ระยะทางจากค่ายทางเหนือกลับเมืองหลวงมิใช่ของใกล้ สองฟากถนนยังเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง มีหมู่บ้านบ้าง ทุ่งนาบ้าง ล้อรถยังคงเคลื่อนตัวไปบนเส้นทางขรุขระเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงนั้นสามารถกลบเสียงสนทนาคล้ายฟ้าถล่มของจ้าวหมิงได้เป็นอย่างดี กระทั่งเคลื่อนที่ผ่านหุบเขา สองข้างเป็นป่า เบื้องหน้ายังมีหินผาที่ถูกทางการใช้คนงานขุดกระแทกแหวกออกเพื่อเปิดเป็นเส้นทางสัญจรอันสลับซับซ้อนตามยุทธศาสตร์รักษาเมือง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากนอกรถม้าเป็นเสียงครืนๆ คล้ายหินก้อนใหญ่หลายก้อนกำลังกลิ้งลงจากเขาแล้วพุ่งตรงมาใกล้รถม้าด้วยความเร็วเสียงปึงดังขึ้นที่ข้างตัวรถ เป็นเสียงหินก้อนใหญ่หล่นใส่จนรถม้าที่โคลงเคลงอยู่แล้วยิ่งส่ายไหวรุนแรง สารถีร้องลั่น ม้าร้องโหยหวน คาดว่าคงยากจะรักษาชีวิต หยุนผิงสบถในใจว่าแย่แล้ว ทว่าจ้าวหมิงกลับมีสติมั่น เขาเอ่ยเสียงต่ำ“มิใช่ภัยธรรมชาติแน่นอน เราคงถูกลอบโจมตีแล้วล่ะ”ดวงหน้างามฉายแววตระหนก “หมายความว่าอย่างไร?”ใบหน้าจ้าวหมิงเคร่งขรึม ไร้วี่แววล้อเล่น เขาเอ่ยเสียงเข้ม“ไม่แน่ว่าศัตรูต้องการซ้อนแผนตัวเอง รอจังหวะที่ข้าผิดใจกับรัชทายาท ส่งคนมาลอบกัดเพื่อโยนความผิดให้พี่ใหญ่ ห
นั่นล่ะที่ทำให้บุรุษเจ้าสำราญรู้สึกอึดอัดใจจนเคร่งเครียดมีอย่างที่ใด? ให้รับมาอยู่ข้างกาย แต่ห้ามแตะต้อง!องค์ชายสามผู้มีชายาเต็มวังให้รู้สึกขัดเคืองยิ่งนัก จึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วลุกเดินจากไปด้วยสีหน้าขุ่นมัว ไม่สบอารมณ์มาก หากผู้อื่นเห็นย่อมเข้าใจว่าพวกเขาสองพี่น้องทะเลาะกันจนผิดใจขั้นรุนแรงด้วยข้อพิพาทระดับแคว้นหากแต่ความจริงก็คือ เสือตัวผู้กำลังหงุดหงิดที่ไม่อาจคร่อมทับเสือตัวเมีย เพื่อสืบพันธุ์ก็เท่านั้นนอกเรือนพักส่วนตัวของบุรุษสูงศักดิ์ หยุนผิงในชุดสีชมพูอ่อนหวาน ยืนรออยู่แล้วด้วยกิริยาอ่อนน้อม พร้อมเล่นงิ้วเต็มที่ดวงหน้าของนางประทินโฉมแค่พอเหมาะ ทว่ากลับงดงามเหลือล้น เสื้อผ้ายังโปร่งบางพลิ้วไหว ยั่วยวนใจอย่างมากเมื่อจ้าวหมิงเดินออกมาด้วยท่าทางราวฟ้ากำลังถล่ม หยุนผิงก็รีบเข้าไปหาด้วยท่าทางออดอ้อน“องค์ชายสามออกมาแล้ว ผิงเอ๋อร์รอนานเหลือเกิน”น้ำเสียงหวานล้ำเช่นนั้น ยังมีสองแก้มนวลแดงปลั่ง น้ำตายังเอ่อคลออย่างน่าสงสาร พาให้กล้ามเนื้อแกร่งกระตุกเกร็งไปหมด บุรุษหนุ่มถึงกับต้องลอบขบกรามแน่น ตวัดวงแขนรัดเอวคอดกิ่ว แล้วพาเดินไปด้วยท่าทางดุดัน ปากบ่นเสียงดังว่า“เจ้าร
ลานฝึกแห่งเดิม รอบทิศมีแผงอาวุธเช่นเดิมทว่าซานซานกลับมีความคิดเพิ่มเติมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ร่างระหงในชุดทหารสีเทายืนตระหง่านตรงแผงอาวุธนิ่งๆ เรือนผมดำขลับถูกรวบตึงทรงหางม้าปล่อยส่วนปลายปลิวสบายไปตามสายลมเผยดวงตาครุ่นคิดบนใบหน้าเรียวเล็กงดงาม“ครูฝึกซาน”เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นที่เบื้องหลัง เป็นกลุ่มทหารใหม่วิ่งมาอย่างกระตือรือร้นพร้อมฝึกเต็มที่เมื่อซานซานหมุนกายยืนมองตรงไป คนทั้งหมดก็มาถึงพอดี พวกเขารีบตั้งแถวพรึบพึ่บพร้อมเพรียงซานซานประเมินทหารใหม่ทีละคนเงียบงันไม่เอ่ยวาจา เนิ่นนานผ่านพ้นจึงพยักหน้าพึงพอใจการฝึกหนักประจำวันเริ่มต้นอีกครั้ง หลังจากให้วิ่งขึ้นลงเชิงเขาเพื่อปรับพละกำลังในร่างกายให้คงที่ ซานซานก็สั่งให้ทหารใหม่ทุกคนเลือกอาวุธที่ชอบคนละชิ้น ผสานกระบวนท่าการต่อสู้กับอาวุธที่ตนเลือก จากนั้นจึงลอบพิจารณาทุกคนในใจเวลาของวันนี้ผ่านไปอย่างเรียบง่ายไม่น่าเบื่อ คล้อยบ่ายจึงให้ทุกคนกลับไปประจำการตามหน้าที่ของตนใครอยู่โรงครัวก็ไปแบกน้ำเตรียมอาหาร ใครอยู่โรงซักล้างก็ไปจัดการงานผ้าที่คั่งค้าง ใครอยู่คอกม้าก็ไปตามนั้นส่วนซานซานก็กลับเข้าห้องพักของตนเองบนริมระเบียงเรือนพักส่วนพระ
หากบอกว่าคุกของวังหลวงมีสภาพย่ำแย่แล้ว คุกในค่ายทหารยิ่งมีสภาพไม่ต่างจากหลุมศพเน่าๆ สักเท่าใด รอบกายคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสาบสางน่าสะอิดสะเอียนเสียยิ่งกว่าอะไรอู๋จวี้ยืนกลอกตางุนงงครู่ใหญ่ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดที่นี่จึงมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าค่ายอื่น รัชทายาททรงสั่งขังทหารที่ก่อเหตุวุ่นวายเพียงข้ามคืนเท่านั้นก็สั่งปล่อยคนทั้งหมดแล้วอันที่จริงควรสั่งขังสักเดือนสองเดือนถึงจะถูก!แม้ใจนึกกังขา ทว่าปากกลับเอ่ยกับหัวหน้าผู้คุมเสียงเข้ม“รัชทายาททรงสั่งให้ปล่อยทุกคนวันนี้เลย”“ขอรับ”หัวหน้าผู้คุมประสานหมัดตอบรับ หันหลังก้าวฉับๆ ไปเปิดกรงเหล็กทีละกรง ไม่นาน...ทั้งทหารใหม่และทหารเก่าก็พากันวิ่งกรูออกมาราวสุนัขป่าเร่งหากิน พวกเขาตรงเข้ามาทางอู๋จวี้ผู้ปลดปล่อย เพื่อล้อมหน้าล้อมหลังขอบคุณพัลวันองครักษ์หนุ่มถูกสายตาพร่างพราวราวกับดีใจมาก ประหนึ่งเห็นเขาเป็นเทพเซียนมาโปรดสัตว์เช่นนั้น ก็ลืมความสงสัยแต่เดิมไป“ไม่เป็นไรหรอก ข้าทำตามหน้าที่เท่านั้น ต่อไปพวกเจ้าก็อย่าทำผิดก็แล้วกัน” วาจาเคร่งขรึม วางท่าผู้ใหญ่ปรามผู้น้อย อู๋จวี้ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังน่าเกรงขามยิ่งนัก เขาเอ่ยกับทหารใหม่อีกหนึ่งป
