กวงซุนกงกงเพิ่งถวายรายงานจบแต่ไม่ทันจะได้กล่าวต่อ เสียงประตูเปิดออกอย่างไร้มารยาทก็ดังขึ้นมาทันที“เฮ้อ… เดี๋ยวนี้เปลี่ยนรสนิยมมาชอบนางในห้องเครื่องแล้วหรือพี่ใหญ่ ไม่สิฝ่าบาท”เสียงที่คุ้นเคยอย่างยียวนลอยเข้ามา พร้อมร่างสูงในชุดประจำตำแหน่งขององค์ชายรองอวี่หรงที่เดินเข้ามาราวกับที่นี่เป็นตำหนักของตนเอง“แค่นี้หรือเรื่องที่ทำให้อวี่หรงมาถึงนี่” ชินหวังอ๋องยิ้มมองสำรวจว่าหยางลี่แอบเอาใครมาซุกไว้ในตำหนักหรือไม่“แล้วเหล่าสนมที่เอามาประดับบัลลังก์ไว้ล่ะ… ทิ้งให้ขึ้นราอยู่หรือไง พวกนางหมดค่าแล้วหรือไร”หยางลี่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษราชการ เลิกคิ้วมองน้องชายอย่างเคยชิน“จนป่านนี้21ปียังไม่เลิกพูดมากหรือไง” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเอือมระอา“จะบ้าหรือข้าไม่ได้พูดได้ตั้งแต่อายุหนึ่งเดือนเสียเมื่อไร่”“อ่อเช่นนั้นจึงหาโอกาสพูดทั้งเรื่องที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ขอแค่ได้พูดใช่ไหม”“ข้าก็แค่ห่วงพี่ใหญ่เท่านั้นเอง เห็นยุ่งทั้งวันก็ยังต้องมาให้ความสำคัญกับนางในฝึกหัดในห้องเครื่องอีก...คนในวังเขาลือกันว่า ท่านเรียกตัวคุณหนูโจวจากเมืองโจวมาฝึกหัดเป็นนางในห้องเครื่องมาด้วยตนเองกับมือ” อวี่หรงแ
เสียงของหัวหน้าแม่ครัวเหม่ยซูดังกังวานก้องทั่วเรือนห้องเครื่องขณะยืนประสานมือไว้ด้านหน้า แผ่นหลังเหยียดตรง ใบหน้าสงบนิ่ง แต่แววตาเต็มไปด้วยความจริงจัง“ต่อไปนี้ ให้พวกเจ้าทุกคนคิดเมนูที่เหมาะกับการต้อนรับฤดูเหมันต์ที่ใกล้เข้ามา วังหลวงจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ทั่วแคว้น เชิญทั้งขุนนางและทูตจากแดนไกลเข้าร่วม อาหารจานหลักในงานเลี้ยงจะต้องเลือกจากฝีมือของพวกเจ้าใครได้รับเลือกในครั้งนี้จะได้รับการเลื่อนขั้นยศเป็น ว่าที่นางในห้องเครื่อง”เสียงฮือฮาเบาๆ ดังขึ้นทั่วห้องครัว หญิงสาวแต่ละคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ต่างเบิกตากว้าง บางคนตื่นเต้น บางคนเริ่มเครียดเหม่ยซูยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉียบ“พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัวไม่มากนัก คิดให้ดีว่าจะเลือกเมนูใดที่คู่ควรกับงานเลี้ยงหลวง จากนี้แยกย้ายกันไปพัก คิดให้รอบคอบ แล้วพรุ่งนี้เช้ากลับมาทดลองกันจริง”ทันทีที่คำสั่งจบลง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เสี่ยวหนี่เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับเซี่ยหยา ทั้งสองดูอ่อนล้าแต่ยังพอมีแรงบ่นกันตามประสา“เห้อออ…เราจะทำอะไรดีล่ะเนี่ย...” เสี่ยวหนี่บ่นเบาๆ ขณะจ้องท้องฟ้า“ข้าเองก็จนปัญญา ขนาดต้มไข่ไฟยังลนมือตลอด จะให้
ตงเจี้ยนที่ประสบการณ์สูงกว่าสองคนนั้นเล็กน้อยก็รีบตามน้ำด้วยรอยยิ้มกลั้นขำไม่มิดเช่นกัน “แต่ช่างเถอะ องค์หญิงถึงกับจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์ด้วยหม้อกับตะหลิว แบบนี้ต่อไปอาจมีภาพเขียนวาดองค์หญิงคู่กับกระทะทองคำแน่นอน” เสี่ยวหนี่พูดขึ้นเพราะไม่อยากทำร้ายน้ำใจของอันหรูอันหรูหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ กอดคอเสี่ยวหนี่ทันที “ฮ่าฮ่า เจ้าเข้าใจข้าดีที่สุด ไป ไปกัน ไปที่ครัวตำหนักข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเริ่มฝึกฝีมือทันที”เสี่ยวอี้ลอบถอนหายใจเงียบๆ ขณะมองสบตาตงเจี้ยนที่ทำหน้าละเหี่ยใจนิ่ง ๆ แต่ก็ยังเดินตามทั้งสองที่กำลังกอดคอกันหัวเราะเดินนำหน้าไปที่มุมหนึ่งของตำหนักเหม่ยซู แสงตะวันยามเย็นสองกระทบบานหน้าต่างกระดาษสา บนโต๊ะไม้จันทน์เรียบสนิท เหม่ยซูกำลังเขียนตัวอักษรบรรจงสุดท้ายบนจดหมาย“ท่านวางใจเถิด…นางสบายดี ยิ้มได้ทุกวัน…เพียงแต่อาจไม่ค่อยอยู่นิ่งนัก”พู่กันในมือจรดหมึกครั้งสุดท้ายก่อนวางลงในแท่น พับจดหมายใส่ซองผนึกด้วยตราประจำตำหนัก หันไปทางคนสนิท “ส่งไปถึงโจวหลิวเยว่ เมืองโจวโดยเร็ว”เส่ยวหนี่ยืนนิ่งตะลึงงันภาพแรกที่เห็น…ไม่ใช่ภาพของตำหนักสูงศักดิ์โอ่อ่า แต่เป็นคลังของสะสมงานอดิเรกอันมหาศาลที่ดู
ตำหนักพระพันปีที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับสามรองจากตำหนักชิงหนิงกงของฮองเฮาบัดนี้พระพันปีหรือไทเฮาฟู่ฉีนั่งบนบัลลังก์ทองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าความรู้สึกภายในใจเมื่อพบหน้าชวีหยา ชวีหยาตำแหน่งกุ้ยเฟยผู้งดงามอ่อนหวานแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่สายตาที่ถอดมองผู้อื่นอ่อนโยนอบอุ่นเหมือนมารดากระนั้น อาภรณ์สีมุกขลิบลวดลายสีทองด้านหลังปักรูปหงส์สยายปีกพร้อมโบยบินแม้จะไม่ได้สะกดสายตาผู้พบเห็นแต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเจออดที่จะหันมองซ้ำไม่ได้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินราวกับวิ่งแต่ทว่าในใจอยากจะมีเวทมนตร์พาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าไทเฮาในทันที ชวีหยาไม่ลืมที่จะย่อกายลงอย่างงดงามแม้จะร้อนใจเพียงใด นั้นยิ่งทำให้ชวีหยามีกิริยาน่ามอง นางงดงามเกินกว่าจะนั่งในตำแหน่งอื่นใดคงเกิดมาเพื่อตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้นแต่เสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังนั่งแค่ตำแหน่งกุ้ยเฟย“ทรงประชวรว่าด้วยไม่อยากอาหารมาหลายวันแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะไทเฮา”ด้วยความกังวลใจที่เก็บสะสมไว้จึงกลั่นออกมาเป็นคำพูดในทันทีโดยที่ไม่ได้เกริ่นนำ“อย่าเรียกว่าอาการประชวรเลย คงแค่ไม่มีของที่ชอบ ปกติหยางหยางมักจะกินแต่ของโปรดมาตั้งแต่เด็กๆ” ไทเฮาฟู่ฉีหยิบกำไลหยกขึ้นมาพิ
ข้าวนึ่งพาตัวเองกลับมาบ้านด้วยความฉุนเฉียว ไอ้บ้า บังอาจมาไล่ให้ไปตาย มารดาแกสิต้องไปตายแม่ยัดเอ้ย หัวเสียอย่างที่สุด ที่ที่ดีที่สุดคือบ้าน ที่อบอุ่นที่สุดคือบ้าน ที่สำหรับซับน้ำตาคือบ้าน กลับมาไม่ทันไรได้กลิ่นหอมฉุยลอยมาจากห้องครัว ยังไงที่บ้านก็ยังมีของกินไว้รอมีคนที่รักรออยู่ “กลับมาแล้วค่ะแม่…แม่ พี่หงส์”เรียกหาแม่กับพี่สะใภ้แต่ไม่มีใครตอบ เดินเข้าครัวหิวจนตาลาย เปิดหม้อซึ้งกลิ่นหอมทะลุเข้าจมูกชวนน้ำลายสอ หยิบเกี้ยวนึ่งแผ่นเกี๊ยวบางเฉียบมองเห็นไส้ล้นทะลักและยังมีไอร้อนลอยวนใส่ปากเคี้ยวงับๆ ไม่ง้อน้ำจิ้ม “อื้ออร่อยจัง” หยิบยัดใส่ปากอีกสองสามชิ้นแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน“อั๊กๆๆๆๆๆๆ หะหะหายใจไม่ออก อย่าบอกนะว่าเกี๊ยวกุ้ง” ไม่ทันแล้ว แน่นหน้าอกอึดอัดจนเซถลาพยายามพยุงตัวไว้แต่อาการหายใจไม่ออกและดวงตาพร่ามัวยังเล่นงานไม่หยุด ลมหายใจติดขัดเหมือนกำลังจะขาดใจและในที่สุดข้าวนึ่งก็ไม่อาจฝืนตัวเองให้ยืนได้อีกแล้วไม่อาจทรงตัวร่างเล็กกลิ้งหลุนๆ ลงจากบันไดพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคุณสุคนธ์ แม่ของข้าวนึ่งทุกอย่างดับวูบ“ฟาดเข้าไป ฟาดอีก” เสียงดังราวกับปีศาจตวาดลั่น บอกคนรับใช้ร่างกายกำยำให้ฟาดไม
สามวันผ่านไปเสี่ยวหนี่ที่นั่งอยู่บนแท่นนอนมองรอบๆ บริเวณหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาเสี่ยวอี้นั่งโบกพัดไปมา นี่ฉันคงอ่านนิยายจีนมากไปใช่ไหม หลุดเข้ามาในซีรีส์จีนสินะตายแล้วเรื่องอะไรดังหรือเปล่านี่ ไม่มีหน้าต่างระบบคอยให้เควสหรอกหรอ “คุณหนูรองเจ้าขา อย่าเพิ่งลุกเจ้าค่ะ” น่านไงคุณหนูรอง เจ้าคะเจ้าขาพูดซะเพราะเลย เป็นคุณหนูรองสินะทำไมไม่เป็นคุณหนูสามจะได้พูดได้ว่าข้านี่แหละคุณหนูสามฮ่าาาา “บัณทิตย่อมมีมือมีตีน (ไม่เป็นไรฉันลุกเองได้) ” อย่ามาลองภูมิแหมภาษาจีนนี่คล่องเคยดูมาเยอะเสี่ยวอี้รีบเข้ามาพยุง ฮูหยินใหญ่จี้เหยากับจี้เหวินเข้ามาในห้องท่าทีหยิ่งผยองเชิดหน้าเบ้ปากชัดเจนว่าตั้งใจมาหาเรื่องต่อ เสี่ยวหนี่จ้องมองอ้าปากค้างยิ่งตอกย้ำว่านี่คือซีรีส์จีน สองสาวแต่งกายพีเรียดจีนขนาดนี้ นี่ไม่ใช่อโยธยาเป็นแน่แท้“เหอะยังไม่หายใช่ไหม” จี้เหยาเบ้ปาก“เป็นท่านเองนับถือมานาน (อีเ-ี้ยนี่ใคร) ” อดไม่ได้ยิ้มอย่างภูมิใจที่จำคำพูดแบบจอมยุทธ์ได้แม่นยำ ฮูหยินใหญ่จี้เหยาส่ายหน้าไปมากับคำพูดของเสี่ยวหนี่“เป็นอย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าเอาใจท่านพ่อจนพวกเราเข้าไม่ถึง วันนี้กลับมาทำทีลุกไม่ไหว เฮอะ” จี้เหยาฮูหยินใหญ่พ
กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล นี่มันกลิ่นอาหารชนิดไหนกัน“กงกงกวงซุนท่านได้กลิ่นอะไรไหม” ขันทีกวงซุนใช้จมูกสูดดมหากลิ่นที่ว่า หันซ้ายหันขวามองหาที่มา“ไม่ได้กลิ่นพ่ะย่ะค่ะ”“กงกงท่านคงต้องไปพบหมอหลวงแล้วหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะตามกลิ่นหอมนั่นไป”“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ นั่นอาจเป็นปีศาจที่ใช้อุบายล่อหลอกให้ฝ่าบาทไปติดกับพวกมัน” หยางลี่ส่ายหน้าไปมากับความคิดพิเรนทร์ของขันทีกวงซุน ปีศาจหรือจะมีได้อย่างไรกันในเมื่อท้องร้องเพียงนี้กลิ่นหอมนั่นได้กลิ่นแล้วยั่วน้ำลายไม่น้อย“ไม่ไปก็อยู่รอที่นี่ ข้าไปเพียงลำพัง”ด้านหลังเนินเขาที่หมู่บ้านใหญ่เร้นกายมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคหบดีที่ยิ่งใหญ่อย่างโจหลิวเยว่ ทั้งยังมีฮูหยินน้อยใหญ่อีกถึง12คน แต่มีบุตรีเพียงสองจากฮูหยินใหญ่และอนุคนโปรด “เสี่ยวหนี่ดูเจ้าสิ ทำอะไรกินกลิ่นถึงได้โชยไปจนข้าคลื่นเหียน” จี้เหยากับจี้เหวินแม่เลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาของเสี่ยวหนี่ พาตัวเองเข้ามาหยุดยืนเอามืออุดจมูกเมื่อได้กลิ่นอาหารของเสี่ยวหนี่ที่มีหน้าที่ทำเป็นประจำ “อาหารชนิดนี้เรียกว่าอะไร ทำไมกลิ่นเหม็นสิ้นดี”“แกงสมุนไพรหรือแกงแค หรือจะเรียกแกงอ่อมไม่สิแกงใส่ผักน้อยกว่า ข้าไม่ได้ทำให้พวกท่
“นายหญิงเจ้าขามีคนผู้หนึ่ง ท่าทีราวกับ ราวกับ…เอ่อ” โจวจี้เหยาพยักขมวดคิ้วจนไฝกระตุก“รีบพูดมาเอาแต่อ้ำอึ้งเจ้ายังอยากจะได้เบี้ยหวัดของเดือนนี้ไหม” โจวจี้เหวินตวาดดังๆ มารยาทยามโมโหช่างไม่ต่างจากโจวจี้เหยามารดาของนาง“จะจะเจ้าค่ะ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งองอาจหล่อเหลา อีกผู้หนึ่งเดินตามราวกับขันที” จี้เหวินยิ้มมุมปาก“จะต้องเป็นคหบดีที่ร่ำรวยแน่ แล้วเขาพูดอะไรกับเจ้าหรือต้องการอะไรกับบ้านโจวของเรา” จี้เหยาพูดขึ้นยิ้มๆ“เอ่อ เอ่อเขาบอกว่ากำลังหิวพอดี เดินตามกลิ่นอาหารที่หอมกระจายออกไปรอบๆ บริเวณ เขาถามข้าว่าพอจะให้เขาได้อิ่มท้องสักมื้อไหม ทั้งสองท่านยังมอบทองให้ข้าน้อยเพื่อมาขออนุญาตท่านเจ้าบ้าน”“ทองจริงหรือไม่เอามานี่ โง่อย่างเจ้าดูไม่ออกหรอกว่าจริงหรือปลอม ในป่าเขาเช่นนี้ใครจะมีทอง” จี้เหวินคว้าทองจากมือคนรับใช้ไปพิศดู“ทองจริงๆ ด้วยท่านแม่ ไปเชิญเขาเข้ามา เขาต้องการอะไรถึงนำเอาทองมาแลก ท่านแม่ท่านให้ข้าไปรับแขกดีไหม”“ได้เลยลูกแม่แล้วอย่าลืมท่าทีอ่อนหวานงดงามที่เจ้าฝึกฝนมาเสียล่ะ ว่าแต่เขาอยากได้อะไรเจ้าได้ยินเขาบอกว่าอย่างไร”“เอ่อ เอ่อ…ข้าน้อยได้ยินเขาพูดถึงกลิ่นอาหารที่คุณหนูรองหนี่ฮวาท
ตงเจี้ยนที่ประสบการณ์สูงกว่าสองคนนั้นเล็กน้อยก็รีบตามน้ำด้วยรอยยิ้มกลั้นขำไม่มิดเช่นกัน “แต่ช่างเถอะ องค์หญิงถึงกับจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์ด้วยหม้อกับตะหลิว แบบนี้ต่อไปอาจมีภาพเขียนวาดองค์หญิงคู่กับกระทะทองคำแน่นอน” เสี่ยวหนี่พูดขึ้นเพราะไม่อยากทำร้ายน้ำใจของอันหรูอันหรูหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ กอดคอเสี่ยวหนี่ทันที “ฮ่าฮ่า เจ้าเข้าใจข้าดีที่สุด ไป ไปกัน ไปที่ครัวตำหนักข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเริ่มฝึกฝีมือทันที”เสี่ยวอี้ลอบถอนหายใจเงียบๆ ขณะมองสบตาตงเจี้ยนที่ทำหน้าละเหี่ยใจนิ่ง ๆ แต่ก็ยังเดินตามทั้งสองที่กำลังกอดคอกันหัวเราะเดินนำหน้าไปที่มุมหนึ่งของตำหนักเหม่ยซู แสงตะวันยามเย็นสองกระทบบานหน้าต่างกระดาษสา บนโต๊ะไม้จันทน์เรียบสนิท เหม่ยซูกำลังเขียนตัวอักษรบรรจงสุดท้ายบนจดหมาย“ท่านวางใจเถิด…นางสบายดี ยิ้มได้ทุกวัน…เพียงแต่อาจไม่ค่อยอยู่นิ่งนัก”พู่กันในมือจรดหมึกครั้งสุดท้ายก่อนวางลงในแท่น พับจดหมายใส่ซองผนึกด้วยตราประจำตำหนัก หันไปทางคนสนิท “ส่งไปถึงโจวหลิวเยว่ เมืองโจวโดยเร็ว”เส่ยวหนี่ยืนนิ่งตะลึงงันภาพแรกที่เห็น…ไม่ใช่ภาพของตำหนักสูงศักดิ์โอ่อ่า แต่เป็นคลังของสะสมงานอดิเรกอันมหาศาลที่ดู
เสียงของหัวหน้าแม่ครัวเหม่ยซูดังกังวานก้องทั่วเรือนห้องเครื่องขณะยืนประสานมือไว้ด้านหน้า แผ่นหลังเหยียดตรง ใบหน้าสงบนิ่ง แต่แววตาเต็มไปด้วยความจริงจัง“ต่อไปนี้ ให้พวกเจ้าทุกคนคิดเมนูที่เหมาะกับการต้อนรับฤดูเหมันต์ที่ใกล้เข้ามา วังหลวงจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ทั่วแคว้น เชิญทั้งขุนนางและทูตจากแดนไกลเข้าร่วม อาหารจานหลักในงานเลี้ยงจะต้องเลือกจากฝีมือของพวกเจ้าใครได้รับเลือกในครั้งนี้จะได้รับการเลื่อนขั้นยศเป็น ว่าที่นางในห้องเครื่อง”เสียงฮือฮาเบาๆ ดังขึ้นทั่วห้องครัว หญิงสาวแต่ละคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ต่างเบิกตากว้าง บางคนตื่นเต้น บางคนเริ่มเครียดเหม่ยซูยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉียบ“พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัวไม่มากนัก คิดให้ดีว่าจะเลือกเมนูใดที่คู่ควรกับงานเลี้ยงหลวง จากนี้แยกย้ายกันไปพัก คิดให้รอบคอบ แล้วพรุ่งนี้เช้ากลับมาทดลองกันจริง”ทันทีที่คำสั่งจบลง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เสี่ยวหนี่เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับเซี่ยหยา ทั้งสองดูอ่อนล้าแต่ยังพอมีแรงบ่นกันตามประสา“เห้อออ…เราจะทำอะไรดีล่ะเนี่ย...” เสี่ยวหนี่บ่นเบาๆ ขณะจ้องท้องฟ้า“ข้าเองก็จนปัญญา ขนาดต้มไข่ไฟยังลนมือตลอด จะให้
กวงซุนกงกงเพิ่งถวายรายงานจบแต่ไม่ทันจะได้กล่าวต่อ เสียงประตูเปิดออกอย่างไร้มารยาทก็ดังขึ้นมาทันที“เฮ้อ… เดี๋ยวนี้เปลี่ยนรสนิยมมาชอบนางในห้องเครื่องแล้วหรือพี่ใหญ่ ไม่สิฝ่าบาท”เสียงที่คุ้นเคยอย่างยียวนลอยเข้ามา พร้อมร่างสูงในชุดประจำตำแหน่งขององค์ชายรองอวี่หรงที่เดินเข้ามาราวกับที่นี่เป็นตำหนักของตนเอง“แค่นี้หรือเรื่องที่ทำให้อวี่หรงมาถึงนี่” ชินหวังอ๋องยิ้มมองสำรวจว่าหยางลี่แอบเอาใครมาซุกไว้ในตำหนักหรือไม่“แล้วเหล่าสนมที่เอามาประดับบัลลังก์ไว้ล่ะ… ทิ้งให้ขึ้นราอยู่หรือไง พวกนางหมดค่าแล้วหรือไร”หยางลี่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษราชการ เลิกคิ้วมองน้องชายอย่างเคยชิน“จนป่านนี้21ปียังไม่เลิกพูดมากหรือไง” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเอือมระอา“จะบ้าหรือข้าไม่ได้พูดได้ตั้งแต่อายุหนึ่งเดือนเสียเมื่อไร่”“อ่อเช่นนั้นจึงหาโอกาสพูดทั้งเรื่องที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ขอแค่ได้พูดใช่ไหม”“ข้าก็แค่ห่วงพี่ใหญ่เท่านั้นเอง เห็นยุ่งทั้งวันก็ยังต้องมาให้ความสำคัญกับนางในฝึกหัดในห้องเครื่องอีก...คนในวังเขาลือกันว่า ท่านเรียกตัวคุณหนูโจวจากเมืองโจวมาฝึกหัดเป็นนางในห้องเครื่องมาด้วยตนเองกับมือ” อวี่หรงแ
ยามค่ำคืน เรือนพักหญิงฝึกหัดในห้องเครื่องหลวงเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นบนพื้นไม้ ก่อนที่ประตูจะถูกผลักออกด้วยแรงอารมณ์ของใครบางคน"เจ้าแกล้งข้าใช่ไหม! เสี่ยวหนี่ เจ้าน่ะจงใจแน่ๆ!"เสียงแหลมของ จี้เหวิน ดังลั่นทันทีที่ก้าวพรวดเข้ามาในห้อง เสี่ยวหนี่ที่กำลังนั่งแกะถั่วอยู่เงยหน้ามองอย่างสงบ... และชัดเจนว่ากำลังเบื่อได้เลยตอนนี้กำลังพร้อมบวก ต้องพูดว่าอย่างไรนะ"เจ้าจะตะโกนให้หมาในครัวตกใจจนท้องเสียเลยหรือไง? ถึงเจ้าไร้เล่ห์เหลี่ยมแต่ควรมีขอบเขต (มึงโง่ให้น้อยๆลงหน่อยเถอะ) "เสี่ยวหนี่ย่นคิ้วถามเสียงเรียบ แต่คำพูดแทงใจดำอีกฝ่ายไปเต็ม ๆ"ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ! ข้าวต้มของข้า… ข้าวต้มนั่น! ไม่มีใครชิมเลยด้วยซ้ำ! ไม่มีเลยสักนิด! เจ้าแกล้งข้าใช่ไหม เจ้าต้องทำอะไรกับมันแน่ ๆ นางจิ้งจอกเจ้าตั้งใจทำอะไร"จี้เหวินปรี่เข้ามา น้ำเสียงสั่นด้วยความโมโหปนเสียหน้าจากเหตุการณ์เมื่อกลางวัน เสี่ยวหนี่ถอนหายใจเสียงดังแล้วยืดแขนบิดขี้เกียจ“โอหัง! แน่จริงก็เข้ามา (มึงจะทำไมกู) ”“คุณหนูทั้งสองเจ้าขาเสียงดังไปถึงห้องบรรทมฝ่าบาทแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้พูดขึ้นเบาๆ เดินเข้ามาขวางทั้งสองคนไว้“น้องชั่ว เจ้าจงใจกลั่นแก
ส่วนอาหารของจี้เหวิน...นางแทบไม่ต้องเดา แม้รสจะดีตามที่เคยลิ้มในรอบทดลองก่อนหน้านี้ แต่จานข้าวต้มกลางสำรับหรูหรานั้นดูจืดชืดนักในเวลาที่ไม่มีใครอยากกินของอ่อน ใช้งานผิดเวลา...ก็พังทั้งกระดาน ไทเฮาไม่แม้แต่ชายตาแล อดแปลกใจไม่ได้ว่าจี้เหวินนางเหตุใดจึงทำได้ดีเพียงเท่านี้ทั้งที่ก่อนหน้าฮ่องเต้เป็นคนเรียกตัวนางเข้ามาในวังเพราะติดใจรสมือของจี้เหวินเมื่อถึงเรือนของตนเอง หยางชินอวี้ที่ยืนรออยู่ใต้ชายคาเงียบๆ ก็รีบเดินเข้ามา“ท่านน้า ไทเฮาทรงตรัสชมใช่ไหมเจ้าคะ ข้าทำได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ” เสียงเจือด้วยความตื่นเต้นและดีใจจ้าวหลานเจียวหยุดฝีเท้ากะทันหัน ดวงตาคมหรี่ลง น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยเหมือนที่เคยใช้กับหลานสาวเสมอ“เจ้าเพียงได้รับคำชม ไม่ใช่เพราะฝีมือของเจ้าเหนือใคร” น้ำเสียงของนางเยียบเย็น เรียบแต่เฉียบคมหยางชินอวี้ชะงัก รอยยิ้มจางหายจากใบหน้าที่เปื้อนยิ้มหุบลงในทันที“หากข้าไม่จัดวางจานเจ้าไว้ข้างหน้าไทเฮา ป่านนี้คงไม่มีใครแม้แต่จะจดจำชื่อเมนูของเจ้าได้” จ้าวหลานเจียวเอ่ยพลางเดินเข้าด้านในอย่างไม่รีรอ “จำไว้เสียว่า ต่อให้ข้ามือดีให้เจ้าแค่ไหน หากเจ้าทำไม่ได้จริง วันหน้าก็จะไม่มีใครช่วยเ
ในตำหนักเย็นสงบของพระพันปี กลิ่นกำยานสมุนไพรจางๆ ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ตัดกับเสียงพัดใบไม้ไผ่กระทบกันอย่างแผ่วเบานอกหน้าต่าง "ถวายสำรับจากนางในฝึกหัดของวันนี้เพคะส่วนหนึ่งแบ่งไปที่ตำหนักฝ่าบาทอีกส่วนให้ส่งมาถวายไทเฮาทอดพระเนตรและทรงลองชิมด้วยพระองค์เอง"จ้าวหลานเจียวเบี่ยงตัวเล็กน้อย แล้วจัดวางจานอย่างที่ตั้งใจไว้แตั้งแต่แรกโดยการวางจานจากหยางชินอวี้ลงใกล้เบื้องพระพักตร์ที่สุดของเสี่ยวหนี่และของคนอื่นๆ ว่างห่างออกไปอาหารที่แวดล้อมของหยางชินอวี้ล้วนจืดชืดและไม่น่าสนใจเท่าที่ควรทำให้อาหารจานของหยางชินอวี้โดดเด่นที่สุด“จานนี้ …เป็นเมนูที่หลานสาวหม่อมฉันคิดขึ้นเอง มีชื่อว่า ‘เนื้อวัวผัดเกสรห้าฤดู’ เพคะ” น้ำเสียอ่อนหวานน่าฟังไทเฮาหรี่พระเนตร พระวรกายซูบซีดของพระองค์เอนพิงพนักเบาๆ ก่อนจะทรงรับตะเกียบจากสาวใช้่นางหนึ่ง แล้วคีบชิ้นเนื้อวัวขึ้นมากลิ่นหอมของเครื่องเทศและซอสเข้มข้นกระทบปลายจมูก รสจัดจ้านผสานกลิ่นดอกไม้แห้งที่ผัดจนแตกมัน ทำให้ลิ้นของไทเฮาที่จืดชืดกับรสอาหารมานานถึงกับตื่นขึ้นในบัดดลพระเนตรของไทเฮาเบิกขึ้นน้อยๆ ทรงเคี้ยวอย่างช้าๆ เนื้อหมักนั่นก็มิได้เหนียวอย่างที่คิดไว้อีกทั้ยังน
จากนั้นหันกลับมาเตรียมไส้ต่อ มือหยิบหมูบดในชามใหญ่ มาคลุกกับเห็ดหอมสับหยาบและเกาลัดต้มสุกที่นางบี้ไว้หยาบ ๆ ด้วยครกเล็ก “หมูบดให้พลังงานดี เห็ดหอมช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ส่วนเกาลัด...ช่วยบำรุงไต รสสัมผัสก็หนึบ ๆ หวานมันกำลังดี”เหมาะกับพวกคนดื้อที่ชอบอดอาหารตอนทำงานอย่างเสียวหนี่สินะ เสี่ยวหนี่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมามือของนางทำงานต่อเนื่องอย่างชำนาญ ไส้หมูถูกคลุกให้เข้ากัน จัดลงถ้วยอีกใบ เรียงเคียงกับสองไส้ก่อนหน้าต่อมาคือเนื้อปลาขาวนึ่งที่ยังอุ่นอยู่ในผ้าขาวบาง นางค่อย ๆ แกะเอาเฉพาะเนื้อ บดให้เนียน แล้วโรยสาหร่ายแห้งป่นที่เตรียมไว้ใส่ลงไป พร้อมพริกไทยป่นเล็กน้อย“ปลาขาวเหมาะกับคนที่ฟื้นไข้ หรือคนที่อ่อนแรง สาหร่ายทะเลก็ช่วยล้างพิษร้อนภายใน...รสอ่อนแต่หอมแบบเย็น ๆ”อันหรูพยักหน้าเบา ๆ แล้วเงียบไป ราวกับเริ่มครุ่นคิดและจดจำในสิ่งที่หนี่อวาบอกไว้เสี่ยวหนี่หันไปจัดการเต้าหู้ขาวบดกับผักโขมลวกที่นางบีบน้ำจนแห้งสนิทไว้เรียบร้อย คลุกกับงาขาวคั่วส่งกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกกลิ่นน้ำมันงาที่คลุกเคล้าเพิ่มความหอมยิ่งยวนใจ“ไส้นี้เย็นที่สุด เต้าหู้บำรุงเลือด ผักโขมก็เพิ่มธาตุเหล็ก งาขาวช่วยให้ลำไส้ท
เมื่อมาถึงโต๊ะที่จี้เหวินนั่งอยู่ องค์หญิงทอดพระเนตรเห็นเพียงนางกำลังคนหม้อข้าวต้มเบาๆ อยู่เหนือเตาไฟอ่อนๆ กลิ่นเป๋าฮื้อตุ๋นโชยจางๆ ลอยมาแต่ไกล ทว่าดูธรรมดาเกินไป“เคี่ยวข้าวต้ม หรือ” อันหรูกระซิบกับตัวเอง สีหน้าเริ่มหมดความสนใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะละสายตาหันไปอีกด้านหนึ่งข้างๆ เตาอีกฟาก เสี่ยวหนี่กำลังจัดวางวัตถุดิบอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉง โต๊ะของนางไม่เหมือนใครเพราะเต็มไปด้วยถาดไม้ขนาดเล็กเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละถาดแยกวัตถุดิบออกจากกันชัดเจน ดูสะอาดตาและน่าติดตามยิ่งกว่าหม้อข้าวต้ม ที่เห็นเมื่อครู่อันหรูเดินเข้าไปใกล้ เสี่ยวหนี่ที่นางพุงเป้าหมายไว้ต่อมา เสี่ยวหนี่แค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ อย่างพอเหมาะ จากนั้นก็กลับไปก้มหน้าทำงานต่อ ไม่ได้เอ่ยทักใดๆ อีกองค์หญิงสิบสี่อันหรูกวาดสายตาลงบนโต๊ะตรงหน้า แววตาเริ่มเปล่งประกายขึ้น รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นอะไรแบบนี้องค์หญิงสิบสี่อันหรูสาวพระเท้าเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว ดวงเนตรจับจ้องลงไปยังวัตถุดิบที่เรียงรายตรงหน้า สนใจจริงจังถาดแรก มีเนื้อกุ้งบดละเอียดวางเคียงกับหัวไชเท้า วุ้นเส้นแห้งถาดที่สอง เป็นไก่บดละเอียดวางเคีย
"ฝานขิงอ่อนให้บางๆ หน่อย" เสี่ยวหนี่ตอบเรียบๆ ก่อนส่งขิงสดหัวเล็กให้ จี้เหวินยิ้มรับ รีบหยิบมีดขึ้นมาฝานอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าท่าทีจะดูตั้งใจ แต่เสี่ยวหนี่ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าอีกฝ่ายเพียงอยากทำให้รอบข้างเห็นว่าเป็นคนทำอาหาร หาได้ลงมือจริงจังนักเสี่ยวหนี่เดินกลับไปตั้งหม้อเคลือบใบใหญ่บนเตาไฟอ่อน เทน้ำซุปกระดูกไก่ที่เคี่ยวจนใสแจ๋วลงไปให้ท่วม แล้วเทข้าวที่แช่น้ำไว้ตามลงมา ใช้ทัพพีไม้คนเบาๆ เพื่อไม่ให้เม็ดข้าวติดก้นหม้อไออุ่นค่อยๆ ลอยขึ้น คลุ้งไปด้วยกลิ่นหวานละมุนของน้ำซุป เสี่ยวหนี่ลดไฟลงให้เบาอีกระดับ ก่อนจะหยิบผ้าฝ้ายสะอาดชุบน้ำมาปิดปากหม้อไว้ ช่วยให้ไอน้ำหมุนเวียนภายใน ทำให้ข้าวสุกนุ่มในเนื้อซุปโดยไม่ต้องเปิดฝาบ่อยๆ"ระวังอย่าให้เดือดพล่านเชียวนะ ปล่อยให้เคี่ยวไปเรื่อยๆ ข้าวจะเนียนละลายในน้ำได้เอง" เสี่ยวหนี่หันมากำชับพลางยื่นทัพพีให้จี้เหวิน"เจ้าก็คนเรื่อยๆ รักษาไฟให้ดี ข้าวต้มนี้ต้องอาศัยเวลา ไม่ใช่เร่งได้ด้วยความร้อนแรง" นางพูดพลางปรายตาไปทางหม้อใหญ่” เจ้าให้ข้าทำอะไรที่มันยากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ “” เจ้าคิดว่าการต้มข้าวมันง่ายหรือไร เจ้าเองที่เคยแต่กินมาตลอด ได้เริ่มด้วยการ