ห้องทำงานอันเงียบสงบที่มีเพียงเสียงพู่กันลากผ่านกระดาษ และเสียงพลิกฎีกาดังกรอบแกรบ ต้องแปรเปลี่ยนไปเมื่ออวี่หรงเริ่มเล่าเรื่องอย่างออกรส"ข้าได้ไปที่โรงเตี๊ยวอวี้ฮวาถังเมื่อสองวันก่อนตอนช่วงค่ำ ระหว่างกำลังจะเดินไปที่ห้องก็เห็นเสี่ยวหนี่..."เสียงของอวี่หรงทำให้หยางลี่ชะงักเล็กน้อย มือที่กำลังหยิบฎีกาแทบจะหยุดค้างกลางอากาศ ดวงตาคมใต้คิ้วดกขยับเล็กน้อย เขาเผลอเปล่งเสียงในลำคอเบาๆ ว่า “หืม” กลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายอวี่หรงเห็นปฏิกิริยานั้นของพี่ชายก็ยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะเล่าต่ออย่างไม่เร่งรีบ คล้ายตั้งใจจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของหยางลี่"อะแฮ่ม ข้าเห็นนางในห้องเครื่องที่ชื่อหนี่ฮวา ไม่สิเสี่ยวหนี่....คล้ายคนผู้หนึ่งที่นั่น ตอนนั้นข้าเห็นว่ามีคนสะดุดตาข้า เป็นสาวงามคนหนึ่งที่คลุมผ้าปิดมิดชิด กำลังเดินผ่านไปอย่างรีบร้อน แต่นางตัวเล็กนิดเดียว แต่ผ้าคลุมก็ใหญ่กว่าตัวเองมากตอนแรกก็แค่คิดว่าตัวเตี้ยดีเพราะผ้าคลุมซ่อนรูปหมด"หยางลี่ที่เหมือนพยายามควบคุมสีหน้าอยู่ทั้งคำเรื่องหาที่สนิทสนมทั้งการบรรยายรูปร่าง พูดแทรกขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบปรายมามองอวี่หรงอย่างไม่เชื
และไทเฮาฟู่ฉี...ก็คือขุนเขาที่ยากจะล่วงล้ำ นางมิใช่เพียงสตรีที่เป็นแม่ของสามี แต่คือต้นแบบแห่งภรรยา ขุนนาง และผู้นำหลังม่านบัลลังก์ ผู้คนกล่าวขวัญกันเสมอว่ายุคทองของแคว้นนี้มิได้มาเพราะฮ่องเต้องค์ก่อนเพียงลำพัง แต่คือผลแห่งการสนับสนุนของไทเฮาฟู่ฉีด้วยชวีหยาคิดอย่างหนักใจ คำพูดของไทเฮามีน้ำหนักมาก ไทเฮาฟู่ฉีไม่ใช่ไทเฮาที่ธรรมดา นางอยู่คู่ช่วยเหลือสามีตั้งแต่เด็กจนได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เรื่องในวังจัดการได้อย่างยอดเยี่ยมจนไม่เคยมีปัญหาแม้แต่ครั้งเดียว ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ทรงมากด้วยความสามารถและดูแลบ้านเมืองได้ดียิ่งจนเป็นยุคทองอย่างแท้จริง แต่ผู้คนรับรู้กันทั่วว่าฮ่องเต้องค์ก่อนล้วนแบ่งปันคำสรรเสริญมาถึงไทเฮาฟู่ฉีอยู่เสมอว่า เวลาใครกล่าวชมเรื่องการดูแลบ้านเมือง ฮ่องเต้องค์ก่อนมักจะพูดว่าต้องขอบคุณไทเฮาฟู่ฉีด้วยที่ค่อยสนับสนุนช่วยเหลือมาเสมอ คำพูดพวกนี้ย่อมมากกว่าแค่คำว่าสนับสนุนดูแลสามี แต่คือสนับสนุนดูแลบ้านเมือง และอำนาจของนางยังคงอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนชวีหยาไม่กล้างัดข้อ ไม่กล้าแม้จะเงยหน้ามอง นางก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง น้ำเสียงนอบน้อม“หม่อมฉันจะระวังตนให้มากขึ้นเพคะ และจะไม่วุ่นวายกับเรื่องของ
ณ ศาลาเย็นริมสระบัวภายในตำหนักไทเฮา กลิ่นหอมอ่อนของชาอวี้เซวียนลอยอ้อยอิ่งในสายลมยามสาย เสียงน้ำไหลเบาๆ ผสานกับเสียงนกในสวน ทำให้บรรยากาศดูสงบและงดงามเหนือกาลเวลากุ้ยเฟยชวีหยาเดินเข้ามาในศาลาอย่างสง่างาม แม้จะแต่งกายเรียบง่ายกว่าปกติ แต่ท่วงท่ายังคงสูงศักดิ์ ย่อกายถวายพระพรไทเฮาฟู่ฉีอย่างนอบน้อม“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”ไทเฮาฟู่ในอาภรณ์ไหมสีงาช้าง นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าชุดน้ำชา ท่วงท่าภูมิฐานสมเป็นอดีตพระมเหสีแห่งฮ่องเต้องค์ก่อน แววตาเยือกเย็นนั้นมองสบมายังชวีหยาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้นั่งลง“นั่งลงเถอะ”ชวีหยาทำตามโดยไม่อิดออด แม้ในใจจะระวังตัวมากกว่าทุกครั้ง ยิ้มบางๆ พลางประคองถ้วยชาอย่างนอบน้อม“ไทเฮาเรียกหาหม่อมฉัน ซวีหยายินดีรับใช้อย่างยิ่งเพคะ”ไทเฮาฟู่ฉีไม่ตอบในทันที นางเพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ เสียงราบเรียบแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ“ช่วงนี้วังหลังดูสงบเงียบดี เจ้าเองก็ดูจัดการเรื่องภายในได้ดี… จนข้าวางใจ”“เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเพคะ หากมีสิ่งใดบกพร่อง หม่อมฉันพร้อมรับคำตำหนิทุกประการ แต่หากเป็นคำชม ก็ต้องแบ่งปันให้กับเหล่าสนมน้อยใ
เมื่อเก็บจานล้างครัวจนเสร็จ พวกสาวๆ ที่เหลือก็พากันรีบแยกย้าย ราวกับไม่อยากอยู่ใกล้เสี่ยวหนี่ตอนระเบิดลง เหลือเพียงเสี่ยวหนี่ เสี่ยวอี้ และจี้เหวินที่ยังอยู่ในห้อง“คุณหนู...” เสี่ยวอี้หันมามองเสี่ยวหนี่ สีหน้าลังเล เสี่ยวหนี่ฝืนยิ้ม ก่อนจะตบไหล่เสี่ยวอี้เบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความเศร้า “เจ้าน่ะกลับไปกับจี้เหวินเถอะ เสี่ยวอี้ เจ้าอยู่ด้วยข้า...ข้าตอแหลไม่ออกจริงๆ แล้วถ้าความแตก อย่างน้อยยังเหลือเจ้าช่วยจี้เหวินทำอาหารอยู่ ไม่ถึงกับเผาถ่านเสิร์ฟแน่ๆ หรอก...แค่ฝีมือตกหน่อยเท่านั้นเอง”นางหยุดนิดหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อเหมือนกำลังพูดลอยๆ กับโชคชะตา“ถึงตอนนั้น...โดนไล่ออกก็กลับบ้านกันก็ได้ ว่าไหม...”“มันเลวร้ายเพียงนั้นเชียวหรือ” จี้เหวินถามเสี่ยวหนี่กำลังทำหน้าเครียด พลางพยายามจะทำซึ้งเรียกน้ำตาสักหน่อยให้ดูดราม่าหนีความผิด แต่ยังไม่ทันมีน้ำตาหยดแรก เสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“จะกลับไปไหนกันหรือ”เสี่ยวหนี่ตลึงงันในท่าเดิม ลมหายใจติดคอ อวี่หรง...องค์ชายรองที่นางคิดว่าน่าจะรออยู่ด้านนอกกลับเข้ามายืนอยู่ข้างหลังแบบไร้สุ้มไร้เสียง ราวกับภูตผีปีศาจกลางคืนที่โผล่มาเล่น
หยางชินอวี้รู้มารยาทดีเยี่ยมกว่าใครเพราะนางถูกสั่งสอนมาอย่างดีก่อนที่จะเข้าวัง พอเห็นว่าเป็นองค์ชายรองอวี่หรง ก็รีบวางชามในมือ ลุกขึ้นแล้วประสานมือทำความเคารพอย่างสุภาพทันที“หม่อมฉันขอถวายบังคมเพคะองค์ชายรอง ไม่ทราบว่าเสด็จมาด้วยเหตุอันใดหรือเพคะ... หากเป็นเรื่องอาหาร ต้องขออภัยจริงๆ ห้องเครื่องปิดลงแล้วในยามนี้”เสียงตอบของหยางชินอวี้แม้จะสุภาพแต่ก็ชัดเจนและมีน้ำเสียงแฝงความเกรงใจ อวี่หรงส่ายหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปากอย่างอ่อนโยน “เปล่า ข้ามิได้มาเรื่องอาหารหรอก... ข้าแค่มาหาเสี่ยวหนี่ มีเรื่องจะถามเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” หันหน้าไปทางเสี่ยวหนี่เหมือนจะบอกว่าเป็นเจ้านั่นแหละเพียงได้ยินชื่อของตนเอง เสี่ยวหนี่ที่กำลังจะตักอาหารคำสุดท้ายถึงกับชะงัก หันกลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเป็นอวี่หรงจริงๆ ใบหน้าก็ซีดเล็กน้อยราวกับวิญญาณจะหลุดจากร่าง แล้วหันปุ๊บไปทางเสี่ยวอี้ในทันใดคำพูดที่เคยเตรียมไว้กับเสี่ยวอี้ถูกกลืนลงไปพร้อมอาหารดวงตากลมของเสี่ยวหนี่เบิกกว้างเต็มไปด้วยความตระหนก รีบขยับริมฝีปากเงียบๆ อย่างรวดเร็ว พลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือ “เจ้า / กรรม / นาย / เวร
กลิ่นอาหารอบอวลในอากาศยังไม่จาง ร่างของเหล่าสาวฝึกหัดแม่ครัวนั่งล้อมวงกันอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายโต๊ะกับเก้าอี้ที่ทำจากหินอ่อนเหมือนกันใต้ร่มไม้หน้าเรือนพัก เสียงจานชามกระทบกันเบาๆ คลอด้วยเสียงเจื้อยแจ้วคุยสนุกสนานเฟิงหรานเคี้ยวข้าวคำสุดท้ายก่อนจะตบมือเบาๆ เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้“จริงสิ! ข้าเกือบลืมไปเลย! พวกเจ้าได้ของกำนัลกันมาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมไม่เอามาอวดกันเลยล่ะ” นางหันไปมองจี้เหวินกับหยางชินอวี้เป็นพิเศษ ที่ก่อนนั้นรับอาสาว่าจะไปหากเฟิงหรานพูดเป็นนัยๆ ว่าได้ของกำนัลก็ได้กันแค่สองคนที่ไปสินะ“ไหนๆ ล่ะ เอาออกมาดูหน่อยสิ เป็นอะไรน่ะ”หลิงเชียวที่นั่งไขว่ห้างอยู่ใกล้ ๆ หันมาเสริมทันที ดวงตาเป็นประกาย“จริงเหรอ เป็นของแบบไหนล่ะ อย่าบอกนะว่า...ตะหลิวทองคำฮ่าาาาา”เสี่ยวหนี่หัวเราะก๊ากทันที “ข้าอยากได้กระทะทองคำมากกว่านะ ตะหลิวน่ะเอาไว้ตีหัวคน”จี้เหวินสะบัดมือใส่เสี่ยวหนี่เบาๆ“เจ้าเพี้ยนอีกแล้ว! ของรางวัลก็ไม่ใช่ของที่กินหรือใช้ตีคนนะ เจ้านี่เลอะเลือนไปกันใหญ่แล้วรักษาภาพพจน์คุณหนูบ้านโจวบ้างก็ได้นะ”จี้เหวินพูดพลางล้วงห่อผ้าจากกระเป๋าผ้าข้างตัวขึ้นมา ดวงตาเป็นประกา
“...หล่อจนไม่อยากละสายตาเลยล่ะ” เซี่ยหยาว่าพลางหลุบตาหน้าแดง“แต่พอเห็นท่าทางเย็นชานั่น...ข้าก็ไม่กล้ามองนานทำไมเฉยชาเสียจริงแต่นั่นก็ทำให้ฝ่าบาทน่าค้นหาและอิงแอบจริงไหม อยากรู้ว่าภายใต้สายตาเย็นชานั้นหากเราเอนกายเคียงข้างฝ่าบาทแล้วยังจะมีสายตาเย็นชามองเราอีกไหม” หลิงเชียวเสริม ยิ้มเขินๆ พร้อมกับสายตาเคลิ้มฝันคิดไปไกลมีเพียงหยางชินอวี้ที่ไม่พูดอะไร นั่งเงียบแกะถั่วอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับบทสนทนารอบตัวไม่เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อยเสี่ยวหนี่แม้จะฝืนยิ้มกับบรรยากาศคึกคักรอบตัว แต่ในใจก็ถอนหายใจไม่รู้กี่รอบ ได้ใกล้ชิดมากขึ้นก็หมายความว่าต้องเสี่ยงมากขึ้นน่ะสิ...เหมือนโทษหลอกลวงเบื้องสูงเดินมาหาเลย ถ้าเมื่อไหร่ฮ่องเต้เบื่ออาหารของจี้เหวินเสียที ข้าจะได้รีบลากลับบ้านไปตกปลาที่ลำธารยิงกระต่ายป่า กับเสี่ยวอี้แสนจะสนุก จะได้ไม่ต้องมาลุ้นทุกมื้ออย่างนี้อีกแล้วในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้ากององครักษ์ ตงเจี้ยนเพิ่งสะสางงานในมือเสร็จเรียบร้อย ยังไม่ทันจะหยิบชาขึ้นจิบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตุ๊บๆ ราวกับกระโดดมาตามมาด้วยเสียงร้องร่าเริงที่คุ้นหู“ท่านนนนหัวหน้าาาาองครักษ์ …..ตงเจี้ยนนน ข้าเฟิงอวี้เ
เสียงปัดกวาดและล้างถ้วยชามเงียบไปแล้ว ครัวหลวงที่เคยจอแจกลับกลายเป็นสงบ เสี่ยวหนี่โยนผ้าเช็ดมือในอ่างอย่างแรงแล้วทิ้งตัวนั่งพับเพียบข้างเตาไฟก่อนจะหยิบถั่วคั่วในจานดินเผามากำมือหนึ่ง ใบหน้าเหนื่อยล้าแต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา“เฮ้อ...น่าเสียดายจริงๆ ข้าไม่ได้เห็นหน้าฮ่องเต้เลย เจ็บใจจริงๆ” เสียงบ่นอุบของนางทำให้ทุกคนรอบข้างอดหัวเราะไม่ได้“ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันนะ!” เสี่ยวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกล พยักหน้าหงึกๆ ตาเป็นประกาย หลิงเชียวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกระแอม “ถ้าเช่นนั้น ฟังข้าเล่าเถอะ” นางยกมือขึ้นพัดหน้าแผ่วเบาเหมือนจะขับไล่ความเขินอาย ก่อนจะเริ่มบรรยายด้วยน้ำเสียงฝันหวาน “ฝ่าบาทสูงส่ง สมชายชาตรีจริงๆ เพียงแค่เห็นหน้า ทุกคนก็ต้องหยุดหายใจ...สายตาของฝ่าบาทคมดุจคมดาบ แต่กลับมีรอยยิ้มที่อบอุ่นละลายใจและเรื่องที่เราเคยได้ยินเรื่องหล่อเหลาที่สุดในเจ็ดคาบสมุทรไม่เกินจริงพวกเจ้าเชื่อไหมฝ่าบาทหล่อเหลากว่าบุรุษใดในใต้หล้าจริงๆ นะ”“จริง! ข้าเห็นด้วย!” เฟิงหรานยิ้มกว้างตาม “ข้าก็เหมือนกัน แค่ได้เห็นจากที่ไกลๆ” เซี่ยหยายิ้มอย่างเขินอายสาวๆ หัวเราะกันคิกคัก หน้าขึ้นสีระเรื่อทั้งจากความเหนื่อ
“เพคะ กุ้ยเฟย” หรูซินยอกายรับคำสั่งอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเดินเข้ามาหาจี้เหวิน “คุณหนูจี้เหวิน โปรดตามหรูซินมา”จี้เหวินคำนับอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง แล้วเดินตามหรูซินออกจากลานอย่างเงียบๆ โดยไม่เอ่ยสิ่งใดชวีหยาลอบทอดสายตามองตามหลังทั้งสองไปครู่หนึ่ง ในใจยังวนเวียนกับคำตอบนั้น “หนี่ฮวา…หรือจะเป็นอีกคนที่ต้องจับตามอง”ขณะที่หยางลี่นั่งสงบนิ่งอยู่ตรงโต๊ะ พระเนตรทอดมองไปยังจานยำรวมมิตรตรงหน้าอีกครั้งโดยไม่กล่าวสิ่งใด ริมฝีปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนกำลังทบทวนรสชาติที่เพิ่งชิม…“รสชาตินั้นตราตรึงใจจริงๆ อย่างที่ไม่ต้องใช้อคติรสชาติแม้จะเผ็ดแต่ก็มีรสเปรี้ยวและหวานช่วยชูรสให้อยากจะกินซ้ำๆหยางลี่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงท้ายของงานเลี้ยง ใบหน้าสงบเย็นเรียบนิ่งแต่แฝงความอ่อนโยนไว้เล็กน้อย“ข้าขอตัวกลับตำหนักก่อน” เสียงทุ้มราบเรียบกล่าวขึ้น เรียกความเคลื่อนไหวให้ทุกคนลุกขึ้นยืนพร้อมกันโดยอัตโนมัติกุ้ยเฟยชวีหยาลุกขึ้นแย้มยิ้มอ่อนโยน พยักหน้าเบาๆ“ฝ่าบาทเสวยแล้วก็พักผ่อนเถิดเพคะ คืนนี้อากาศเย็นซวีหยาจะจัดคนเฝ้ายามเพิ่ม หรือว่าคืนนี้จะให้ซวีไปเดินหมากเป็นเพื่อนคลายเหงา” ซวีพูด