“พี่น้องข้า...จงลืมทุกสิ่งให้หมด ปลดหน้ากากออก ค่ายโจรจันทราแดงไม่เคยปรากฏต่อใต้หล้า”ทุกคนกลั้นน้ำตาประสานหมัดแบบไร้เสียงการปลดหน้ากากคือการทำลายตัวตนโจรถ่อยจนสิ้น คงเหลือเพียงคนธรรมดาสามัญ ไร้ซึ่งพิรุธป่าเถื่อนต่ำช้าให้ใครสังเกตเห็น จนนำไปสู่การจับกุมเค้นอดีตแล้วลงทัณฑ์หลังจากแยกย้ายกับสมุน ซิงเยว่แอบฝ่าฝืนคำสั่ง วิ่งกลับไปหาพี่สาว ทว่าสายเกินไปหมิงเยว่สิ้นชีพไปแล้วด้วยฝีมือของแม่ทัพพยัพบูรพาฉายาจอมกระบี่สุริยันผู้นั้นชั่วขณะที่วิชามารกำลังขับเคลื่อนจากกระบี่สุริยันแผ่ซ่านกลิ่นอายเหนือธรรมชาติกระทั่งกำจายความชั่วร้ายอบอวลรอบด้านโดยไม่มีใครสังเกต ซิงเยว่กลับเห็นทุกสิ่งทุกการกระทำทั้งหมดของหยางเจี้ยนส่งผลให้นางลมหายใจสะดุดเฮือกจากนั้นพลันตามมาด้วยการรู้ตัวของเหล่าทหารพวกนั้นตามล่าซิงเยว่อย่างบ้าคลั่ง กระทั่งนำมาซึ่งการต่อสู้เลือดสาด จนซิงเยว่เสียท่าพลัดตกจากหน้าผาสูง นับว่าโชคดีที่เบื้องล่างคือทะเลสาบเกล็ดน้ำแข็งพันปีทะเลสาบนี้ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตหากตกลงมามีเพียงสตรีสกุลโม่ที่ลงมาได้เพราะเป็นสถานที่ฝึกฝนวิชาจันทราเย็น ทว่าน่าเสียดายที่ซิงเยว่ยังฝึกฝนไม่สำเร็จ จึงทำได้เพียงประ
พลังจันทราเย็นร้ายกาจเหลือคณา ทำเอาซิงเยว่ถึงขั้นกระอักเลือดก่อนสลบไสลสิ้นสติไปทันทีทว่ามิคาด สติที่สิ้นสูญจนห้วงภวังค์มืดดำกลับมิอาจปิดกั้นห้วงความคิดกระทั่งทำให้เห็นแสงสว่างไสวในอุโมงค์ ร่างกายที่ถูกพลังเยียบเย็นยิ่งกว่าหุบเขาน้ำแข็งอัดกระแทกกลับคล้ายทำการปลดผนึกบางอย่างจากตัวตนที่เลือนราง ทุกความทรงจำจึงหลั่งไหลประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวกรากตั้งแต่เป็นเด็กหญิงอาศัยอยู่ที่สำนักคุ้มภัยในอดีตพร้อมหน้าบิดามารดา กระทั่งเกิดเหตุการณ์พลิกผันจนครอบครัวพังยับต้องพลัดพรากจากความสุขสงบพร้อมหน้า จวบจนตนเองเติบโตมากับใคร อาศัยอยู่ที่ใดและทำสิ่งใด ผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมาบ้างกระทั่งภาพหนึ่งฉายชัดซ้ำๆ เต็มสมองบนเนินเขาหินปูนสูงตระหง่านเหนือพื้นน้ำสีคราม อันเป็นธรรมชาติสรรสร้าง ภูมิทัศน์ราวกับความฝันเหตุการณ์อันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเกิดขึ้นที่นั่นทะเลยามสายัณห์อาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าและท้องทะเลกลายเป็นสีแดงโลหิต บรรยากาศเหนือมวลน้ำเยียบเย็นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะเรือรบขนาดใหญ่หลายลำเคลื่อนตัวล้อมรอบเข้ามา ทหารเกราะเหล็กรูปร่างกำยำสูงใหญ่บนเรือหลายร้อยชีวิตกำลังยกคันธนูขึ้นเตรียมยิงมายังกลุ่มคนของน