ราตรียังคงมืดมิด กลืนกินไปทั่วดินแดนห้องหนึ่งทางอีกฝากของเรือนยังคงมีแสงเทียนสว่างไสว ทว่าบุคคลภายในห้องกลับมีแต่ความมืดมนในใจเรือนร่างสง่างามของจ้าวหมิงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงหลังใหญ่ สลบไสลมิได้สติ โดยมีหยุนผิงคอยดูแลเช็ดเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อย่างทุลักทุเล อะไรที่ไม่ควรเห็นก็เห็นจนหมด หน้ามืดตาลายไม่หยุด“เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรไม่อาจทราบ “ฝ่ามือของข้ามีวิชามารต้านศัตรูสังหารผู้คน แต่กลับต้องมาใช้เพื่อเช็ดตัวบุรุษดูแลอย่างทะนุถนอม ช่างเสียเกียรติสิ้นดี”หยุนผิงบ่นอุบอิบด้วยสีหน้าเศร้าสลดแววตามืดมนต่อไปเนิ่นนานให้หลัง จ้าวหมิงก็ค่อยๆ สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อเรียวตาคมปรับแสงสลัวรอบตัวได้แล้วจึงมองเห็นสตรียั่วยวนตรงหน้า ร่างสง่าจึงสะดุ้งผุดขึ้นนั่งอย่างตกใจ“เจ้า!” แม้ไม่มีวรยุทธ์เลิศล้ำอันใด แต่จ้าวหมิงกลับเป็นคนที่มีสติฉับไว “เจ้าคือหยุนผิง”เจ้าของนามพลันชะงักมือที่ถือผ้าหมาดเพื่อเช็ดหน้าเขา หยุนผิงมององค์ชายรูปงามอย่างตกใจเช่นกัน “ท่านรู้จักข้าหรือ?”แววตาหญิงสาวคล้ายมีประกายสีแดงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็นแววตาที่เปล่งประกายความอำมหิตบางเบาครานี้จ้าวห
เส้นเสียงขาดหายไป ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้งนึกถึงญาติสนิทผู้ผูกพันมานานปีอย่างเคร่งเครียด ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ“กระทั่งคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้ที่ถูกวางตัวว่าต้องเป็นฮองเฮา อายุครบสิบห้าปีได้เวลาแต่งเข้าวังมา ไม่กี่ปีให้หลัง เสด็จอาก็เริ่มห่างจากข้าไป แต่ก็ยังมีความรู้สึกอันดีต่อกัน”ยามเล่าเรื่องราวด้วยเส้นเสียงเรียบเรื่อยจ้าวเหว่ยยังวิเคราะห์ไปด้วย “เจ็ดปีที่แล้ว ยามนั้นข้าเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เสด็จอาคล้ายกับผิดใจกับเสด็จพ่อครั้งหนึ่ง ไม่นานก็เห็นพวกเขากลับมาเป็นปกติดังเดิม ทว่าไม่นานข้าก็ถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเกือบตาย ต้องเร้นกายอยู่ที่ผิงเหยียน”ยิ่งพูดแววตาคมยิ่งมืดดำ“ที่แท้ข้าก็ถูกหลอกให้ไขว้เขว กำจัดศัตรูรายทาง โดยเว้นช่องว่างเพียงเขามาโดยตลอด”ซานซานเห็นสามีเคร่งเครียด จึงเอื้อมปลายนิ้วลูบไล้สัมผัสเบาๆ ตรงแผงอกอุ่นหมายปลอบใจ “เดิมทีข้าเพียงต้องการสร้างฐานะอีกสักหน่อยแล้วคิดจะหวนสู่ยุทธภพ แต่กลับเจอท่านที่เป็นเหย่หนิวตัวจริง ข้าจึงล้มเลิกเส้นทางสายเดิมที่เป็นปรปักษ์กับราชสำนัก ทำตัวเป็นภรรยาที่ดี ไต่เต้าฐานะตามที่สามีต้องการ แล้วก็คอยระวังหลังให้ท่านด้วย