Beranda / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่8องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน

Share

ตอนที่8องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน

last update Terakhir Diperbarui: 2025-07-14 21:58:05

"ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"

เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้

เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ 

"นั่งลงเถิด"

พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่

เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที

"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"

หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง

"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"

ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ 

เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบ

ราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก "ผิด"

"อวี้หลัน นางเคยเป็นตัวเลือกที่ดี"

พระสุรเสียงของฮองเฮานุ่มนวล แต่กลับแฝงด้วยความเย็นเยียบ ทำให้หัวใจผู้คนเย็นยะเยือกได้อย่างน่าประหลาด

"นางเกิดจากฮูหยินจากตระกูลไป๋ อำนาจของตระกูลนั้นมั่นคงในราชสำนัก เมื่อรวมกับตำแหน่งของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา ก็นับว่ามีน้ำหนักไม่น้อยเลย"

องค์ชายห้าไม่ได้ตอบอะไร เพียงนิ่งฟังอย่างเงียบงัน ราวกับทุกอย่างนั้น เขาให้ผู้เป็นมารดาตัดสินใจ

"น่าเสียดายที่ตระกูลไป๋ถูกกวาดล้าง สูญสิ้นอำนาจ แม้นางจะยังเป็นบุตรีสายตรงของสกุลอวี้ แต่ก็มิอาจเทียบเท่าเดิมได้อีก"

พระพักตร์งามยังคงสงบนิ่ง ในขณะที่เอ่ย

"ในทางกลับกัน คุณหนูใหญ่อวี้เหมย นับว่าเหมาะสมกว่า นางเป็นบุตรีของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน และท่านตาของนาง เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพภาคแห่งแดนใต้ และในอนาคตข้างหน้าย่อมจะรุ่งโรจน์กว่านี้มาก"

สายพระเนตรของฮองเฮาเยือกเย็น ราวกับย้ำถ้อยคำก่อนหน้าให้แน่นลึกยิ่งกว่าเดิม

"หยวนเอ๋อร์เจ้าไม่อาจยึดติดกับความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ สิ่งสำคัญคือข้างหลังของพวกนางต้องมีอำนาจที่แข็งแกร่ง"

พระนางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อเสียงเบาแต่ชัดเจน

"ชายาของเจ้าจะเป็นหญิงไร้อำนาจไม่ได้เด็ดขาด เพราะทุกอำนาจที่พวกนางมีล้วนสำคัญต่อเจ้า"

องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนคลี่ยิ้มจางๆ ในดวงตาไม่เผยความรู้สึก

"เสด็จแม่อย่าได้กังวล เรื่องนี้ลูกจะจัดการให้เรียบร้อยเองพ่ะย่ะค่ะ"

เสิ่นฮองเฮาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลับพระเนตรลงอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด

"งานเลี้ยงของจวนอวี้ที่จะถึงนี้ เจ้าก็ไปทำความรู้จักกับคุณหนูใหญ่อวี้เสียหน่อยก็แล้วกัน"

หลี่จื้อหยวนเม้มริมฝีปาก สายตากดต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะขานรับเบาๆ

"พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่"

รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นฮองเฮา ใบหน้าที่แม้จะผ่านกาลเวลามาไม่น้อย แต่ยังคงงดงามสง่าไม่เสื่อมคลาย

รอยยิ้มนั้นอ่อนโยน เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่นางต้องการ ไม่มีอะไรหลุดจากแผนที่วางไว้เลยแม้แต่น้อย

ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่า ‘ตัวหมาก’ ที่ถูกเปลี่ยนออกไปในกระดานนี้ วันหนึ่งพวกเขาอาจต้องนึกเสียดายอย่างถึงที่สุด

องค์ชายห้าเดินออกมาจากตำหนักของพระมารดา ทุกย่างก้าวล้วนมั่นคงหนักแน่น ทว่าหัวใจกลับล่องลอยไปไกลกว่าที่ใครจะมองเห็น

ในห้วงความคิดเงียบงันของเขา ภาพของเด็กหญิงตัวน้อยผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

อวี้หลัน

เด็กหญิงแก้มยุ้ย ผิวขาวเนียนราวหิมะ ปากแดงก่ำฉ่ำน้ำที่ช่างฉอเลาะช่างเจรจา

ในห้วงความทรงจำของหลี่จื้อหยวน เมื่อครั้งเขามีอายุเพียงสิบสองปี เป็นเพียงองค์ชายผู้อยู่ท่ามกลางความคาดหวังกับความเงียบงันและในวันนั้นเอง เขาก็ได้พบกับนางเป็นครั้งแรก

อวี้หลัน เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงห้าขวบ นางเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาหลวงร่วมกับเหล่าองค์ชายองค์หญิงและบุตรธิดาของเหล่าขุนนางตระกูลใหญ่เป็นวันแรก โดยสำนักศึกษาหลวงจะมีการแบ่งแยกชายหญิงเอาไว้อย่างชัดเจน

และเพราะความซุกซน เด็กหญิงตัวน้อย ดวงหน้ากระจ่าง แก้มกลมยุ้ย ดวงตาใสแจ๋ว นางดูราวตุ๊กตาตัวน้อยที่หลงเข้ามาในโลกของเด็กชาย เขาเห็นนางยืนกำชายเสื้อแน่น ดวงตากลมโตคลอไปด้วยน้ำตา ถูกรังแกโดยเด็กชายโตกว่าหลายคนที่หัวเราะและล้อเลียนรูปร่างกลมป้อมปุกปุยของนาง 

องค์ชายห้าในวัยสิบสอง ไม่ได้พูดอะไรยืดยาว เขาเพียงเดินเข้าไป ก้าวขวางไว้ด้วยร่างสูงโปร่งของตนเอง และใช้สายตาเย็นเฉียบ มองพวกเด็กชายเหล่านั้น เพียงแค่นั้น พวกเขาก็พากันถอยหนีอย่างหวาดหวั่น

หลี่จื้อหยวนหันกลับมามองนาง เด็กหญิงตัวน้อยยังคงยืนนิ่ง ดวงหน้าแดงก่ำ แต่เมื่อเขายื่นมือให้ นางกลับรีบคว้าไว้แน่นอย่างไม่ลังเล

จากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน มักจะมีเงาร่างกลมป้อมวิ่งตามมาต้อยๆ ไม่ห่าง ราวกับหางน้อยๆ 

"พี่ชาย พี่ชาย ท่านรอหลันเอ๋อร์ก่อนสิเจ้าคะ"

เสียงใสเล็กๆ นั้นดังก้องในหู พร้อมกับภาพเจ้าตัวน้อยที่วิ่งกระดุ๊กกระดิ๊กตามหลัง มือหนึ่งกอดตุ๊กตาผ้าไว้แน่น อีกมือก็พยายามยืดแขนออกมาคว้าแขนเสื้อเขาไว้ให้ได้ เขาจำได้ว่า นางชอบเกาะชายเสื้อเขาแน่น ไม่ยอมให้ไปไหนไกล

ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ไม่ว่ากำลังจะทำอะไร อวี้หลันก็มักจะโผล่หน้ามาอย่างเงียบๆ แล้วร้องเรียกเขาว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงสดใสราวเสียงระฆังแก้ว ตอนนั้นเขารำคาญอยู่บ้าง แต่พอหันไปมองแก้มยุ้ยๆ ดวงตาใสๆ ของนางแล้ว ก็ทำได้เพียงถอนใจแล้วปล่อยให้นางตามมาเงียบๆ

แต่เด็กคนนั้นกลับไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น บางครั้งนางก็ออดอ้อนขอขนม บางครั้งถึงกับยื่นตุ๊กตาผ้าตัวเล็กๆ มาให้เล่นด้วยกัน เขามักจะแกล้งทำหน้าขรึมไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ยอมให้นางลากไปเล่นอยู่ดี

วันเวลาเหล่านั้นมันช่างเรียบง่ายและอ่อนโยน นางคือความสดใสเล็กๆ ในวัยเยาว์ของเขา เป็นเหมือนสายลมอ่อนโยน ที่พัดผ่านความเงียบเหงาในใจอย่างแผ่วเบา

ในวันที่พระมารดาเอ่ยปากเรื่องการหมั้นหมาย และเอ่ยชื่อนางขึ้นมาว่าเป็นคู่หมายของเขา เขากลับไม่ได้รู้สึกขัดข้องหรืออึดอัดแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม เขารู้สึกเต็มใจ และยินดีเป็นอย่างมาก

แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลง

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับชีวิตของหลันเอ๋อร์น้อยของเขา โดยที่เขาไม่อาจที่จะช่วยอะไรนางได้เลย ซ้ำยังถูกพระมารดาสั่งห้ามไม่ให้สนิทสนมกับเด็กน้อยผู้นั้นอีก แม้เขาอยากจะพบเจอนางอีกสักครั้ง แต่นับตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น นางก็ไม่เคยปรากฏตัวที่สำนักศึกษาอีกเลย และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ

มาบัดนี้ เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว เติบโตมาท่ามกลางความสูญเสีย การทรยศ และเปลวเพลิงแห่งอำนาจ

เขาไม่รู้ว่าสายลมนั้นจะยังอ่อนโยนเหมือนเดิมหรือไม่ หรืออาจจะกลายเป็นพายุที่พัดสวนทางกลับมา 

เขาไม่รู้ว่านางในตอนนี้เติบโตขึ้นเพียงใด ไม่รู้ว่านางยังจำพี่ชายผู้นี้ได้อยู่หรือไม่ หรือแค่เห็นหน้าก็ชิงชังจนอยากจะหันหลังหนี

หลี่จื้อหยวนหลุบตาลงเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งยิ่งกว่าที่คิดไว้

"เจ้าจะโกรธข้าหรือเปล่า หลันเอ๋อร์"

"เจ้าเกลียดข้าแล้วหรือไม่"

ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา มีเพียงแค่ความเงียบ และแสงอาทิตย์ที่เริ่มลับขอบฟ้าตรงหน้า

ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

เสด็จแม่พูดถูก

เขาไม่ควรยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอีกต่อไป สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ควรปล่อยให้ผ่านพ้นไป

เขาควรเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

เพราะเส้นทางของเขากับนาง ไม่มีวันจะหวนกลับมาบรรจบกันได้อีกแล้ว

เมื่อเปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง แววตาของหลี่จื้อหยวนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แววตาที่เคยสั่นไหว เหลือเพียงความเด็ดขาดแน่วแน่

สิ่งที่เขาต้องการคือ อำนาจ

หากเขาครอบครองอำนาจไว้ในมือ ต่อไปไม่ว่าเขาปรารถนาสิ่งใด มันก็จะบันดาลทุกสิ่งอย่างมาให้เขา ทุกอย่างที่เขาต้องการก็ย่อมได้มาโดยง่าย

แม้กระทั่ง... นาง

 

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่51คลื่นใต้น้ำ

    ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่50ลงดาบเซิ่งซื่อ

    "ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่49เซิ่งซื่อจนมุม

    เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่48กำจัดเซิ่งซื่อ

    แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่47ตลบหลัง

    หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่46อัครเสนาบดีอวี้จิ้ง

    ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status