“ซิงเอ๋อร์ ข้ามารับเจ้า”หลิวไท่หยางพุ่งกายเข้ามาหาซิงเยว่ ส่งเสียงทุ้มนุ่มเจือแววเว้าวอนมาแต่ไกลไหนเลยจะมีบุรุษผู้โหดร้ายคล้ายผุดจากนรกเมื่อครู่ เมื่อการฟาดฟันสิ้นสุด บุรุษชุดดำก็พุ่งทะยานมาหาหมิงเยว่ จับนางขึ้นอุ้มแนบอก ท่วงท่าแนบชิดสนิทสนมนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ หมิงเยว่เบิกตาเงยหน้ามอง“หยางเจี้ยน!”ความเงียบปกคลุมทั้งบริเวณ แสงตะวันส่องลงมา บุรุษชุดดำปลดผ้าบนหน้าออกก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ“ข้าไม่อยู่ ไยซุกซน? ไฉนไม่เคยเชื่อฟัง”สีเข้มของเสื้อผ้าอันดำมืดขับเน้นใบหน้าหล่อเหลาให้ขาวกระจ่างดุจหยกงามหมิงเยว่แก้มแดงเรื่อซุกหน้างึมงำ “ข้าคิดถึงท่าน”ภายใต้แววตาเย็นชาดุดันทั้งใบหน้าคมคายเรียบเฉย ใบหูของหยางเจี้ยนกลับแดงเรื่อขึ้นมา “เจ้าเป็นอะไร บาดเจ็บตรงไหน?”หมิงเยว่ผงกศีรษะออกจากอ้อมอกสามี มองไปทางหลิวไท่หยาง “ท่านพี่อย่ากังวลเกินไป ข้าไม่บาดเจ็บสักนิด นายน้อยหลิวมิได้ทำร้ายข้า”จังหวะที่สามีภรรยากำลังพูดคุยกระหนุงกระหนิง ซิงเยว่รีบเข้าไปหาหลิวไท่หยาง“นายน้อยหลิว ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”“ข้าไม่เป็นไร?”หลิวไท่หยางไม่สนอาการบาดเจ็บของตน เพียงรั้งร่างนุ่มเข้ามากอดแนบอกแน่น “เหตุใดไม
การต่อสู้ฟาดฟันเกิดลำแสงแปลบปลาบทั่วนภา ทักษะชั้นเชิงอยู่ในระดับเทวะไม่แพ้กันจังหวะรุกไล่ฟาดดาบกรีดกันกลางอากาศปราดหนึ่งก่อนสกัดกั้นไขว้กันรอจังหวะผลักดันพลังในระยะประชิด หมิงเยว่แค่นเสียงฉุนใส่หน้าบุรุษ “ท่านไม่มีสิทธิ์ในตัวซิงเยว่ จงกลับไปดูแลภรรยาของท่านซะ”หลิวไท่หยางหรี่ตา แววขึงเครียดไม่ยินยอมสักเสี้ยว “ภรรยาของข้าอยู่ที่นี่ ข้ามีสิทธิ์ต่อนางทุกประการ”หมิงเยว่ยิ่งเดือดดาลฟาดดาบจนสะบั้นเส้นผมบุรุษขาดร่วงหลายเส้น “ภรรยาของท่านคือโจวซู่ฉิน!”หลิวไท่หยางไม่สนใจเส้นผมของตน เขาสะบัดดาบปล่อยพลังปราณอันตราย “ภรรยาของข้าคือซิงเยว่!”ซิงเยว่ที่แอบฟังหลังประตูสูดลมหายใจเข้าอกเฮือก ปรารถนาเข้าไปห้าม แต่มิรู้จะทำได้อย่างไรทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด ไม่ออมมือ ไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งตะวันเดือด อีกฝ่ายจันทราเย็น คลื่นพลังจึงคล้ายเห็นฟ้าแลบร้อนฉ่ากรีดลงกลางอากาศอันเย็นเยียบกระนั้นช่างเป็นความต่างอย่างไม่อาจเข้ากันได้เลยสักเสี้ยว ราวกับต้องการเป็นศัตรูคู่แค้นกันไปทุกชาติทั้งสองฝ่ายฝีมือนับว่าสุดยอด ต่างลงมืออำมหิต ปราศจากความปรานี ปราดเปรียว ฉับไว รวบรัด บุกตะลุยพุ่งชนดุจเปลวเพลิงปะทะเหมันต
ซิงเยว่เงยหน้ามองสตรีผู้พร่ำบ่นยาวเหยียดตาปริบๆ นางย่อมจำไม่ได้ว่าพี่สาวตรงหน้ามีสัมพันธ์อันใดกับตนแน่ แต่คงเหนียวแน่นลึกซึ้งอย่างที่สุดกระมัง แต่ทำไมนึกไม่ออก แค่ฝันถึงเฉกเช่นเมื่อครั้งไปอยู่ในจวนซ่งกับบิดาก็ไม่มีวี่แววใบหน้าพี่สาวผู้นี้ นางไม่คุ้นเลยสักนิด ไม่มีความรู้สึกว่าเคยพบเคยเห็นมาก่อน แต่กับบิดาผู้นั้น นางยังพอคุ้นๆ ใบหน้าอยู่บ้าง คิดไปคิดมาก็ปวดหัว ซิงเยว่จึงเลิกคิดนางถาม “เมื่อก่อนข้าเป็นคนเช่นใดหรือ?”หมิงเยว่อึ้งเล็กน้อย นางมุ่นคิ้วทำสีหน้ายุ่งยากใจ “ข้าจะพยายามสรรหาคำที่อ่อนโยนที่สุดแถลงไขให้ฟังนะ”ซิงเยว่พยักหน้า ตั้งใจฟังยิ่งหมิงเยว่กระซิบกระซาบ “เมื่อก่อนเจ้าเลือดเย็นมาก ต่ำช้าเลวทราม หากปองร้ายหมายหัวแล้วย่อมฆ่าไม่ละเว้น โหดเหี้ยมอำมหิตไร้หัวใจ มองไม่ออกว่ารักใครเป็นหรือไม่?”“...!?”หากจะสรรหาคำอ่อนโยนได้เท่านี้ พี่สาวช่วยด่าทอหรือตบหน้าข้าแทนเถอะ!หลังจากวันนั้น ซิงเยว่จึงพำนักอยู่ที่เรือนพักผ่อนริมทะเลสาบอย่างต้องการทำใจให้สงบเพื่อเคลื่อนไหวตามทิศทางที่ควรในภายหน้า โดยมีหมิงเยว่ดูแลไม่ห่างกระทั่งวันหนึ่ง เสียงโวยวายดังสนั่นลั่นบริเวณรั้วนอกเรือนปานฟ้าถล่มลงมา
เรือนพักริมทะเลสาบชานเมืองหลังจากรับมื้อเช้าและเฝ้าปรนนิบัติแม่สามีเสร็จ หมิงเยว่ก็เรียกซิงเยว่มาพูดคุยอย่างจริงจังถึงการตัดสินใจอันเด็ดขาดที่ไม่ต้องการให้ผู้ฟังโต้แย้ง“ข้าต้องการให้เจ้ากลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ปกครองแดนใต้ ที่นั่นมีสมุนใต้อาณัติมากมาย สมบัติมากล้น มีสินค้าล้ำค่าหลากหลายให้เจ้าติดต่อค้าขายหลากแคว้น ไม่ขึ้นต่อแคว้นเยี่ยนด้วยซ้ำ ชีวิตย่อมดีกว่าอยู่ที่นี่แน่นอน”ซิงเยว่รับฟังนิ่งๆ ไม่ได้เอ่ยวาจาใดสตรีผู้หนึ่งเป็นถึงนายหญิงแดนใต้มีกิจการทั้งยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่กลับต้องกลายเป็นทาส เป็นคนความจำเสื่อม ต่อให้ต้องการกลับไปปกครองอาณาจักรของตัวเองยามนี้ คงไม่แคล้วเป็นผู้พิการทั้งแขนและขาแต่ปรารถนาแหวกว่ายดำดิ่งวารีเพื่อพูดคุยกับหมู่มัจฉานานาพันธุ์นางจะคุยกับพวกเขารู้เรื่องหรือไม่? จะสามารถปกปิดอาการเจ็บป่วยทางสมองต่อบรรดาสมุนใต้อาณัติได้กระนั้นหรือ? พวกเขาจะไม่แคลงใจในตัวนางใช่หรือเปล่า? จะเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่กังขาไม่มีข้อโต้แย้งหรือไม่?ซิงเยว่ขบคิดปัญหานี้มาโดยตลอดทุกครั้งระหว่างคุยกับหมิงเยว่ในเรื่องฐานะเดิมเพื่อวางแผนเดินทางกลับไปนางยังคงเป็นสตรีที่ไร้ความสามารถถึงเพียงนี้