“ไม่ใช่นะ ผ้าพวกนี้เป็นของคุณหนูทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นจะขายได้ราคาดีขนาดนี้ได้อย่างไร”
“เจ้านั่นแหละที่ไม่รู้อะไร” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหัว ทั้งสงสารทั้งสมเพชที่หลินอ้ายโดนเถ้าแก่ร้านตัดเย็บแห่งนี้กดราคาสินค้าอย่างหน้าด้านๆ
“ของพวกนี้ต้องขายได้สองสามตำลึงเงินจริงๆ หรืออาเปา”
“พูดไปแล้วอาจจะทำให้เจ็บใจ แต่หลินอ้าย เจ้าโดนเถ้าแก่ไร้คุณธรรมหลอกเข้าแล้ว”
“ขะ...ข้าโดนหลอกงั้นรึ” หลินอ้ายหน้าซีด ทั้งที่คุณหนูมอบหมายให้นางมาขายของด้วยความไว้วางใจแท้ๆ แต่นางกลับพอใจจำนวนเงินที่ไม่สมกับความเหนื่อยยากของเจ้านาย
“อย่าโทษตนเองไปเลยหลินอ้าย เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ในจวนจะไปรู้เรื่องค้าขายได้เยี่ยงไร ถ้าให้ข้าเดา ที่เจ้าพอใจในราคาที่เถ้าแก่เสนอ เพราะเขาให้ราคาเจ้ามากกว่าสินค้าทั่วไปที่ขายอยู่หน้าร้าน ทั้งยังชื่นชมงานของคุณหนูไม่ขาดปาก แล้วสัญญาว่าต่อไปหากมีของมาขายอีก เขาก็จะรับทุกชิ้นในราคาสูงแบบนี้ใช่หรือไม่”
“อาเปา เจ้ารู้ได้ยังไง” หลินอ้ายตกใจที่เขาเดาถูกแทบทุกอย่าง
“ส่วนคุณหนูเจ้า พอได้รับเงินก็มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มแย้มยินดีอะไร”
“อาเปา จะ...เจ้าแอบสืบเรื่องของคุณหนูมาตั้งแต่เมื่อไร บอกมาเดี๋ยวนี้นะ ฮูหยินคนปัจจุบันของนายท่านส่งเจ้ามาใช่หรือไม่”
คำพูดของหลินอ้าย ทำให้เรื่องที่เขาคาดเดาการมาอยู่บ้านสวนของหลินเสี่ยวหรานเริ่มชัดเจนขึ้นมา แต่ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาวิเคราะห์เกี่ยวกับบุญคุณความแค้นในสกุลหลิน หากแต่ต้องจัดการเรื่องค้าขายตรงหน้าให้ถูกต้องเสียก่อน
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว เรื่องแบบนี้ ขอแค่มีสติปัญญาสักหน่อย เป็นใครก็เดาได้”
“จะบอกว่าเจ้าแค่เดาเช่นนั้นรึ”
“ฟังนะ ฝีมืองานเย็บปักของคุณหนูเจ้าดีมาก เผลอๆ อาจจะดีกว่าฝีมือของช่างในร้านนี้เสียอีก ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่คงไม่รับงานที่คนนอกเอามาขายง่ายๆ เยี่ยงนี้ และชุดของคุณหนูจะต้องขายได้ในราคาสูงกว่าชุดของทางร้านแน่นอน”
“เจ้าหมายความว่า...”
“หมายความว่าเถ้าแก่น่าตายผู้นี้กำลังทำนาบนหลังคุณหนูเจ้าน่ะสิ”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี”
ทันใดนั้นฉู่ชิงเฟิงหันไปเห็นรถม้าคันใหญ่ที่เข้ามาจอดหน้าร้านพลันกระตุกรอยยิ้ม เขากวักมือเรียกหลินอ้ายให้เข้ามาใกล้ๆ แล้วกระซิบบางอย่างที่พอได้ยินกันแค่สองคน
“ตั้งสติให้ดี แล้วไปทำตามที่ข้าบอก”
“จะได้ผลหรืออาเปา”
“นอกจากความจำเสื่อมแล้ว เจ้าว่าข้าดูหน้าโง่หรือไม่”
หลินอ้ายส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด ถึงจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่นางรู้สึกได้ว่าคนอย่างอาเปามิได้โง่งม
“ตกลง ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”
ฉู่ชิงเฟิงยกยิ้มกว้างพลางยกนิ้วโป้งให้หลินอ้าย ชั่วจังหวะนั้นนางเพิ่งสังเกตว่าใบหน้าที่เคยอ้วนกลมของเขาบัดนี้เรียวเล็กลง องคาพยพตลอดจนรูปร่างก็กำยำสมส่วนขึ้น หากได้ใส่เสื้อผ้าพอดีตัวจะต้องดูหล่อเหลาชนิดที่หญิงสาวต้องเหลียวมองแน่นอน
ฉับพลันใบหน้าของหลินอ้ายแดงเรื่อ หัวใจเต้นตึกตัก
‘บ้าน่า อาเปาดูดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร’
....
หลังจากทบทวนสิ่งที่ต้องทำจนขึ้นใจแล้ว หลินอ้ายก็เดินเข้าไปในร้านตัดเย็บอย่างทุกครั้ง โดยมีฉู่ชิงเฟิงเดินตามหลังมาห่างๆ
หลงจู๊ในร้านเห็นหลินอ้ายก็รีบเข้ามาต้อนรับ “แม่นางมาแล้ว ร้านเรากำลังรอชุดใหม่ที่สั่งทำไว้อยู่พอดี”
“ไม่ทราบว่าเถ้าแก่อยู่หรือไม่” หลินอ้ายไม่สนใจทักทาย ก็ถามหาคน
“ตอนนี้เถ้าแก่กำลังต้อนรับลูกค้าคนสำคัญอยู่ที่ห้องรับรองด้านใน หากแม่นางมีเรื่องอันใดก็สามารถบอกกล่าวกับข้าได้”
“รบกวนท่านตามเถ้าแก่มาพบข้าด้วย เพราะข้าจะคุยกับเขาเรื่องราคาของใหม่เสียหน่อย”
“หากจำไม่ผิด เถ้าแก่สั่งทำผ้าเช็ดผ้าปักลายสิบสองผืน และชุดกระโปรงสำหรับงานเลี้ยงหนึ่งชุด หรือว่าครั้งนี้แม่นางทำมาไม่ครบ”
“มิได้”
“ในเมื่อทำมาครบ แล้วเหตุใดยังต้องคุยเรื่องราคาค่างวดกันใหม่อีกเล่า”
“เจ้าไปตามเขามาพูดกับข้าดีกว่า”
“เรื่องพวกนี้คุยกับข้าก็ได้”
“เจ้าแน่ใจนะว่า ตัดสินใจแทนเถ้าแก่ได้ทุกเรื่อง”
“ข้าเป็นหลงจู๊ของร้าน ย่อมทำได้”
หลินอ้ายมองหลงจู๊นิ่ง พยายามทำหน้าจริงจังเคร่งขรึม เห็นอีกฝ่ายยังยืนปั้นยิ้ม ไม่มีทีท่าว่าจะไปตามเถ้าแก่มาเจรจา นางสูดหายใจเข้าลึกแล้วเปล่งเสียงไม่หนักไม่เบา แต่ดังพอให้คนที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินกันทั่วหน้า “ของทั้งหมดราคาสามตำลึงเงิน รวมกับของเก่าที่ได้รับขาดไปอีกสองตำลึง เป็นห้าตำลึง จ่ายมา”
“แม่นางคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว พวกเราตกลงค้าขายกันไว้ที่หนึ่งตำลึงเงิน จู่ๆ จะมาขอขึ้นเป็นสามตำลึง แล้วยังจะเก็บของเก่าเพิ่มอีก ไม่ได้ๆ”
“ทำไมจะไม่ได้ ผ้าที่คุณหนูของข้าใช้เป็นผ้าทออย่างดี กระทั่งไหมที่ใช้ปักยังเป็นของชั้นยอด หาใช่ของธรรมดาดาษดื่นทั่วไป แต่ที่ข้ายอมขายของครั้งก่อนในราคาถูก เพราะคุณหนูมิได้ตั้งราคามา และไม่ได้บอกข้าว่าใช้อะไรตัดเย็บ ข้าโง่เขลา เข้าใจผิดคิดไปเองว่าร้านผ้าที่ใหญ่ที่สุดในจงมู่จะประเมินและรับชื้อของในราคาถูกต้องยุติธรรม แต่ที่ไหนได้...” หลินอ้ายทิ้งคำพูดชวนให้คิดไว้แค่นั้น แล้วมองหลงจู๊ด้วยแววตาตำหนิ เสียงของนางผนวกกับเรื่องราวเรียกความสนใจของลูกค้าในร้านได้ทันที
“ไม่ใช่นะ ผ้าพวกนี้เป็นของคุณหนูทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นจะขายได้ราคาดีขนาดนี้ได้อย่างไร”“เจ้านั่นแหละที่ไม่รู้อะไร” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหัว ทั้งสงสารทั้งสมเพชที่หลินอ้ายโดนเถ้าแก่ร้านตัดเย็บแห่งนี้กดราคาสินค้าอย่างหน้าด้านๆ“ของพวกนี้ต้องขายได้สองสามตำลึงเงินจริงๆ หรืออาเปา”“พูดไปแล้วอาจจะทำให้เจ็บใจ แต่หลินอ้าย เจ้าโดนเถ้าแก่ไร้คุณธรรมหลอกเข้าแล้ว”“ขะ...ข้าโดนหลอกงั้นรึ” หลินอ้ายหน้าซีด ทั้งที่คุณหนูมอบหมายให้นางมาขายของด้วยความไว้วางใจแท้ๆ แต่นางกลับพอใจจำนวนเงินที่ไม่สมกับความเหนื่อยยากของเจ้านาย“อย่าโทษตนเองไปเลยหลินอ้าย เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ในจวนจะไปรู้เรื่องค้าขายได้เยี่ยงไร ถ้าให้ข้าเดา ที่เจ้าพอใจในราคาที่เถ้าแก่เสนอ เพราะเขาให้ราคาเจ้ามากกว่าสินค้าทั่วไปที่ขายอยู่หน้าร้าน ทั้งยังชื่นชมงานของคุณหนูไม่ขาดปาก แล้วสัญญาว่าต่อไปหากมีของมาขายอีก เขาก็จะรับทุกชิ้นในราคาสูงแบบนี้ใช่หรือไม่”“อาเปา เจ้ารู้ได้ยังไง” หลินอ้ายตกใจที่เขาเดาถูกแทบทุกอย่าง“ส่วนคุณหนูเจ้า พอได้รับเงินก็มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มแย้มยินดีอะไร”“อาเปา จะ...เจ้าแอบสืบเรื่องของคุณหนูมาตั้งแต่เมื่อไร บอกมาเดี
บ้านสวนสกุลหลินตั้งอยู่ในเขตอำเภอจงมู่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม สวนของพวกเขาอยู่ห่างจากตัวอำเภอไกลพอสมควร จึงต้องอาศัยรถม้าในการเดินทางพอถึงตัวอำเภออาโต๋วก็บังคับม้าตรงไปยังร้านขายผ้าในตลาด ฉู่ชิงเฟิงที่ส่วนใหญ่อยู่แต่ในเมืองหลวง พอได้ออกมาเปิดหูเปิดตาจึงถือโอกาสสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรเสียเลย เขามองทุกที่ที่รถม้าแล่นผ่านอย่างพิจารณา แล้วพบว่าถึงจงมู่จะเป็นอำเภอเล็กๆ แต่ก็มีแผงลอย ร้านค้าเปิดอยู่หลายร้านเลยทีเดียว ชาวบ้านก็ดูมีความสุขดี แทบจะไม่เจอขอทานตามท้องถนน อ๋องหนุ่มในคราบอาเปาจึงอดยิ้มปลาบปลื้มแทนพระบิดาไม่ได้“มัวยิ้มอยู่นั่น รีบลงจากรถแล้วเอาบันไดมาวางให้คุณหนูเร็วเข้า” อาโต๋วหันไปสั่งอาเปาที่มัวแต่ใจลอยให้ลุกมาช่วยกันทำงาน“อ่า ถึงแล้วเหรอ”“ก็ถึงแล้วน่ะสิ เจ้ามัวแต่นั่งยิ้มใจลอยอยู่นั่น ไหนว่าไม่อยากมาไงเล่า”ฉู่ชิงเฟิงไม่คิดจะโต้เถียงกับอาโต๋ว จึงทำเป็นหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อน แล้วรีบลงจากรถม้าไปหยิบบันไดมาวางให้หลินเสี่ยวหราน ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษที่ถูกอบรมว่าต้องดูแลสุภาพสตรี เขาจึงเผลอยื่นมือออกไปให้หลินเสี่ยวหราน โดยลืมไปว่ายามนี้ตนเองเป็นเพียงคนความจำเสื่
วันคืนของการเป็นอาเปาผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ จากวันเป็นเดือน แต่เวลายิ่งผ่านไป งานที่อาโต๋วโยนมา ไม่สิ มอบหมายให้ฉู่ชิงเฟิงก็เริ่มมากมายขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาทำงานคล่องแล้ว ก็ควรแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ทำให้จากเดิมที่มีอาโต๋วคอยช่วยเวลาที่เขาหมดแรงทำงานไม่ทัน ตอนนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แต่อ๋องหนุ่มยังไม่มีความคิดจะกลับสู่ฐานะเดิมในเร็ววันนี้แน่นอนว่าพองานหนักขึ้น ท้องไส้ของเขาก็ยิ่งปั่นป่วน เสียงพุงน้อยๆ ร้องขออาหารใส่ท้องนั้นดังพอๆ กับเสียงโอดครวญที่ดังขึ้นอยู่ภายในใจของเขาแต่สตรีใจดำอำมหิตอย่างหลินเสี่ยวหรานกลับให้หลินอ้ายส่งแต่ข้าวแข็งๆ โปะกับข้าวที่มีแต่ผักล้วนๆ ไม่มีเนื้อผสมมาให้ทุกเมื่อเชื่อวันช่างใจจืดใจดำไร้คุณธรรมยิ่ง!ฉู่ชิงเฟิงคิดไปพลางพุ้ยข้าวเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืนมันลงไปพลางพร้อมกับความเคียดแค้นที่พองฟูอยู่เต็มท้อง“คอยดูเถอะหลินเสี่ยวหราน หากวันใดได้กลับคืนสู่ฐานะ เปิ่นหวางจะจับเจ้าไปขังเอาไว้แล้วให้กินแต่ผักทุกมื้อเยี่ยงนี้สักปีสองปี”“เจ้าหมูอ้วน เจ้าว่าใครจะจับใครไปขังนะ” หลินอ้ายที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยถาม เมื่อครู่นางยังอยู่ไกลจึง
ฉู่ชิงเฟิงมองอาหารของตนเองสลับกับของอาโต๋วอย่างไม่อยากเชื่อ“ให้ตายสิ ทำไมของเจ้ามีเนื้อด้วย แต่ทำไมของข้า...ของข้ามีแค่ผักเล่า” เขาใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวฟ่างหุงสุกกับผักในชามไปมา หวังว่าจะพบเนื้อหมูสักชิ้น ทว่าความจริงยังคงโหดร้ายเช่นเดิม“มีให้กินก็ดีแล้ว เจ้าก็อย่าเรื่องมากนักเลย” หลินอ้ายกล่าว“เจ้าโกรธเกลียดอะไรข้านักหรือ ถึงได้ทำเรื่องโหดร้ายเยี่ยงนี้” ฉู่ชิงเฟิงหันไปถามหลินอ้ายด้วยดวงตาแดงก่ำ ท่าทีทุกข์ระทมน่าสงสารอย่างยิ่ง เขาทำงานหนักขนาดนี้ตั้งแต่เช้า นางกลับมอบให้เพียงข้าวฟ่างชามหนึ่งกับผัดผักวิญญาณหมู แล้วแบบนี้เขาจะไปมีแรงทำงานในช่วงบ่ายได้อย่างไร“อย่ามาพูดจาเหมือนข้ากลั่นแกล้งเจ้านะ” หลินอ้ายตะหวาดแหว“ถ้าเจ้าไม่ได้กลั่นแกล้งข้า แล้วทำไมถึงมีแต่อาโต๋วที่ได้กินหมูเล่า”“เรื่องนั้นข้าจะไปรู้เหรอ บางทีอาจมีคนเห็นเจ้าเป็นตัวบัดซบกินล้างผลาญ เลยไม่อยากเจียดเนื้อให้เจ้ากินกระมัง” หลินอ้ายยกมือทั้งสองขึ้นพลางไหวไหล่“ต่อให้เจ้าไม่ชอบหน้าข้าอย่างไร อยากไล่ข้าไปให้พ้นๆ แต่การกลั่นแกล้งคนที่ทำงานหนักมาตลอดเช้าเยี่ยงนี้ เจ้าไม่นึกละอายใจหน่อยเหรอ”“ละอายใจ? คนที่ควรละอายคือเจ้าต่างหา
ปัง ปัง ปัง!ฉู่ชิงเฟิงกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน เพราะตกใจเสียงเคาะประตู ครั้นหันมองไปรอบกาย ก็พบว่าตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง แต่อาโต๋วกลับมาเรียกคน ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเสียมารยาทยิ่ง แต่เขาก็รีบลุกจากที่นอน เดินแบกพุงพลุ้ยๆ ของตนเองไปเปิดประตูในที่สุด“เจ้ามาเคาะประตูเรียกข้าด้วยเหตุอันใด” ฉู่ชิงเฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากที่สุด“นี่อาการเจ้าหนักมาก กระทั่งเมื่อวานคุยอะไรไว้กับคุณหนูก็ลืมไปหมดแล้ว?” อาโต๋วไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะถามเขากลับ“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ข้าย่อมจำได้”“ถ้าเจ้าจำได้ทำไมถึงมัวแต่นอนอยู่เล่า ปล่อยให้ข้าเคาะประตูเรียกเสียนาน”ฉู่ชิงเฟิงย่นคิ้ว พลางหันไปมองท้องฟ้าที่มืดอยู่ “ข้ามิได้ตื่นสายเสียหน่อย ฟ้ายังไม่ทันสางเลย”“แล้วเจ้าจะรอให้ตะวันโผล่พ้นยอดไผ่ก่อนหรือไงถึงค่อยทำงาน”“มันก็ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ”อาโต๋วส่ายหัวไปมา เขารู้สึกว่าคุณหนูของตนไม่ได้หาคนมาช่วยงาน แต่จะเพิ่มภาระให้เขามากกว่า “คุณหนูหนอคุณหนู ดูก็รู้ว่าเจ้าคงทำอะไรไม่เป็นยังจะยื่นข้อเสนอแบบนั้นอีก ไล่ๆ ไปเสียก็หมดเรื่องแล้ว”ฉู่ชิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา ขืนอาโต๋วไปบอกว่าเขาไม่ยอมทำงาน ตนเ
หลินเสี่ยวหรานให้ฉู่ชิงเฟิงตามนางไปที่โต๊ะหินใต้ต้นอิงฮวา แล้วเชิญให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นไม่นานอาโต๋วก็ไปตามลุงชุนมาสมทบ ครั้นทุกคนภายในบ้านอยู่รวมกันครบแล้ว หลินเสี่ยวหรานถึงได้เริ่มบทสนทนา“ก่อนหน้าเป็นเพราะเจ้าป่วยอยู่ ข้าจึงมิได้พูดคุยอะไรด้วยแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่บัดนี้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว ข้าเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เราจะต้องพูดคุยกันเสียที ถึงแม้เจ้าจะยังจำอะไรไม่ได้ก็ตาม”“คุณหนูหลินมีเรื่องอันใดก็บอกกล่าวมาได้เลย” ใบหน้าอ้วนกลมของฉู่ชิงเฟิงดูจริงจังขึ้นสามส่วน“แต่ก่อนที่จะคุยอะไรกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรหาชื่อให้ตนเองก่อน จะได้เรียกขานกันได้ถูก”“นั่นสินะ” ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน พอถูกถามก็นึกไม่ทันอยู่บ้าง เพราะในหัวมีคำมงคลมากมายลอยวนอยู่ในนั้น แต่ก็ยังหาชื่อที่ความหมายดี และถูกใจตนเองไม่ได้ทว่าคนที่รอฟังคำตอบมิได้มีใจอยากคอยเขาประดิษฐ์คำสักเท่าใด“หากเจ้ายังนึกไม่ออก ข้าก็ยินดีจะตั้งให้” หลินเสี่ยวหรานยิ้มกล่าว ท่าทางเต็มอกเต็มใจฉู่ชิงเฟิงหันไปสบตาของหลินเสี่ยวหรานที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ กอปรกับเขายังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรใช้ช