แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนา
เสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมา
หัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตน
ความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยความปวดร้าวยากจะเอ่ยออกมา
เขาเป็นพ่อ พ่อที่อยากปกป้องเลือดเนื้อ พ่อที่ไม่อาจทนเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขต้องทนทุกข์เจ็บปวดเช่นนี้ หากแต่ความจริงอันโหดร้ายกลับตวัดเข้ามาในใจ ผู้ที่ลงมือปองร้ายหาใช่ใครอื่นไม่ แต่คือสตรีที่เขาเรียกขานว่าภรรยา ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาหลายปี
นางยังไม่คิดจะหยุด
เพียงคิดถึงตรงนี้ ใจของเขาก็เจ็บปวดแทบแตกสลาย ความเชื่อใจและความผูกพันที่เคยมี กลับกลายเป็นดั่งมีดคมที่หันปลายแทงซ้ำเข้ามาไม่หยุดหย่อน
เขาอยากปกป้องบุตรทั้งสองสุดหัวใจ และรู้ดีว่าหน้าที่ในฐานะสามีและเสนาบดี ย่อมต้องลงโทษนางผู้เป็นภรรยา แม้ในอกจะเต็มไปด้วยความขมขื่นเพียงใดก็ตาม
อวี้จิ้งกำมือแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น ความลังเลและความเจ็บปวดต่อสู้กันภายใน แต่แล้วสายตาที่มองบุตรชายก็แน่วแน่ขึ้น เขารู้ว่าตนไม่อาจปล่อยให้อารมณ์ส่วนตัวบดบังความจริงได้อีกต่อไป ต่อให้เป็นสตรีที่ร่วมเคียงหมอนมาด้วยกัน หากคิดร้ายต่อบุตรของเขา ก็สมควรได้รับโทษทัณฑ์สถานหนัก
"เป็นเช่นไรบ้าง"
อวี้จิ้งเอ่ยถามทันทีที่เห็นหมอเฒ่าละมือจากการรักษาบุตรชาย น้ำเสียงแม้พยายามหนักแน่น แต่กลับแฝงด้วยความร้อนรนที่ยากจะปิดบัง
"ใต้เท้าโปรดวางใจ"
หมอเฒ่าก้มศีรษะรายงาน
"นับว่าคุณชายยังโชคดีนักที่ขับพิษได้ทัน ไม่อย่างนั้น..."
ประโยคนั้นขาดหายไปกลางคัน ทิ้งความเย็นเยียบให้แผ่ซ่านในอกของอวี้จิ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่หมอเฒ่าจะเอ่ยต่อเสียงจริงจัง
"ตอนนี้ข้าได้ขับพิษออกจนหมดแล้ว ร่างกายไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรง ยามนี้ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง เพียงพักผ่อนให้เพียงพอ อีกไม่กี่วันอาการก็จะทุเลาลง"
คำตอบนั้นทำให้อวี้จิ้งเผลอหลับตาลงอย่างโล่งอก ลมหายใจหนักหน่วงถูกปล่อยออกมา ราวกับแบกภูเขาใหญ่ไว้แล้วได้วางลงเสียที ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย ก่อนเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา
"ดี ดีแล้ว"
เสียงฝีเท้าดังเร่งรีบอยู่หน้าประตู ก่อนที่ซูถัวบ่าวคนสนิทจะเข้ามารายงานอย่างนอบน้อม
"นายท่านขอรับ ตอนนี้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงล้วนถูกส่งออกจากจวนเรียบร้อยแล้วขอรับ"
อวี้จิ้งยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ดวงตาคมทอดมองบุตรชายที่ยังนอนอ่อนแรง เสียงครางแผ่วเบาทำให้หัวใจของเขาราวกับถูกบีบเคล้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ความโล่งอกที่อาการบุตรชายปลอดภัยยังไม่ทันจางหาย ความโกรธและเจ็บปวดก็พุ่งทะลักขึ้นมาแทนที่ เมื่อความจริงที่ว่าภรรยาผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นผู้ลงมือปองร้ายเลือดเนื้อของตนไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้
อวี้จิ้งกำมือแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้นบนหลังมือ ดวงตาคมทอแววเย็นเยียบ สรรพสิ่งภายนอกจวนยามนี้สิ้นกังวล เหลือไว้เพียงเพลิงร้อนในเรือนที่เขาต้องจัดการด้วยมือของตนเอง
อวี้จิ้งค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึกเพื่อกดข่มคลื่นอารมณ์ เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้ น้ำเสียงต่ำหนักดังขึ้นอีกครั้ง
