ก็ทำไม่ได้ เพราะนางแซ่หลิน มิได้แซ่กัว ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องออกจากปราการอันอบอุ่นปลอดภัยภายใต้ปีกของสกุลมารดา มาอยู่ภายใต้การปกครองของสตรีหน้าซื่อใจคดอย่างเกาอี้ซิน ชีวิตในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่ควรจะสดใสรุ่งโรจน์ และได้แต่งงานเข้าสกุลดีๆ กลับต้องจบลงด้วยการระเห็จมาอยู่ที่บ้านสวนในอำเภอเล็กๆ อย่างจงมู่ ทำให้บัดนี้หลินผู่ซินเฉิดฉายในฐานะคุณหนูภรรยาเอกจวนสกุลหลินเพียงผู้เดียวหลินเสี่ยวหรานได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างเลื่อนลอยพอกลับถึงบ้านสวนสกุลหลิน ฉู่ชิงเฟิงก็ช่วยอาโต๋วกับหลินอ้ายขนข้าวของเครื่องใช้และเสบียงที่ซื้อมาไปเก็บ เขาเหลือบมองห่อกระดาษเคลือบน้ำมันที่ภายในมีเนื้อหมูติดมันชิ้นโตอย่างมีความสุข เพราะเชื่อว่าหลินเสี่ยวหรานจะต้องซาบซึ้งเรื่องเงินห้าตำลึง แล้วยอมให้เขาได้กินเนื้ออย่างที่ควรจะเป็นในวันพรุ่งนี้ ทว่า...ไม่มี!“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ฉู่ชิงเฟิงแ