เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ
"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"
เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างาม
แขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้น
เมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจ
ในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่นางต้องการ
แสงโคมแดงสองข้างทางทอดเงาสะท้อนบนพื้นหินเย็นยะเยือก เสียงรองเท้าปักของเซิ่งซื่อกระทบพื้นก้าวแล้วก้าวเล่าดังแผ่วเบา ริมฝีปากแดงสดคลี่ยิ้มบางเบาอย่างห้ามไม่อยู่ นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ขณะก้าวเดินออกจากโถงงานเลี้ยงที่เพิ่งปิดฉากลงเร็วกว่ากำหนด หากผู้อื่นมองเห็นก็อาจคิดว่าฮูหยินใหญ่กำลังขุ่นเคือง แต่แท้จริงแล้วในอกของนางกำลังเอ่อท้นไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
เซิ่งซื่อหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าทุกสิ่งที่วางแผนไว้กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น เซิ่งกงซุนต้องรวบหัวรวบหางอวี้หลันได้แล้วแน่ๆ
สายลมยามค่ำคืนพัดชายเสื้อคลุมของนางปลิวพลิ้ว แต่กลับไม่ทำให้จังหวะก้าวอันสวยสง่าของนางสะดุดลงแม้แต่น้อย เซิ่งซื่อเดินตรงกลับเรือนด้วยสีหน้าที่เปล่งประกายพึงพอใจ ราวกับสตรีผู้กำชัยเหนือทุกสิ่ง
เสียงฝีเท้าของสาวใช้ดังขึ้นหน้าเรือนนอนที่สว่างไสวด้วยแสงตะเกียง เซิ่งซื่อซึ่งกำลังนั่งจิบชาสำรวจเล็บที่เพิ่งขัดและย้อมสีใหม่ พลันเงยหน้าขึ้นเมื่อสาวใช้ก้าวเข้ามา
"ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ นายท่านส่งคนมาเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ"
แววตาของเซิ่งซื่อพลันเปล่งประกาย นางชะงักไปเพียงชั่วครู่ ก่อนริมฝีปากจะยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นยินดีที่แทบกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
"สำเร็จแล้วแน่ สำเร็จแล้วแน่ๆ"
นางคิดในใจ ความมั่นใจเอ่อล้นจนแทบระเบิดออกมา
แผนการที่วางไว้ย่อมสัมฤทธิผลแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย หลานชายของนาง เซิ่งกงซุน ไม่เคยทำให้นางผิดหวัง ยามนี้เขาคงรวบหัวรวบหางอวี้หลันได้อย่างสมบูรณ์ ชื่อเสียงอันสูงส่งของเด็กนั่นย่อมป่นปี้ ไม่เหลือสิทธิ์ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระชายาขององค์ชายใหญ่ได้อีกต่อไป
เพียงคิดถึงภาพนั้น รอยยิ้มของเซิ่งซื่อก็ยิ่งกว้างขึ้น ความภาคภูมิใจกับชัยชนะที่ใกล้เข้ามาทำให้นางแทบลืมหายใจ
ส่วนอวี้จิ้ง ต่อให้เขาไม่เต็มใจสักเพียงใด ก็จนปัญญา ครานี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากต้องยอมยกบุตรสาวให้หลานชายของนางอย่างเลี่ยงไม่ได้
เซิ่งซื่อคิดในใจ พลางหัวเราะเบาๆ นางเชิดคางขึ้น สะบัดแขนเสื้อให้คลี่เป็นลอนคลื่นงดงาม ยิ่งขับให้ท่วงท่ายิ่งดูหยิ่งผยอง ก่อนก้าวออกจากห้องอย่างสง่าผ่าเผย แผ่นหลังตรงแน่วเต็มไปด้วยความมั่นใจ แม้แต่ยามเดินผ่านซูถัวบ่าวคนสนิทของสามี ผู้ซึ่งไม่เคยเห็นหัวนางเลยสักครั้ง เซิ่งซื่อก็ยังไม่วายปรายตามองเขาอย่างผู้เหนือกว่า แววตาคมกริบที่ทอดผ่านนั้นเปี่ยมด้วยความเยาะหยัน
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องหนังสือ ใบหน้าของเซิ่งซื่อก็เปลี่ยนเป็นความนุ่มนวลอ่อนหวานดุจเดิม รอยยิ้มจางๆ ที่นางมักใช้เมื่ออยู่ต่อหน้าสามีผุดขึ้นบนริมฝีปาก นางมั่นใจนักว่าในเวลานี้ อวี้จิ้งคงลนลานและเคร่งเครียดเอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วนางจะยกถ้อยคำที่เตรียมไว้มาปลอบประโลมให้เหมือนเป็นผู้แก้ไขสถานการณ์ แต่สิ่งที่นางพบกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
อัครเสนาบดีอวี้จิ้งนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ ร่างสูงสง่าแต่เต็มไปด้วยอำนาจ ใบหน้าของเขาขรึมเคร่งราวสลักจากหินแข็งไร้รอยหวั่นไหว ดวงตาคมกริบทอดมองนางอย่างเย็นชา ไร้ซึ่งความอ่อนโยนเช่นที่เคยมี
บรรยากาศในห้องหนังสือคล้ายถูกแช่แข็ง บ่าวไพร่ที่ยืนเรียงรายสองข้างล้วนก้มหน้าต่ำ ไม่มีใครกล้าสบตาหรือกล้าหายใจแรงสักคน
หัวใจเซิ่งซื่อกระตุกวูบ ความมั่นใจเมื่อครู่เริ่มสั่นคลอนโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงเสี้ยววินาที นางก็ฝืนยกยิ้มจางๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ก้าวตรงไปเบื้องหน้าอย่างมั่นคง แสร้งทำเป็นไม่หวั่นไหว ทั้งที่ฝ่ามือกลับเริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
"ท่านพี่เรียกหาข้าดึกดื่นเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเรื่องสำคัญกระมังเจ้าคะ"
น้ำเสียงของนางทอดนุ่ม ทว่าในแววตาปรากฏประกายหวาดหวั่น นางหาใช่คนโง่ ย่อมมองออกว่ามีบางสิ่งผิดพลาด
ทว่าอวี้จิ้งมิได้ตอบในทันที เขาเพียงยกถ้วยชาขึ้นแนบริมฝีปาก ดื่มช้าๆ อย่างเงียบงัน ก่อนวางลงด้วยท่าทีเรียบเฉย
แววตาของเขาคมกริบ แฝงแววคมดุเฉียบขาด จ้องลึกเข้ามาราวกับจะมองให้ทะลุในใจของนางจนร่างเซิ่งซื่อสะท้านวาบไปทั้งกาย
ดวงตาคมเยียบเย็นไม่กะพริบแม้แต่น้อย ขณะที่เซิ่งซื่อฝืนยิ้มกำลังก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย ความเงียบหนักอึ้งดำเนินอยู่เพียงอึดใจ ก่อนที่เสียง ปัง! จะดังสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
สิ่งหนึ่งถูกโยนลงบนโต๊ะไม้อย่างแรงจนสะดุ้งสะเทือน เซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก ดวงตาพลันเบิกกว้าง นางกวาดสายตามองสิ่งนั้นอย่างรวดเร็ว และหัวใจร่วงวูบลงสู่ก้นเหว
นั่นคือถุงสมุนไพรที่นางเคยสั่งให้คนจัดเตรียมไว้เพื่อวางยาอวี้เฉิน
ดวงตาคมกริบของอัครเสนาบดีอวี้จ้องมองภรรยาไม่วางตา ราวกับจะมองทะลุไปถึงความคิดลึกเร้นในจิตใจ เสียงทุ้มหนักแน่นเอ่ยขึ้นช้าๆ แต่แฝงแรงกดดันมหาศาล
"เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ล่วงรู้หรือว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความทุกข์ทรมานของบุตรชายข้า เจ้าวางยาเขาทำไม!"
คำพูดนั้นดุจค้อนหนักฟาดลงกลางใจ เซิ่งซื่อหน้าเสียไปชั่วขณะ ริมฝีปากที่เคยยกยิ้มอ่อนหวานสั่นระริก แต่ยังพยายามเก็บกลั้นฝืนทำท่าไม่สะทกสะท้าน
เซิ่งซื่อจ้องถุงสมุนไพรบนโต๊ะ ดวงตาสั่นระริก หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก
เป็นไปไม่ได้…
นางก่นในใจอย่างลนลาน ยานั่นมิใช่พิษร้ายแรงอันใด เป็นเพียงยาที่ออกฤทธิ์ไม่นาน อาการก็คลายไปสิ้น มิได้ถึงขั้นทำให้ทนทุกข์ทรมานหนักหนาเสียหน่อย
ยาที่เลือกใช้นั้น นางคิดคำนวณมาดีแล้ว เพียงใช้มันเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนไม่ให้ไปขวางทางหลานชายของตนเท่านั้น หาได้ต้องการเอาชีวิตอวี้เฉินไม่ แต่เหตุใดจึงกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้
คิ้วเรียวขมวดแน่นอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าอาการของอวี้เฉินหนักเกินกว่าที่คาด นางกัดริมฝีปากแน่น หัวใจร้อนรนขึ้นทุกที
แล้วอีกสิ่งที่ทำให้นางกระวนกระวายไม่แพ้กันก็คือ อวี้จิ้งยังมิได้เอ่ยถึงอวี้หลันแม้แต่คำเดียว
เหตุใดเขาจึงไม่ถามถึงนาง หรือว่านางจะถูกนังเด็กนั่นเล่นงานเข้าแล้ว
ความคิดนั้นแล่นวาบเข้ามาอย่างรวดเร็ว เล่นเอาเลือดในกายเซิ่งซื่อเย็นเฉียบไปชั่วขณะ
"ท่านพี่ ไม่ใช่นะเจ้าคะ"
เสียงเซิ่งซื่อเอื้อนเอ่ยสั่นเครือ แต่น้ำเสียงแฝงด้วยความพยายามรักษาความมั่นใจ นางก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่าย
"ข้า...ข้าถูกใส่ร้าย! ยานั่นเป็นเพียงสมุนไพรอ่อนๆ เท่านั้น หาใช่พิษร้ายแรงใดไม่ หากจะกล่าวว่าข้ามีเจตนาทำร้ายอาเฉินแล้วไซร้ มันช่างไม่ยุติธรรมต่อข้ายิ่งนัก ต้องมีคนเปลี่ยนยาเป็นแน่"
นางเงยหน้าขึ้นสบตากับสามี ยืนยันหนักแน่น
"ท่านพี่ ท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ"
อวี้จิ้งนิ่งไป ใบหน้าขรึมเคร่งที่แน่วแน่กลับสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ความลังเลแผ่วผ่านในแววตา
ทว่ายังไม่ทันที่เซิ่งซื่อจะยกถ้อยคำใดมากล่าวอ้างต่อ เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นจากนอกห้อง
ประตูไม้ถูกผลักออกช้าๆ เผยให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ใบหน้าคมคร้ามสงบนิ่ง หากแต่รัศมีรอบกายกลับกดดันจนผู้คนรอบห้องก้มหน้าหลบตาโดยพร้อมเพรียง
"แล้วเหตุใดเจ้าถึงเอายานั่นให้อวี้เฉินกินเล่า"
สุรเสียงทุ้มต่ำขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้องสะท้อนทั่วห้อง แรงกดดันหนักหน่วงจนบ่าวไพร่รอบกายตัวสั่นงันงก
สีหน้าของเซิ่งซื่อซีดเผือดในทันที ดวงตาเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง นางรีบก้มศีรษะลงกับพื้น น้ำเสียงร้อนรน
"หามิได้เพคะ! หามิได้! หม่อมฉันเพียงแต่หวังดีต่ออาเฉิน ยาที่หม่อมฉันให้ไปก็เพื่อบำรุงร่างกาย หาใช่สิ่งอันตรายใดไม่!"
คำแก้ต่างยังไม่ทันจบดี เสียงฝีเท้าหนักอึ้งก็ดังตามมาอีกครั้ง ก่อนที่องครักษ์ของหลี่เหวินหลงจะลากร่างหมดสติของเซิ่งกงซุนเข้ามาโยนลงกลางห้องอย่างไร้ปรานี เนื้อตัวและเสื้อผ้าของเขาเลอะเทอะ ข้อมือทั้งสองถูกมัดแน่น
และเบื้องหลังคืออวี้หลัน ที่ก้าวเข้ามาอย่างสงบ ดวงตาคมกริบของนางกวาดผ่านทุกผู้คนก่อนจะหยุดลงที่เซิ่งซื่อที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"
ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม
เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว
หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย
ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที