เสียงไวโอลินบรรเลงแผ่วเบา แทรกผ่านหมู่เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะในค่ำคืนแห่งเกียรติยศของ ‘งานเลี้ยงรางวัลบริษัทดีเด่นแห่งปี’ — บรรยากาศภายใต้แสงไฟคริสตัลที่ห้อยระย้าเหนือเพดานโถงกว้างของโรงแรม Imperial Crest กลางกรุงเทพมหานคร ดั่งโลกอีกใบที่ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อสรรเสริญผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อำนาจ
แขกผู้มีเกียรติหลากหลายวงการต่างจับกลุ่มสนทนา ถือแก้วแชมเปญหรือไวน์แดงในมืออย่างสง่างาม บทสนทนาเต็มไปด้วยศัพท์แสงธุรกิจ แผนควบรวมกิจการ และตัวเลขที่บ่งบอกถึงศักดิ์ศรี
แม้รอยยิ้มจะดูสุภาพและเป็นมิตร—แต่ทุกสายตาที่เหลือบมองกันกลับเปี่ยมด้วยการประเมินค่า ไม่ต่างจากสนามประลองที่ทุกคำพูดล้วนมีเดิมพัน
ริมขอบฟลอร์กระจกใส แสงไฟวูบไหวสะท้อนเล่นกับเสื้อสูทสีเงินเมทัลลิกของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขายืนสงบนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหว ดั่งหมากตัวกลางกระดานที่ไม่จำเป็นต้องขยับ แต่ทรงพลังยิ่งกว่าทุกหมากที่เดินอยู่
ดวงตาสีเทาคมกริบใต้แพขนตาเรียงเส้นทอดมองไปยังเวทีด้วยท่าทีเรียบนิ่ง หากแต่แฝงเร้นความคมลึกบางอย่างที่ยากจะอ่านออก
อลิสแตร์ ราเมียส
หรือที่ใครต่อใครในแวดวงเรียกขานอย่างให้เกียรติว่า ‘คุณอลิส’ ซีอีโอหนุ่มแห่งราเมียสกรุ๊ป (Ramius Group) — กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์ระดับยักษ์ที่ผงาดขึ้นเป็นเบอร์ต้น ๆ ของประเทศในรอบไม่กี่ปี ด้วยกลยุทธ์ลึกล้ำและการเดินเกมที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ที่สำคัญบริษัทของเขาปีนี้เป็นตัวเต็งที่จะชนะรางวัลบริษัทดีเด่นแห่งปี
ใบหน้าคมคายของเขาถูกกล่าวขานว่าเย็นชาเกินจริงจัง แต่ไม่ใช่ด้วยความหยิ่งผยอง หากเป็นเพราะเขาเลือกจะเก็บทุกอารมณ์ไว้เบื้องหลัง และก็ไม่มีใครรู้เลยว่า—เบื้องหลังใบหน้าเรียบนิ่งคู่นั้น แท้จริงคือ เจ้าพ่อแบล็คฟิน (Blackfin) ชื่อในเงามืดของโลกธุรกิจที่หมายถึง ‘ผู้ลากเส้นชะตาให้บริษัทนับสิบ’
ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะพาไปสู่ความรุ่งเรือง...หรือความล่มสลายก็ตาม
“คุณอลิสครับ ทางฝั่งฝรั่งเศสอยากพูดคุยเรื่องดีลใหม่ของลอนดอนครับ”
เสียงนุ่มลึกของเลขาผู้ชายร่างบาง หน้าตาหวานราวตุ๊กตาพอร์ซเลนกระซิบใกล้หู ดวงตาของเขาเยือกเย็น ท่าทางสุขุมราวคนที่คุ้นชินกับการเดินอยู่ข้างมังกร
อลิสเพียงยกมือขึ้นเป็นเชิงรับรู้ ไม่เร่งรีบหรือแสดงความลังเลแม้เพียงวินาที
“บอกให้พวกเขารอที่ห้องรับรองส่วนตัว”
เสียงเขาเรียบ ราบเรียบจนน่ากลัว แต่แฝงแรงกดดันบางอย่างที่แม้แต่ผู้ฟังก็ยังต้องสะอึก
เขาหันกลับไปยิ้มสุภาพให้กับกลุ่มคู่ค้าที่เพิ่งเจรจาจบ พร้อมพยักหน้าอย่างให้เกียรติ
“ขอตัวสักครู่ครับ ผมมีเรื่องต้องไปทักทายเพื่อนเก่า”
คำว่า ‘เพื่อนเก่า’ ในประโยคนั้นฟังดูอบอุ่น ทว่าในแววตาของเขากลับแฝงนัยที่ยากจะตีความ—มันไม่ใช่ความคิดถึง หากเป็นการ ‘เตรียมปิดบัญชี’
เขาก้าวออกจากกลุ่มอย่างมั่นคง จังหวะเดินช้า ๆ พร้อมจิบไวน์จากแก้วทรงสูงในมือ
ดวงตาสีเทาคู่เดิมกวาดมองไปทั่วงาน...หาเป้าหมายที่เขาตั้งใจจะเผชิญหน้าในคืนนี้ แต่ก่อนที่ฝ่าเท้าจะก้าวย่างต่อ—บางสิ่งบางอย่างก็ดึงความสนใจของเขาไป แวบหนึ่ง—สายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับเงาร่างหญิงสาวคนหนึ่ง
ร่างบอบบางในชุดเดรสเกาะอกสีงาช้าง ความยาวเหนือเข่าเผยให้เห็นเรียวขาได้รูป ผิวขาวเนียนดั่งน้ำนมดูเปล่งประกายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใต้แสงไฟหรู
เธอไม่ได้สูงโดดเด่นจนเกินพอดี แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับตรึงสายตาราวกับการแสดงจากเวทีใหญ่ ทรงผมยาวสลวยถูกเซ็ตเป็นลอนคลื่นอ่อน ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่ที่งดงามจนน่าหลงใหล เส้นผมสีน้ำตาลประกายทองวาวระยับดั่งเส้นไหมต้องแสง ด้านหนึ่งถูกเหน็บทัดหูเผยให้เห็นตุ้มหูเพชรเม็ดเล็กที่แกว่งเบา ๆ ทุกครั้งที่เธอหันหน้า
นัยน์ตากลมโตสีเฮเซลแวววาวระยิบระยับราวน้ำผึ้งในแก้วคริสตัล จมูกโด่งเล็กเรียว กับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่ยกยิ้มเพียงนิด แต่กลับทำให้ใครต่อใครใจเต้นระส่ำ
และหากมองให้ลึกลงไป—เบื้องหลังรอยยิ้มหวานนั้น แววตากลับเปล่งประกายความเจ้าเล่ห์อย่างเด็กสาวที่รู้ตัวดีว่าตัวเอง "อันตรายและน่ารัก"
“เอ๊ะ นั่นหุ้นของ Suncrest ใช่ไหมคะ? น่าจะขึ้นเพราะข่าวลือ merger กับ Blue Bridge ใช่ไหมคะ?”
เสียงเธอหวานใส ออกเสียงชัดเจนทุกพยางค์ แม้จะเป็นคำพูดเชิงธุรกิจ แต่กลับฟังเหมือนคำหยอกล้อที่แฝงแววขบขัน
เธอพูดขณะเอนตัวเล็กน้อยเหมือนตั้งใจฟัง ท่าทางช่างเจรจาราวกับเจ้าหญิงในวัง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเชิดรั้นนิด ๆ เหมือนแมวเปอร์เซียตัวหรูที่รู้ว่าตัวเองน่ารัก…และไม่มีใครควบคุมได้
“แต่...คุณลุงเคยบอกหนูนี่คะว่า Blue Bridge ไม่มีทางกล้าซื้อกิจการถ้ายังมีหนี้ก้อนนั้นอยู่”
น้ำเสียงหวานใสฟังดูไร้เดียงสา แต่เนื้อหาที่ออกจากริมฝีปากกลับเฉือนคมเสียจนชายวัยกลางคนในกลุ่มต้องหัวเราะกลบเกลื่อน บ้างก็หลบสายตา บ้างยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเพื่อลบอาการเก้อเขิน
หญิงสาวกลับยังคงยิ้มหวานอย่างไม่รู้ไม่ชี้ จิบไวน์อย่างเชื่องช้าเหมือนกำลังเล่นเกมที่เธอคุมกติกาอยู่ฝ่ายเดียว
ริมฝีปากของอลิสแตร์ยกยิ้มเหยียดเพียงนิด ดวงตาคมไหววูบวาวคล้ายแฝงความเอ็นดูและขบขันในเวลาเดียวกัน
เขารู้ดี...ว่าเรื่องที่เธอพูดนั่นคือ “ข้อมูลลับเฉพาะ”
และถึงแม้เขาอยากจะฟังเสียงหวาน ๆ นั้นต่อ แต่ตอนนี้…ยังมี ‘ธุระ’ ที่สำคัญกว่า
อลิสถอนสายตาจากหญิงสาว ก่อนหันกายอย่างนุ่มนวล แววตาเปลี่ยนกลับมาเป็นความเย็นเยียบที่ไม่มีร่องรอยอารมณ์
เขาก้าวตรงไปยังโซนรับรองพิเศษ ซึ่งถูกจัดแยกออกจากพื้นที่หลักของงานเลี้ยง ภายในห้องนั้นเงียบสงบ แสงไฟสลัว ผ้าม่านทึบปิดบานกระจกอย่างมิดชิด และที่มุมโซฟาหนังแท้สีดำ—ชายวัยห้าสิบในสูทอิตาเลียนหรูนั่งรออยู่แล้ว
ฌอง บราซัวส์
หุ้นส่วนจากฝรั่งเศส ผู้ร่วมลงทุนโปรเจกต์ใหญ่ในลอนดอนกับเขา และในขณะเดียวกัน...ก็เป็นคนที่กล้าหักหลังเขา
“คุณอลิส! มาถึงแล้ว ดีจริง ๆ ผมกำลัง...”
“นั่งให้เรียบร้อย”
น้ำเสียงของอลิสดังขึ้นเรียบเฉียบจนคู่สนทนาชะงักคำพูด ฌองยิ้มฝืดเล็กน้อย มือที่เคยมั่นใจบีบแน่นกับแก้วไวน์ที่หน้าโต๊ะ
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณเข้าใจผิดอะไร แต่ทางเรา—”
“ผมเข้าใจถูกหมด”
อลิสตัดบททันควัน ดวงตาสีเทาวาววับอย่างน่ากลัว เขาเดินเข้ามาใกล้ทุกย่างก้าวราวกับแรงกดดันของอากาศรอบตัวถูกรูดต่ำลงเรื่อย ๆ
“คุณคิดว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณขายข้อมูลโปรเจกต์ Echelon ให้ฝั่งคู่แข่งในนามบริษัทลูก?”
ฌองหน้าเสีย รอยยิ้มหลุดหายไปในพริบตา
“ผม...ผมแค่...”
“คุณแค่ขายผม แลกเงิน และคิดว่าผมจะปล่อยผ่าน”
น้ำเสียงของเขานิ่งมาก...นิ่งเสียจนเหมือนใบมีดที่เพิ่งลับคมเสร็จ ชายหนุ่มยื่นมือออกไปโดยไม่หันหลัง
เลขาหนุ่มหน้าหวานที่เดินตามหลังเงียบ ๆ ยื่นซองเอกสารมาให้อย่างรู้หน้าที่ อลิสวางมันลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าอีกฝ่าย
“ภายในสามวัน คุณจะโอนหุ้นของ Bluebridge Holdings ที่คุณถืออยู่ให้บริษัทผมทั้งหมด และจะถอนตัวจากทุกโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Ramius Group — แบบไม่โต้แย้ง”
เขาเว้นจังหวะ หรี่ตาเล็กน้อย
“หรือจะให้ผมส่งไฟล์นี้ให้รัฐบาลฝรั่งเศส...แล้วปล่อยให้คุณไปนอนนับเพดานคุกหรูที่นีซ?”
ไม่มีเสียงตอบรับ
เพียงแค่เสียงลมหายใจถี่กระชั้นของชายแก่ที่เริ่มเหงื่อตก แม้ในห้องจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
อลิสเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ก่อนหันหลังกลับอย่างไร้เยื่อใย
“หวังว่าคุณจะตัดสินใจได้ภายในคืนนี้นะครับ…คุณฌอง”
เขาหยุดฝีเท้าแค่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมายิ้มนิด ๆ
“ผมยังมีอีก ‘ธุระ’ ที่อยากจัดการให้จบเหมือนกัน”
แล้วบานประตูก็ปิดลงอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงชายวัยกลางคนที่เริ่มสั่นน้อย ๆ และความรู้สึกเย็นยะเยือกที่เหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้ในห้องทั้งห้อง
☠️ ☠️ ☠️ ☠️ ☠️ ☠️
เสียงลิฟต์ส่วนตัว ‘ติ๊ง’ เบา ๆ เมื่อทั้งสองกลับมาถึงชั้นบนสุดของโรงแรม อลิสแตร์เดินนำลลิลเข้ามาในห้องเพนต์เฮ้าส์ที่เปิดไฟสลัวไว้ตั้งแต่ก่อนออกไป—แสงไฟวอร์มไวท์แตะแนวผนังหินอ่อนเบา ๆ ทำให้บรรยากาศดูอุ่น...และน่าใจเต้นกว่าเดิมลลิลถอดรองเท้าส้นสูงออกอย่างเบา ๆ หวังจะรีบหนีกลับเข้าห้องนอนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด“ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”“เดี๋ยว” เสียงของเขาต่ำและนุ่ม แต่ดึงดูดจนเธอลืมหายใจ อลิสเดินเข้ามาใกล้เธอกว่าที่ควร ใกล้จนเธอต้องหยุดชะงักอลิสยื่นมือมาด้านหน้า...ปลายนิ้วแตะแก้มเธอแผ่วเบา แล้วเกลี่ยอะไรบางอย่างที่มุมปาก“ไวน์เลอะ” เขาพูดสั้น ๆแต่ลมหายใจอุ่นที่รินรดตรงผิวแก้ม...ทำให้เธอหน้าแดงวาบ ก่อนจะเบือนหน้าหนีพลางหัวเราะเก้อ ๆ“ขอบคุณค่ะ…”เธอกำลังจะเดินถอย แต่อลิสไวกว่า มืออีกข้างดันหลังเธอเบา ๆ พาเธอเดินไปทางโซฟา“นั่งก่อนสิ”น้ำเสียงไม่ใช่คำสั่ง...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เธอยอมนั่งลงตามแรงนำ โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เสียงเครื่องบินส่วนตัวค่อย ๆ ร่อนลงแตะรันเวย์สนามบินภูเก็ตในช่วงบ่ายแก่ ๆ แสงแดดยังเจิดจ้า แต่ลมทะเลเริ่มพัดเอื่อยราวกับเชื้อเชิญให้ใครสักคน...ปล่อยตัวให้ผ่อนคลายอลิสแตร์พาลลิลขึ้นรถลีมูซีนที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว มุ่งหน้าไปยังโรงแรมหรูระดับ Ultra Luxury บนหาดส่วนตัวเมื่อมาถึง พนักงานต้อนรับยืนเรียงรายตั้งแต่ล็อบบี้ พร้อมพาแขกพิเศษขึ้นลิฟต์ส่วนตัวสู่ชั้นบนสุดของตึกประตูห้องเพนต์เฮ้าส์เปิดออก เผยให้เห็นพื้นที่โปร่งกว้างตกแต่งโทนไม้สีเข้มผสมทองและขาว แสงธรรมชาติทะลุผ่านกระจกบานสูงจากพื้นจรดเพดาน เผยวิวทะเลระยิบระยับราวกับภาพวาดเพดานสูงแบบ Double Volume ทำให้ห้องกว้างโปร่ง ด้านในเป็นโถงรับแขกสไตล์ Modern Luxury ที่แยกเป็นสองห้องนอน คนละฝั่งของพื้นที่ส่วนกลางอลิสปรายตามองรอบห้อง“ห้องนอนฝั่งขวาเป็นของคุณ” เสียงทุ้มเรียบของอลิสดังขึ้นข้างหลังลลิลที่กำลังตะลึงกับวิวทะเล“ส่วนห้องของผม อยู่ติดกัน...”อลิสทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แต่เขากลับมองเธอด้วยสายตาลุ่มลึกลลิลหันมามองพลางเลิกคิ้วสงสัย“คะ?&
ห้องประชุมชั้น 58 ของราเมียส กรุ๊ปเงียบกริบเสียจนได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษอลิสแตร์นั่งหัวโต๊ะในชุดสูทเข้ารูปสีดำสนิท เนกไทด์ผูกเรียบ มือวางอยู่บนเอกสารตรงหน้า ในขณะที่สายตาคมสีเทาเหยียบเย็นกวาดมองทั่วโต๊ะอย่างไม่ละสายฝั่งตรงข้ามคือผู้จัดการแผนกการตลาด แผนกสินทรัพย์ และผู้บริหารสาขาหลายประเทศที่กำลังเหงื่อตกอยู่ในเก้าอี้ตัวหรูคิมหันต์เดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมแฟ้มข้อมูลชุดใหม่ วางลงตรงหน้าประธานก่อนจะกระซิบเบา ๆ“อันนี้ตัวเลขเดือนก่อนครับ รายการหายไป 2% จากคาดการณ์ในอินเดีย และเกาหลีใต้”อลิสไม่ตอบอะไรทันที เขาเพียงแค่เปิดแฟ้ม ปลายนิ้วไล่ผ่านตัวเลขเรียงอย่างช้า ๆ จนกระทั่งหยุดที่บรรทัดหนึ่งเพียงแค่เขาเงยหน้าขึ้น—บรรยากาศทั้งห้องก็เหมือนหยุดหายใจ“คุณลี…”เขาเอ่ยชื่อซีอีโอฝั่งเกาหลีอย่างเฉียบขาด“ในไตรมาสที่แล้ว คุณรับปากผมเรื่อง Conversion Rate ว่าจะอยู่ไม่ต่ำกว่า 18% …แต่ที่ผมเห็นคือ 12.6%”เสียงเขานิ่ง แต่ทุ้มต่ำจนสั่นสะเทือนในอก ลลิลที่นั่งอยู่ด้านหลังซ้ายของเขาเงยหน้าจากไอแพดทันที เธอกำลังจดทุกคำที่เขาพูด แต่หัวใจดันเต้นแรงกับ ‘พลังควบคุมทุกอย่าง’ ของชายตรงหน้ามากกว่า“มันไม่ใช่เรื่
แสงยามเช้าส่องผ่านม่านโปร่ง สาดแสงอุ่นเข้ามาในห้องนอนเพนต์เฮาส์สุดหรู เสียงนาฬิกาปลุกเรือนเงินดังขึ้นอย่างแผ่วเบา“...อือ…”ลลิลพลิกตัวช้า ๆ บนเตียง เส้นผมกระเซิงนิดหน่อย ปากยังงึมงำเหมือนคนเพิ่งตื่นจากฝันลึก และมันเป็นฝันที่เธอยังจำได้อย่างชัดเจนดวงตากลมค่อย ๆ ลืมขึ้นช้า ๆ ก่อนจะเบิกเล็กน้อย“...หกโมง?”เธอพึมพำ พลางยันตัวขึ้นนั่งช้า ๆ บนเตียง ดวงตาเริ่มปรับแสงได้ เผยให้เห็นแสงอาทิตย์แรกผ่านม่านโปร่งสีขาวที่ปลิวไหวแต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องนิ่งคิดอยู่นาน ไม่ใช่พระอาทิตย์…แต่คือ ‘สัมผัส’ ในความฝันเมื่อคืนฝ่ามือข้างหนึ่งลูบที่แก้มตัวเอง...ซึ่งยังร้อนอยู่เล็กน้อย ใบหน้าขึ้นสีจาง ๆ อย่างช่วยไม่ได้“เมื่อคืน...”หัวใจของลลิลเต้นโครมครามขึ้นมาทันที ภาพความฝันเมื่อคืนผุดขึ้นมาเต็มสมองไปหมด...ริมฝีปากอุ่นที่ไล่จากไหล่เสียงครางต่ำที่ดังในความมืดปลายนิ้วที่แทรก…ลิ้นที่วนตรง—“อ๊ะ…ไม่!”เธอร้องเบา ๆ แล้วใช้สองมือปิดหน้าไว้แน่น แก้มร้อนวาบจนแทบระเบิด เธอทั้งอับอาย สับสน และ...หัวใจยังเต้นไม่หยุด“มันก็แค่ฝัน...ใช่ไหม…?”“ฝะ...ฝันแบบนั้นกับบอสเนี่ยนะ…?”เธอเม้มปากแน่น รีบหันขวับไปมองข้างเตียง
กลิ่นลาเวนเดอร์เจือจางผสานกลิ่นไวน์แดงลอยคลุ้งในห้องนอนหรูที่ประดับด้วยโทนสีดำทอง แสงไฟอุ่นละมุนจากโคมตั้งโต๊ะหัวเตียงทอดเงาอ่อนบนพื้นไม้ โซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างมีผ้าคลุมกำมะหยี่พาดไว้เรียบหรู ทุกอย่างดูดี...ดีเกินไปสำหรับเลขาชั่วคราวที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงร่างบางของลลิลยืนอยู่กลางห้อง ในชุดคลุมอาบน้ำสีครีมนวล ผมยาวเปียกหมาดแนบลู่กับผิวไหล่ข้างหนึ่ง ลมหายใจอุ่นยังคงผสานกับไอจากร่างที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเธอเดินไปหยิบผ้าขนหนูเล็กซับปลายผมอย่างช้า ๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกล่องไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง“Welcome to your new job, Ms. Lalin.”ลายมืออังกฤษหวัดสวย ถูกเขียนด้วยปากกาหมึกดำลงบนการ์ดเล็ก ๆ ข้าง ๆ กันคือขวดไวน์แดงที่ถูกเปิดฝาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมแก้วใสที่มีหยดน้ำเกาะข้างแก้ว ราวกับมีคนเพิ่งรินให้หมาด ๆ“จงใจชัด ๆ ...”ลลิลพึมพำ พลางยิ้มเอียงคอเบา ๆ อย่างคนรู้ทันเกม เธอหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาหมุนเล็กน้อยก่อนยกขึ้นจิบ กลิ่นไวน์เข้มผสานกลิ่นลาเวนเดอร์บาง ๆ ชวนให้หัวใจเธอผ่อนคลายในทันทีรสชาติฝาดนุ่มละมุนลิ้น...แต่กลับมีบางอย่างซ่อนอยู่ในกลิ่น—บางสิ่งที่ทำให้หัวใจ
เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงคลอเบา ๆ ท่ามกลางแสงไฟนวลหรูของฮอลล์กลางงานเลี้ยงอลิสแตร์ ก้าวนำลลิลเข้าไปยังอีกฝั่งของห้องโถง ที่ตอนนี้มีชายเกาหลีท่าทางเนี้ยบจัด สวมสูทเข้ารูปและผูกไทด์ลายเอกลักษณ์เขาหันมาทันทีเมื่อเห็นอลิส พร้อมรอยยิ้มเปื้อนริมฝีปาก“Mr. Alistair! You came, good!” ชายเกาหลียื่นมือออกมา“Mr. Seo.” อลิสจับมือแน่นแต่สั้น ตามแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่าพอลลิลเดินตามมาถึง เธอก็ยกมือไหว้แบบไทย ๆ อัตโนมัติ แต่ชายเกาหลีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า“You brought a new assistant this year, huh?”“More than that,” อลิสตอบเรียบ ๆ พร้อมปรายตามองลลิล“She's my personal secretary now. Lalin, this is Mr. Seo Min-hyun —CEO ของ SKI Holdings ฝั่งโซล”ลลิลยิ้มแบบมีมารยาท และตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างคล่อง“Nice to meet you, Mr. Seo.”เขาดูพอใจ หัวเราะเบา ๆ แล้วชำเลืองมองอลิส“เธอดูเฉียบดีนะ มิสเตอร์อลิสแตร์... ฉันชอบความฉลาดในสายตาแบบนี้”อลิสไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวกระซิบข้างหูลลิล“จำไว้นะ—เขาแยกคำพูดกับสายตาไม่ออก อย่าเชื่อทุกอย่างที่เขาชม”เธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะ