การต่อสู้ฟาดฟันเกิดลำแสงแปลบปลาบทั่วนภา ทักษะชั้นเชิงอยู่ในระดับเทวะไม่แพ้กันจังหวะรุกไล่ฟาดดาบกรีดกันกลางอากาศปราดหนึ่งก่อนสกัดกั้นไขว้กันรอจังหวะผลักดันพลังในระยะประชิด หมิงเยว่แค่นเสียงฉุนใส่หน้าบุรุษ “ท่านไม่มีสิทธิ์ในตัวซิงเยว่ จงกลับไปดูแลภรรยาของท่านซะ”หลิวไท่หยางหรี่ตา แววขึงเครียดไม่ยินยอมสักเสี้ยว “ภรรยาของข้าอยู่ที่นี่ ข้ามีสิทธิ์ต่อนางทุกประการ”หมิงเยว่ยิ่งเดือดดาลฟาดดาบจนสะบั้นเส้นผมบุรุษขาดร่วงหลายเส้น “ภรรยาของท่านคือโจวซู่ฉิน!”หลิวไท่หยางไม่สนใจเส้นผมของตน เขาสะบัดดาบปล่อยพลังปราณอันตราย “ภรรยาของข้าคือซิงเยว่!”ซิงเยว่ที่แอบฟังหลังประตูสูดลมหายใจเข้าอกเฮือก ปรารถนาเข้าไปห้าม แต่มิรู้จะทำได้อย่างไรทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด ไม่ออมมือ ไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งตะวันเดือด อีกฝ่ายจันทราเย็น คลื่นพลังจึงคล้ายเห็นฟ้าแลบร้อนฉ่ากรีดลงกลางอากาศอันเย็นเยียบกระนั้นช่างเป็นความต่างอย่างไม่อาจเข้ากันได้เลยสักเสี้ยว ราวกับต้องการเป็นศัตรูคู่แค้นกันไปทุกชาติทั้งสองฝ่ายฝีมือนับว่าสุดยอด ต่างลงมืออำมหิต ปราศจากความปรานี ปราดเปรียว ฉับไว รวบรัด บุกตะลุยพุ่งชนดุจเปลวเพลิงปะทะเหมันต
ซิงเยว่เงยหน้ามองสตรีผู้พร่ำบ่นยาวเหยียดตาปริบๆ นางย่อมจำไม่ได้ว่าพี่สาวตรงหน้ามีสัมพันธ์อันใดกับตนแน่ แต่คงเหนียวแน่นลึกซึ้งอย่างที่สุดกระมัง แต่ทำไมนึกไม่ออก แค่ฝันถึงเฉกเช่นเมื่อครั้งไปอยู่ในจวนซ่งกับบิดาก็ไม่มีวี่แววใบหน้าพี่สาวผู้นี้ นางไม่คุ้นเลยสักนิด ไม่มีความรู้สึกว่าเคยพบเคยเห็นมาก่อน แต่กับบิดาผู้นั้น นางยังพอคุ้นๆ ใบหน้าอยู่บ้าง คิดไปคิดมาก็ปวดหัว ซิงเยว่จึงเลิกคิดนางถาม “เมื่อก่อนข้าเป็นคนเช่นใดหรือ?”หมิงเยว่อึ้งเล็กน้อย นางมุ่นคิ้วทำสีหน้ายุ่งยากใจ “ข้าจะพยายามสรรหาคำที่อ่อนโยนที่สุดแถลงไขให้ฟังนะ”ซิงเยว่พยักหน้า ตั้งใจฟังยิ่งหมิงเยว่กระซิบกระซาบ “เมื่อก่อนเจ้าเลือดเย็นมาก ต่ำช้าเลวทราม หากปองร้ายหมายหัวแล้วย่อมฆ่าไม่ละเว้น โหดเหี้ยมอำมหิตไร้หัวใจ มองไม่ออกว่ารักใครเป็นหรือไม่?”“...!?”หากจะสรรหาคำอ่อนโยนได้เท่านี้ พี่สาวช่วยด่าทอหรือตบหน้าข้าแทนเถอะ!หลังจากวันนั้น ซิงเยว่จึงพำนักอยู่ที่เรือนพักผ่อนริมทะเลสาบอย่างต้องการทำใจให้สงบเพื่อเคลื่อนไหวตามทิศทางที่ควรในภายหน้า โดยมีหมิงเยว่ดูแลไม่ห่างกระทั่งวันหนึ่ง เสียงโวยวายดังสนั่นลั่นบริเวณรั้วนอกเรือนปานฟ้าถล่มลงมา
เรือนพักริมทะเลสาบชานเมืองหลังจากรับมื้อเช้าและเฝ้าปรนนิบัติแม่สามีเสร็จ หมิงเยว่ก็เรียกซิงเยว่มาพูดคุยอย่างจริงจังถึงการตัดสินใจอันเด็ดขาดที่ไม่ต้องการให้ผู้ฟังโต้แย้ง“ข้าต้องการให้เจ้ากลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ปกครองแดนใต้ ที่นั่นมีสมุนใต้อาณัติมากมาย สมบัติมากล้น มีสินค้าล้ำค่าหลากหลายให้เจ้าติดต่อค้าขายหลากแคว้น ไม่ขึ้นต่อแคว้นเยี่ยนด้วยซ้ำ ชีวิตย่อมดีกว่าอยู่ที่นี่แน่นอน”ซิงเยว่รับฟังนิ่งๆ ไม่ได้เอ่ยวาจาใดสตรีผู้หนึ่งเป็นถึงนายหญิงแดนใต้มีกิจการทั้งยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่กลับต้องกลายเป็นทาส เป็นคนความจำเสื่อม ต่อให้ต้องการกลับไปปกครองอาณาจักรของตัวเองยามนี้ คงไม่แคล้วเป็นผู้พิการทั้งแขนและขาแต่ปรารถนาแหวกว่ายดำดิ่งวารีเพื่อพูดคุยกับหมู่มัจฉานานาพันธุ์นางจะคุยกับพวกเขารู้เรื่องหรือไม่? จะสามารถปกปิดอาการเจ็บป่วยทางสมองต่อบรรดาสมุนใต้อาณัติได้กระนั้นหรือ? พวกเขาจะไม่แคลงใจในตัวนางใช่หรือเปล่า? จะเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่กังขาไม่มีข้อโต้แย้งหรือไม่?ซิงเยว่ขบคิดปัญหานี้มาโดยตลอดทุกครั้งระหว่างคุยกับหมิงเยว่ในเรื่องฐานะเดิมเพื่อวางแผนเดินทางกลับไปนางยังคงเป็นสตรีที่ไร้ความสามารถถึงเพียงนี้
หลิวไท่หยางแทบดึงกระบี่พาดคอคู่หมั้น “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”ยามนี้ประเด็นมิใช่หยางฮูหยินพาคนไปอย่างอุกอาจ แต่กลับกลายเป็นซิงเยว่ถูกโบยจนสลบ!สตรีอันเป็นที่รักถูกบ่าวชั้นต่ำทำโทษได้อย่างไร?หลังจากนั้นประหนึ่งฟ้าพิโรธฟาดอสนีบาตลงมา หลิวไท่หยางสั่งคนไปสืบถึงสาเหตุและเรื่องราวทั้งหมดเมื่อรู้จึงให้คนไปลากตัวบ่าวหญิงผู้คุมกฎมารับโทษ แล้วขายออกไปทันที กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่อาจทัดทาน เนื่องจากนายท่านผู้เฒ่ายังต้องลุกขึ้นมาจากเตียงเมื่อรับรู้ว่าแท้จริงแล้วหญิงคนรักได้รับความอยุติธรรมปานใดยามที่ตนนอนป่วยอยู่ เขาเรียกจางเหรินและเสี่ยวเม่ยให้ย้ายมาพำนักในเรือนของตนโดยไม่สนใจกฎระเบียบทว่าทุกสิ่งกลับสายเกินไป เมื่อจางเหรินมีอาการป่วยกำเริบไร้ยารักษา นางเป็นลมหมดสติถึงสามวันสามคืน ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ท้ายที่สุดก็สิ้นใจไปอย่างสงบโดยมีเพียงเสี่ยวเม่ยนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยความกตัญญูนายท่านผู้เฒ่าโมโหจนร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด บันดาลโทสะด้วยการสั่งกักบริเวณฮูหยินผู้เฒ่าตลอดกาลหลิวอี้ได้แต่มองบิดาที่คล้ายกับกลายเป็นหนุ่มน้อยเลือดร้อนตาปริบๆ มองมารดาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนหันมองจ้าวซินเจ
ซิงเยว่ยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่งก่อนมองไปทางทิวทัศน์อันงดงามคล้ายปล่อยตัวปล่อยใจให้ล่องลอยไปในอากาศนางกำลังนึกถึงจางเหรินและเสี่ยวเมยมิรู้ว่าเหตุใดตัวนางถึงมั่นใจว่าในอดีตเคยทำแต่เรื่องเลวร้ายและโหดเหี้ยมอำมหิต ครั้นได้ทำความดีโดยการช่วยเหลือผู้อื่นเช่นนี้กลับรู้สึกอิ่มเอมอย่างประหลาดหญิงสาวกล่าวอย่างทอดถอนใจ“เป็นข้าที่เต็มใจ...”“...”หลังจากซิงเยว่พูดประโยคนี้ หมิงเยว่ก็เงียบงัน นางสูดลมหายใจระงับโทสะแล้วหมุนตัวออกจากห้องไปหลังจากนั้นอีกสองวัน หมิงเยว่ก็กลับเข้ามา เอ่ยปากอย่างเอาแต่ใจ “ข้าไม่ให้เจ้ากลับไปคฤหาสน์หลิว”น้ำเสียงเฉียบคมนัก“แต่ว่า...” ซิงเยว่ยังคงลังเลไม่แน่ใจหมิงเยว่ทอดเสียงอ่อนแต่เด็ดขาด “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ ข้าให้คนส่งเงินไปไถ่ตัวเจ้าแล้ว เมื่อใดสัญญาซื้อขายของเจ้าตกอยู่ในมือของข้า เมื่อนั้นมันจะกลายเป็นเถ้าถ่านทันที แล้วข้าจะพาเจ้าเดินทางกลับไปยังอาณาจักรที่เจ้าสมควรอยู่ กลับไปเป็นนายหญิงของที่นั่น”“เขายอมหรือ?” ซิงเยว่ถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา ทว่าหมิงเยว่กลับได้ยินและเข้าใจอย่างดีเขาผู้นั้นย่อมหมายถึงนายน้อยหลิวไท่หยาง“ใช่แล้ว! เขายอมโดยไม่โต้แย้ง”เมื่อได้ยินเช่นน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”ซิงเยว่สัมผัสได้ถึงความห่วงใยอย่างสุดซึ้งจากอีกฝ่าย เป็นท่าทางของพี่ที่ห่วงใยน้องอย่างแท้จริงไม่เสแสร้ง ชั่วขณะนั้นหญิงสาวให้รู้สึกปวดหน่วงในใจขึ้นมานางยิ้มจางๆ อย่างขอลุแก่โทษ “ข้าความจำเสื่อม ต้องขอโทษด้วยที่ข้าจำสิ่งใดไม่ได้ กระทั่งว่าเคยเจอท่านหรือเคยช่วยเหลือกันอย่างไร ข้านึกไม่ออกเลย”สีหน้าหมิงเยว่เผือดลงทันควัน“เรื่องราวตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ เจ้าก็จำไม่ได้เหรอ” หมิงเยว่ถามอย่างคาดไม่ถึง นางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด“เจ้าจำมิได้หรือว่าตัวเองเป็นถึงนายหญิงทางแดนใต้ มีเหมืองแร่ ครอบครองนาเกลือนอกเขตปกครองมากมาย ร่ำรวยมหาศาล”“ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ ข้าเป็นนายหญิงเหมืองแร่ ครอบครองนาเกลือนอกเขตปกครองแดนใต้ผู้ร่ำรวยหรือ?”ทันทีที่ซิงเยว่ได้ยินหมิงเยว่บอกฐานะที่แท้จริง นางก็แทบไม่เชื่อหูตนเอง “ท่านรู้ได้อย่างไร?”“ข้ารู้ก็แล้วกัน เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยเช่นนี้ ข้าบอกไปเจ้าก็ไม่คุ้นอยู่ดี เอาเป็นว่าเจ้าเล่าเรื่องของตัวเองมาดีกว่า”ซิงเยว่พยักหน้า ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของตนเนิบช้า“ยามนั้น ข้าฟื้นขึ้นมาก็พบกับนายหน้าค้าทาสผู้หนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่าบ้านเดิมของข้า