"ดี ปิดประตูใหญ่ของจวนเสีย อย่าให้ผู้ใดเข้าออกจนกว่าข้าจะสั่ง ควบคุมตัวบ่าวไพร่ในเรือนทั้งหมด แล้วเชิญตัวฮูหยินไปพบข้าที่ห้องหนังสือ ข้าจะเป็นผู้สอบถามและชำระโทษนางด้วยตัวเอง"
บ่าวคนสนิทก้มศีรษะรับคำทันที บรรยากาศเงียบงันกลับมาปกคลุม ทั่วทั้งเรือนเหมือนถูกคลี่คลุมด้วยเงาหนักอึ้ง
คำสั่งเด็ดขาดนั้นทำให้บ่าวไพร่ในเรือนหน้าซีดเผือด ต่างเร่งรับคำและรีบออกไปตามคำบัญชา ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ทิ้งให้อวี้จิ้งยืนแน่วแน่อยู่ข้างเตียง สายตาที่ทอดมองบุตรชายเปี่ยมด้วยความห่วงใย ทว่าลึกลงไปยังแฝงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้
หลังจากที่เงาร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นบิดาก้าวออกไปจากห้อง เหลือเพียงแสงตะเกียงที่ริบหรี่อยู่ข้างเตียงกับความเงียบที่อบอวล อวี้เฉินซึ่งเมื่อครู่ยังนอนซมเหงื่อท่วมกายก็พลันยันกายลุกขึ้นช้าๆ ทุกการเคลื่อนไหวแม้จะอ่อนแรง แต่แววตากลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น
เขาหลุบตามองมือของตนเองที่ยังสั่นไหว ความรู้สึกผิดถาโถมจนแทบหายใจไม่ออก ภายในใจเอ่ยคำขอโทษต่อบิดาครั้งแล้วครั้งเล่า ขอโทษที่หลอกลวง ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องทุกข์ใจเพราะเขา
แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกผิดนั้นก็คลายลงเมื่อความจริงที่ว่า เซิ่งซื่อวางยาเขาหาใช่เพื่อสังหารไม่ หากเพื่อกันเขาออกจากพี่สาว เพื่อเปิดทางให้หลานชายของนางได้ย่ำยีและรังแก
ความคิดนั้นทำให้เลือดในกายเดือดพล่านขึ้นทันตา
เซิ่งซื่อนางช่างไร้ยางอายและสารเลวยิ่งนัก
เพียงนึกถึงพี่สาว หัวใจของอวี้เฉินก็ร้อนรนยิ่งกว่าไฟแผดเผา ไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ องค์ชายใหญ่จะช่วยเหลือนางได้ทันเวลาหรือเปล่า ความกังวลปะปนกับโทสะจนยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บแค้นแทบขาดใจ
"เซิ่งซื่อ หญิงชั่วนั่นควรถูกกำจัดไปจากจวนนี้เสียที"
อวี้เฉินพึมพำออกมาเสียงแข็ง เต็มไปด้วยโทสะที่กดทับอยู่นาน และนั่นทำให้เขาไอออกมาคำรบใหญ่ จนต้องยกมือขึ้นกุมอกเพราะรู้สึกทั้งเจ็บและจุกไปทั่วทรวงอก
หลังจากที่อวี้เฉินไอจนใบหน้าแดงก่ำ เขาก็ทิ้งตัวเอนลงบนหมอนพลางหอบหายใจถี่ราวกับเพิ่งผ่านศึกใหญ่ ร่างกายยังอ่อนล้าแทบไร้เรี่ยวแรง แต่ในใจกลับไม่หยุดครุ่นคิด
จะว่าไปเขาเพียงแค่แสร้งดื่มยาพิษนั่นก็ได้มิใช่หรือ ในเมื่อนี่เป็นเพียงแผน แต่เพราะองค์ชายใหญ่ผู้เป็นนายยืนกรานหนักแน่นว่าจะต้อง สมจริงที่สุด เพื่อมิให้ใครจับพิรุธได้
อวี้เฉินจึงถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มพิษเข้าไปจริงๆ โดยอีกฝ่ายอ้างว่าพิษนั่นไม่มีอันตรายและยังมียาถอนพิษเตรียมไว้ให้แล้ว จะไม่มีอันตรายอันใดติดตามมาแน่นอน คำพูดนั้นแม้ฟังดูน่าเชื่อถือ แต่กว่าจะมอบมันให้เขาก็เล่นเอาเขาแทบตาย
อวี้เฉินแค่นหัวเราะเบาๆ เห็นทีเขาคงโดนผู้เป็นนายกลั่นแกล้งอีกแล้วกระมัง โทษฐานที่หวงพี่สาว ทำตัวขวางหูขวางตา และกีดกันผู้เป็นนาย
เพียงคิดถึงรอยยิ้มสงบนิ่งขององค์ชายใหญ่ที่ทอดมองมาก่อนหน้า หัวใจอวี้เฉินก็พลันร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง เขาอยากจะดึงทึ้งหัวตัวเองให้หลุดไปเสียจริงๆ ที่เสียรู้อีกฝ่ายอีกแล้ว ถูกผู้เป็นนายปั่นหัวจนเสียรู้เช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม
เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว
หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย
ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที