ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนสองคน ไฟเมืองโตเกียวสว่างไสวไม่ต่างจากดวงตาทั้งสองคู่ที่มองกันด้วยความรู้สึกที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ห้องพักโรงแรมกลางโตเกียวอบอุ่นด้วยฮีตเตอร์ แต่เอยกลับรู้สึกร้อนวาบตั้งแต่วินาทีที่ประตูห้องปิดลง ยังไม่ทันได้ถอดเสื้อโค้ทดี เสี่ยคิงห์ก็ดึงเอยเข้ามาในอ้อมแขน กดร่างให้แนบชิดกับกำแพงห้องอย่างอ่อนโยนแต่เร้าใจ “ยังไม่อยากให้หลับ อยากกอดก่อน” เสียงทุ้มนั่นกระซิบข้างหู ปลายนิ้วสอดเข้ามาใต้ชายเสื้อ สัมผัสผิวร้อนวูบที่แผ่นหลัง เอยหอบหายใจเบาๆ “อื้อ... เพิ่งกินราเมงมา ยังไม่ทันย่อยเลย” คิงห์ยิ้มมุมปาก โน้มหน้าลงจูบเบาๆ ที่ซอกคอ “ก็ไม่ได้จะกินราเมง” ปลายลิ้นลากช้าๆ ทิ้งไอร้อนบนผิวเนียนจนเอยสะดุ้งเฮือก ร่างบางได้เอนตัวลงบนเตียง ผ้าห่มนุ่ม เอยถูกกอดจากด้านหลัง เสี่ยกดจมูกแนบกลางแผ่นหลัง หายใจรินๆ เหมือนเสพติดกลิ่นเนื้อเนียนนุ่ม “กอดแน่นแบบนี้ทุกคืนได้ไหม เอยของเสี่ย” เอยหลับตา พยายามไม่ให้เสียงครางเล็ดลอด เพราะแค่เสี่ยขบเบาๆ ที่ติ่งหู มือก็เริ่มซุกซนใต้เสื้อยืดแล้ว “คืนนี้... ขอแค่กอดจริงๆ ใช่ไหม” เสียงถามเบาหวิว แต่คิงห์ตอบด้วยการสอดขามาพันเกี่ยวไว้ใต้ผ้าห่ม “กอด… แต่ไม่รับประกันว่าจะจบแค่นั้น” เอยกัดปากแน่น แต่ใจกลับลอบยิ้ม ในเมื่อคนกอด ขี้อ้อน แบบนี้ จะให้หลับสนิทได้ยังไงกัน กลางดึก เสียงลมหายใจของเอย แต่คนที่นอนกอดอยู่ข้างหลังกลับไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ คิงห์จ้องมองใบหน้าด้านข้างของเอยอยู่ในความมืด ปลายนิ้วไล้แผ่วเบาตามแนวกราม ก่อนจะโน้มหน้าลงกดจูบแผ่วที่ต้นคอ “หืม” เอยขยับตัวนิดหน่อย เสียงงึมงำในลำคออย่างคนโดนปลุก แต่ไม่ได้ผลักไส เสี่ยยิ้มอย่างเอ็นดู แขนแกร่งกระชับกอดแน่นขึ้น ร่างกายเบียดชิดขึ้นอีกนิด “ขอโทษนะ แต่คืนนี้เสี่ยห้ามใจไม่ไหวจริงๆ” เขากระซิบเสียงพร่า ขณะที่ปลายนิ้วไล้ลูบจากแผ่นอกผ่านหน้าท้องแบนราบของเอยใต้ผ้าห่ม เอยสะดุ้งตื่น ใบหน้าร้อนวูบเมื่อสัมผัสคุ้นเคยจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว “มะ...ไม่ใช่บอกว่าจะกอดเฉยๆ เหรอ” เสียงงัวเงียปนเขิน คิงห์โน้มหน้าลงจูบข้างแก้มเขาเบาๆ “ก็แค่กอดแน่นขึ้นหน่อย... กอดแบบเสี่ย” แล้วร่างของเอยก็ถูกพลิกให้นอนหงาย เสี่ยคร่อมอยู่ด้านบนใต้ผ้าห่มหนานุ่ม กลิ่นกายของกันและกันอบอวลไปทั่ว ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบลงมาช้าๆ นุ่มนวลแต่ร้อนแรง มือใหญ่ไล้ปลุกไล่เรื่อยจากเอวขึ้นมาโอบข้างแก้ม เสียงหอบหายใจเริ่มประสาน อุณหภูมิใต้ผ้าห่มร้อนยิ่งกว่าออนเซนที่เพิ่งแช่มาในตอนเย็น ในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงเตียงสั่นเบาๆ กับเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ “ห้ามใจไม่ไหวจริงๆ” เสี่ยคิงห์กัดฟันกรอด ดวงตาคมกริบจ้องมองคนตัวเล็กที่กำลังคุกเข่าต่อหน้า ปากอิ่มเผยอเล็กน้อย เหมือนจะเชิญชวนให้เขาเสียสติ เขาไม่พูดพร่ำ ยัดลำเอ็นร้อนผ่าวใส่ปากเอยเต็มลำจนเด็กหนุ่มสะดุ้ง ดวงตากลมเบิกกว้างเพียงวูบเดียว ก่อนจะอมเข้าไปลึกจนแทบติดคอ “อืม... จ๊วบ... อึก”เสียงรถแล่นเข้ามาจอดในโรงจอดรถก่อนที่ประตูหน้าบ้านจะเปิดออก“ป๊ากลับมาแล้วครับ”เสียงทุ้มของเสี่ยคิงห์ดังขึ้นไม่ทันขาดคำสองแฝดที่เมื่อเช้ายังทะเลาะกันอยู่ ก็วิ่งฝ่าโซฟา กระโจนเข้าใส่คนเป็นพ่อ“ป๊าาาาาาาาาาาาาา”“คชาคิดถึงป๊า”“ธิปมีเรื่องจะเล่าาา”เสี่ยคิงห์หัวเราะ พลางอ้าแขนรับลูกทั้งสองคนกอดซ้ายที ขวาที จนแขนแทบไม่พอ“ช้า ๆ สิครับลูก ป๊ายังไม่ทันวางกระเป๋าเลย”“ไม่เป็นไรเรื่องสำคัญมาก ต้องเล่าเดี๋ยวนี้”แฝดนั่งลงข้าง ๆ กันบนพรม กางแขนกางขาเล่าแบบไม่เว้นจังหวะทั้งเล่าว่าใครเริ่มทะเลาะก่อนใครดุ ชื่อ หม่าม๊า โดนเอ่ยรัวใครยอมก่อน ใครให้ยืมของหวงใครวาดรูปจับมือกันเสี่ยฟังพลางอมยิ้ม ก้มมองลูกทั้งสองที่พูดจนน้ำลายแทบกระเด็นก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวทั้งคู่สลับกันเบา ๆ“ป๊าภูมิใจมากเลยครับ ที่ลูก ๆ รู้จักขอโทษกันและให้อภัยกัน”“แต่ป๊าภูมิใจที่สุด... ที่ลูกทั้งสองคนยังรักกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร”สองฝาแฝดยิ้มเขิน ๆก่อนจะเอนหัวซ้ายขวาซบลงที่อกของเสี่ยคนละข้างพร้อมเสียงงึมงำที่น่ารักที่สุด“เพราะพวกเรามีป๊ากับหม่าม๊าที่รักกัน”“ก็เลยอยากเป็นแบบนั้นบ้าง”เสี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง แล
เสียงโวยวายดังมาจากห้องนั่งเล่นในเช้าวันเสาร์คชานนท์ยืนกอดอก หน้าบึ้งตึงคุณาธิปนั่งย่นจมูก ทำตาใสปริบ ๆ แต่อารมณ์ก็ไม่ต่างกัน“คชาไม่ยอมเก็บของเล่นเลย บอกแล้วว่าเก็บด้วยกันไง”“ก็ธิปบอกจะดูดฝุ่นเอง แล้วอยู่ ๆ ไปเล่นไดโนเสาร์เฉย”เสียงแฝดโต้กลับกันไปมาเหมือนแมวกับหมาของเล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น ปืนฉีดน้ำล้ม หุ่นยนต์นอนตะแคง รองเท้าเด็กวางซ้อนกันผิดข้างเอยที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัว พับผ้าเสร็จ ยังไม่ทันได้นั่งพัก ก็ต้องรีบเดินเข้าไป“คชานนท์ คุณาธิป”เสียงดุของเอยดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต้องตะโกนก็น่ากลัวพอให้ฝาแฝดหันขวับมองพร้อมกันทันที“เราตกลงกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าจะช่วยกันทำงานบ้าน ไม่ใช่โยนให้กันไปมาแบบนี้”“แต่ว่า... หม่าม๊า... คชาไม่ยอมช่วย...” ธิปเริ่มฟ้อง“ธิปเล่นก่อนต่างหาก” คชาเถียงเอยยกมือขึ้นนิ้วเดียวทั้งคู่เงียบกริบทันที“หม่าม๊าไม่สนว่าใครเริ่มก่อนนะครับ แต่ถ้าไม่ช่วยกัน ไม่มีใครได้ไปดูการ์ตูนตอนบ่ายเลยทั้งคู่”เสียงนิ่งแต่ชัดเจนแบบนี้ ฝาแฝดรู้ทันทีว่า โหมดหม่าม๊าโหมดจริงจัง ได้เปิดใช้งานแล้ว“เข้าใจไหมครับ?”“เข้าใจครับ” ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน ก่อนจะหันหน้ามองกันเอง
หลังจากฝาแฝดเข้านอนไปแล้ว พร้อมตุ๊กตาคู่ใจและนิทานเล่มเดิมที่เอยอ่านให้ฟังทุกคืนทั้งบ้านก็ตกอยู่ในความสงบอีกครั้งภายในห้องนอนใหญ่ ไฟหัวเตียงเปิดไว้สลัว ๆเอยนอนหนุนแขนเสี่ยคิงห์ ใต้ผ้าห่มผืนหนา กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มกับกลิ่นกายของอีกฝ่ายอบอวลผสมกันไปหมดเสี่ยใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มเอยเบา ๆ“มีความสุขไหมครับวันนี้”เอยพยักหน้า แล้วขยับตัวเข้าหาอีกฝ่าย“มากเลยครับ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาทุกปี แล้วก็ขอบคุณที่ทำให้วันธรรมดากลายเป็นวันพิเศษเสมอ”“เสี่ยต้องขอบคุณเอยมากกว่านะครับ ที่ยอมแต่งกับคนดุ ๆ อย่างเสี่ย แล้วก็เลี้ยงลูกซน ๆ สองคนให้โตมาเป็นเด็กดี”เอยหัวเราะเบา ๆ แล้วซุกหน้าลงกับอกกว้าง“ถ้าไม่มีเสี่ย… เอยก็คงไม่รู้จักคำว่าครอบครัวแบบนี้หรอกครับ”เสี่ยคิงห์ยกมือขึ้นลูบผมนิ่ม ๆ ของเอย ก่อนจะประคองใบหน้าขึ้นมาจูบแผ่วเบาที่หน้าผากแล้วเลื่อนลงมากดริมฝีปากจูบลงเบา ๆ ที่มุมปาก อบอุ่นและแผ่วหวานจนเอยขนลุกซู่“สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะครับ เมียเสี่ย”“ครับ… แล้วก็ฝันดีนะครับ สามีของเอย”ผ้าห่มค่อย ๆ ถูกดึงขึ้นคลุมถึงปลายคางคืนนี้ เอยไม่ได้ขอพรอะไรจากวันเกิดเพราะแค่ได้หลับไปในอ้อมแขนของคนที่
เอยลืมตาตื่นเพราะกลิ่นหอมจาง ๆ ของช็อกโกแลตลอยเข้าจมูก มือเล็กยกขึ้นขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะพลิกตัว แล้วก็ต้องชะงัก“ตื่นแล้วเหรอครับ เมียเสี่ย”เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าคมเข้มของเสี่ยคิงห์ที่โน้มเข้ามาใกล้ จนเอยต้องรีบยกผ้าห่มขึ้นบังหน้า ใบหูแดงแจ๋ทันที“มะ…มีอะไรครับ ทำไมตื่นเช้าจัง”“วันนี้วันอะไรครับคนดี?”“เอ๊ะ... ก็วันพฤหัส”คิงห์หัวเราะในลำคอ แล้ววางกล่องของขวัญผูกโบว์ลงข้างหมอนก่อนจะกระซิบเบา ๆ“วันเกิดของเมียเสี่ยไงครับ”เอยเบิกตากว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอย่างตกใจเขาแทบจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดตัวเอง เพราะมัวแต่ง่วนกับงานและโปรเจกต์ที่รุมเร้า แต่เสี่ยคิงห์กลับไม่ลืม“เสี่ย”“อย่าร้องนะครับ เดี๋ยวเค้กจะเค็มเพราะน้ำตาเมีย” เขายิ้มละมุน พร้อมเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้เอยบนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียง มีกล่องเค้กสีชมพูพาสเทลที่เอยเคยพูดชอบไว้เมื่อเดือนก่อน มีกล่องของขวัญที่ไม่ต้องเปิดก็รู้ว่าเป็นกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ที่เอยอยากได้ และมีกุหลาบแดงหนึ่งช่อที่ผูกด้วยริบบิ้นสีทอง“ขอบคุณครับ” เอยซุกตัวเข้าอกกว้างของเสี่ยอย่างไม่อาย“แค่เมียยิ้ม เสี่ยก็พอใจแล้วครับ”คิงห์กระซิบข
“ฮื้อ…พี่คิงห์…เบาๆหน่อย”เสียงครางแผ่วสั่นปนหอบหายใจดังขึ้นจากใต้ร่าง เอยที่กำลังถูกจับพาดขาไว้บนบ่า ร่างเปลือยเปล่าแดงระเรื่อ สั่นไหวเพราะแรงกระแทกที่โหมเข้ามาไม่หยุด“บอกว่าจะให้ทำลูกอีกคนไม่ใช่เหรอ?” เสียงทุ้มต่ำของคิงห์ดังชิดใบหู มือหนาจับเอวบางแน่น “งั้นก็ต้องรับให้ไหวนะครับเมีย”ปั่ก ปั่ก ปั่กเสียงกระแทก เอยเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง ยิ่งร้องเบา คิงห์ก็ยิ่งเร่งแรงมากขึ้น ทั้งจังหวะและเสียงที่กระทบกันทำเอาทั้งเตียงสั่นสะเทือน“อ๊ะ ไม่ไหว เสี่ย มัน…มันจะขาดใจแล้ว”“ก็แค่กระเเทกเบาๆเอง” คิงห์กระซิบ ก่อนกระแทกทีสุดท้ายเต็มแรงจนร่างบางสะท้าน “คืนนี้จะไม่หยุด จนกว่าจะมีอีกคนจริง ๆ”เขาก้มลงจูบริมฝีปากของเอยอย่างดูดดื่ม ทั้งดูแล ทั้งลงโทษไปพร้อมกันในคราวเดียว จังหวะรักดำเนินต่อไม่มีหยุด เพราะคำว่า ทำลูก ไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันคือภารกิจสุดร้อนแรงของคืนนี้แสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียงไล้เงาลงบนเรือนกายเปลือยเปล่าสองร่างที่แนบชิดกันบนผ้าปูเตียงยับย่น เสียงหอบหายใจสอดประสานกับสัมผัสร้อนระอุที่ยังไม่หยุด"พี่คิงห์" เอยครางชื่อคนบนร่างด้วยเสียงแผ่ว ใบหน้าขึ้นสีจัดจนมองเห็นชัดริมฝีปากร้อนของคิงห์ประทั
คิงห์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะดึงเอวเอยเข้ามากอดแน่นจากด้านข้าง แล้วกระซิบใกล้หูจนเอยหน้าแดง“คืนนี้… จะพาเมียขึ้นหอไอเฟลรอบสองแบบส่วนตัวนะครับ”“คิงห์ เดี๋ยวลูกได้ยิน”ฝั่งลูก ๆ ที่วิ่งอยู่ห่างออกไปสักพักก็หันกลับมาตะโกน“คุณพ่อคุณแม่ หยุดหวานกันได้แล้ว มาถ่ายรูปด้วยกันหน่อยครับ”บรรยากาศในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เย็นสบาย ผู้คนเดินชมงานศิลป์อย่างเงียบ ๆ ภายใต้แสงไฟสลัว ๆ แต่ดูสง่างาม เสี่ยคิงห์เดินจับมือลูกคนละข้าง ส่วนมืออีกข้างก็ไม่ลืมจับเอวเอยเอาไว้แน่นแบบหวง ๆ“คุณพ่อครับ… ภาพนั้นชื่อว่าอะไรเหรอ?” คชานนท์ถามเสียงเรียบขณะมองภาพโมนาลิซาที่อยู่ในกรอบกระจก“โมนาลิซา” คิงห์ตอบ “แต่พ่อว่าหน้ายิ้มของโมนาลิซายังไม่สวยเท่าหน้ายิ้มแม่ลูกหรอก”“คิงห์… ไม่หยุดเลยนะคุณ” เอยหน้าแดงก่อนจะหลบตาคุณาธิปกลอกตาแรง “คุณพ่อครับ เรามาชมศิลปะ ไม่ใช่มาอวยเมียนะ”คิงห์หัวเราะ หอมขมับเมียฟอดหนึ่ง “ก็เมียของพ่อสวยกว่างานศิลป์ทุกชิ้นในลูฟวร์นี่หว่า จะให้ทำยังไง”คชานนท์หลุดยิ้มเบา ๆ ส่วนคุณาธิปก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา แต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสุขครอบครัวที่อาจดูรวยเว่อร์ ๆ แต่กลับอบอุ่นและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะตลอดเวลา