ท่ามกลางเหล่าสตรีที่ลานบ้าน จ้าวเหว่ยเห็นว่าฉากงิ้วตรงหน้าช่างไร้สาระ จึงก้มลงหยิบปลาแล้วเดินตัดผ่านลานบ้านเข้าเรือนด้วยท่าทางเรียบเฉย ใบหน้านิ่งสงบ ทุกกิริยาล้วนไร้อารมณ์ คล้ายว่าทุกคนไม่มีตัวตนและไม่มีค่าพอให้ใส่ใจ
ชิงลี่ลอบมองพี่สาวหลายครา นัยน์ตาคล้ายสับสนระคนไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง นางถามเสียงเบาอย่างเอื้ออาทร
“พี่หลินเป็นอะไรหรือ? ไม่สบายหรือเปล่า? พี่ดูผิดปกติไปนะ ข้ารู้สึกเป็นห่วง...”
น้องสาวช่างแสดงออกอย่างมีน้ำใจได้อย่างล้นเหลือ คำพูดคำจาเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเหลือเฟือ ทั้งยังมีเมตตาปรานีต่อพี่สาวเต็มที่
แต่ซานซานกลับตอบเสียงเย็น “มารยาสาไถยยิ่ง!”
“...!?”
อีกครั้งที่ชิงลี่ต้องผงะ
ซานซานหรี่ตากระซิบตอกหน้าน้องสาวอีกว่า “เสแสร้งให้น้อยลงหน่อยเถิด ไม่เหนื่อยหรือไร ข้าแค่มองยังเหนื่อยแทน”
“พะ...พี่หลิน!” ชิงลี่รู้สึกเหมือนเจอผี นางถึงกับพูดจาติดขัดไม่ชัดถ้อยชัดคำ “พี่เป็นอะไรไป? ไยพูดจาเยี่ยงนี้ เมื่อก่อนพี่ไม่เคย...”
ซานซานเลิกคิ้วกระตุกมุมปากยกยิ้มยียวนพลางปรายหางตามองไปทางพวกฮูหยินที่กำลังส่งเสียงคุยกัน เห็นไม่มีใครสนใจพวกนางสองพี่น้องทั้งนั้น จึงลอบเอื้อมมือไปหยิกชิงลี่หนึ่งที
“โอ๊ย! พี่หลินทำอะไร?”
“หยิกเจ้าอย่างไรเล่า นังโง่!”
ซานซานตอบเสียงลอดไรฟันแล้วหยิกแรงๆ อีกหนึ่งที ครานี้ชิงลี่กรีดร้องสุดเสียง เรียกร้องความสนใจจากทุกคน
“กรี๊ด!”
และมันก็ได้ผล ทั้งเจียหรู๋ อนุจูและฮูหยินทุกคนพากันหันหน้ามาทางสองพี่น้องทันที
ชิงลี่รีบเปิดแขนเสื้อให้เจียหรู๋ดู พร้อมร้องไห้โวยวายว่า
“แม่ใหญ่ ท่านแม่ พี่หลินหยิกข้าเจ้าค่ะ”
ท่าทางของนางน่าสงสารมาก ที่แขนมีรอยแดงช้ำ ใบหน้าก็แดงก่ำ น้ำตาไหลนอง
ทำเอาเจียหรู๋ อนุจูและบรรดาฮูหยินต่างพากันมองต้นเหตุอย่างพร้อมเพรียง สายตาตำหนิรุนแรง
ซานซานจึงทำตัวเป็นชิงหลินคนเก่า ลำตัวสั่นเทา กัดกลีบปากแน่น ก่อนเผยอออกแล้วเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า
“ท่านแม่...ข้าไหนเลยจักกล้าทำเช่นนั้น เพียงแต่เมื่อครู่ข้าเห็นน้องลี่มีริ้วรอยแดงช้ำ ข้าตกใจมากก็เลยดึงแขนนางมาดู ตรงไหล่ก็มี ที่หน้าอกก็มี รอยแดงเป็นจ้ำๆ แปลกมาก แปลกที่สุด”
สีหน้าคนพูดตื่นตระหนกลนลานมาก ทุกคนพร้อมเชื่อ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาชิงหลินทั้งอ่อนแอและโง่เขลา โกหกไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำร้ายผู้อื่น แม้แต่มดนางยังไม่เคยตีกระมัง
ทุกคนจึงมองชิงลี่อย่างสงสัยว่าเป็นอันใดถึงมีริ้วรอย
อนุจูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงรีบเปิดเสื้อชิงลี่อย่างลืมตัวหมายดูรอยที่ว่านั่นอย่างเป็นห่วง
ชิงลี่ได้แต่เบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง
กระทั่งสาบเสื้อถูกเปิดออก เกือบเห็นริ้วรอยฝากรักจากจางฉวนเมื่อวันก่อน จึงได้สติกลับคืน รีบแก้ตัวว่า
“ท่านแม่ ข้ามิได้เป็นไรเจ้าค่ะ”
“หืม...อะไรกัน?” อนุจูมองชิงลี่อย่างงุนงง “เจ้าเจ็บตรงไหน มีรอยแดงช้ำอะไร เผื่อว่าเจ็บป่วยจะได้แก้ไขทัน”
“ไม่มีเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าแค่ล้อพี่หลินเล่นเท่านั้น”
ซานซานรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “เจ้าล้อพี่เล่นเยี่ยงนี้มิได้นะ ท่านแม่รองรีบดูแลน้องลี่เถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงน้องเหลือเกิน เผื่อนางเป็นโรคร้าย จะได้ไม่แพร่กระจาย”
โดยที่ไม่มีใครสังเกต เจียหรู๋และฮูหยินทั้งสี่พลันตื่นตะลึงถลึงตามองชิงลี่ เผยสีหน้ารังเกียจทันใดเพราะกลัวจะติดโรคร้าย
ส่วนอนุจูยิ่งเร่งมือพยายามเปิดเสื้อของชิงลี่เพื่อมองหารอยแดงอย่างเป็นกังวล
“อื้อ...ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มีๆ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว”
ชิงลี่รีบดึงเสื้อปิดอย่างรีบร้อนก่อนวิ่งหนีทันที ท่าทางตระหนกคล้ายเจอผี ทำเอาทุกคนได้แต่มองตามอย่างงุนงง บางคนลอบถอยห่างจากอนุจูอย่างระแวง มองด้วยสายตาเดียดฉันท์ สงสัยว่าอาจมีเชื้อโรคลอยวนอยู่ในอากาศ
อนุจูหันมามองบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววโกรธกรุ่นมากนัก ไร้ท่าทางสงบเสงี่ยมเช่นคราแรก ก่อนจะสะบัดชายผ้าวิ่งตามบุตรสาวของตนไป
หลังจากถังไห่เฉิงเสร็จ ‘ธุระสำคัญ’ กับลี่เซียนแล้ว จึงเดินกลับเข้ามาในห้องโถงเรือนบัญชาการเขานั่งลงยังโต๊ะใหญ่ตรงตำแหน่งประธานของห้องโถง เริ่มเข้าเรื่องอันเป็นสาระสำคัญแห่งการเชิญตัวนักพรตมาจากอารามจิ๋วติ่งกงโดยไม่ยอมให้เสียเวลาไปมากกว่านี้“เพราะคำสั่งจับโจรทะเลทราย ทำให้แม่ทัพหวังกับทหารใต้บังคับบัญชาร้อยคนหายตัวไปทางหน้าผาของภูเขาหมิงซานกลางทะเลทรายซาไห่ สิบวันมาแล้วที่พวกเรามิได้ข่าวคราวเลย”อ๋องหนุ่มเว้นจังหวะวาจาครู่หนึ่งก่อนวิเคราะห์เสียงขรึม “เขาหมิงซานกลางทะเลทรายซาไห่ห่างจากตัวเมืองหลงหมิงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีผาหินถูกเจาะเป็นถ้ำทั้งสิ้นร้อยกว่าถ้ำ ภายในประหนึ่งเขาวงกตซ้อนค่ายกล ข้าสืบรู้มาว่า ถ้ำแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมบางอย่าง นั่นคือสาเหตุที่ข้าเชิญท่านนักพรตมา”ซุนยวี่ขมวดคิ้วน้อย ๆ เรียวตาคมมีความปรารถนาบางอย่างวาบผ่าน “ถ้ำนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดและอายุเก่าแก่มาก เหมาะแก่การเข้าฌาน บำเพ็ญตบะ ฝึกฝนพลังวัตร”เว่ยฉีถามขึ้น “ที่แท้ ท่านนักพรตซุนเคยเข้าไปแล้วหรือ?”แววตาดำขลับไหววูบบางเบา ซุนยวี่ได้สติจากอาการพลั้งเผลอเผยแววตาซึ่งแฝงความต้องการออกมา เขาจึงรีบเอ่ย
ด้านหน้าเรือนบัญชาการร่างสูงสง่าของถังไห่เฉิงจำต้องหยุดฝีเท้าลงเนื่องจากมีมือเล็กของใครบางคนกระตุกแขนเสื้อสีม่วงของเขายิก ๆน่าแปลกนักที่มหาบุรุษเช่นรุ่ยอ๋องผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าถังต้องอับจนหนทางไม่อาจเอาชนะสตรีผู้หนึ่งได้การเดินตามมากระตุกแขนเสื้อกันเยี่ยงนี้ หากเป็นผู้อื่น เขาย่อมตะวาดเสียงดังว่า ‘บังอาจ’ แล้วสั่งให้ทหารลากตัวไปโบยทว่ากับลี่เซียน ถังไห่เฉิงทำได้เพียงคำรามเสียงเบา“ข้าบอกแล้วว่าไม่วาดให้เจ้า”ลี่เซียนแหงนหน้ามองด้วยสายตาออดอ้อน “ข้าย่อมรับผิดชอบวาดเอง ไม่รบกวนท่านแล้ว แค่ต้องการหมึกกับพู่กันและกระดาษเท่านั้น ท่านให้ข้านะ”ถังไห่เฉิงนิ่งมองดวงหน้าเรียวเล็กน่ารักที่มีดวงตากลมโตแสนบริสุทธิ์ใสซื่ออย่างจนใจ“รอตรงนี้ ห้ามไปซุกซนที่ใด?”“อื้ม”ลี่เซียนพยักหน้ารับสั้นๆ เหมือนเช่นเคยนางเอ่ยคําราชาศัพท์ซึ่งนำมาใช้กับเชื้อพระวงศ์ไม่เป็น และน่าแปลกนักที่ถังไห่เฉิงไม่เคยถือสาหาความ เขาหมุนกายเดินเข้าเรือนเพื่อเป้าหมายที่แม่นางน้อยต้องการ แม้มีพลทหารรับใช้ให้เรียกหามากมาย ทว่าพวกนั้นล้วนเป็นบุรุษ และเมื่อเป็นเรื่องของลี่เซียน ถังไห่เฉิงไม่รู้ตัวเองเช่นกันว่าเหตุใดไม่ยินดีเรียก
เรือนส่วนพระองค์ของรุ่ยอ๋องถังไห่เฉิงเปลวไฟบนเชิงเทียนยังคงวูบไหวส่องสว่างท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วนของบุคคลในห้องฝ่ายสตรียังคงกะพริบตามองอีกฝ่ายอย่างบริสุทธิ์ใสซื่อ แฝงความหวังให้เขาอยู่ด้วยกันทั้งคืนเพราะเหตุผลบางประการทว่าบุรุษกลับไร้ซึ่งความร่วมมือทั้งยังมีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์อย่างมากหากต้องเลือกการใช้เวลายามค่ำคืนระหว่างสะสางงานในกองทัพกับการได้คลอเคลียสาวงาม บางทีบุรุษอาจพลั้งเผลอทำตามอารมณ์แล้วเลือกสิ่งหลังโดยวางงานที่คั่งค้างเอาไว้ก่อนทว่าหากต้องเลือกระหว่างสะสางงานกับวาดภาพวสันต์ ไม่ต้องเสียเวลาคิดไตร่ตรอง ผู้มีสมองปกติย่อมรู้ว่าควรเลือกกระทำสิ่งใด ต่อให้ไม่มีงานคั่งค้างอันใด ถังไห่เฉิงย่อมไม่จับพู่กันเพื่อภาพเหล่านั้นอ๋องหนุ่มจึงสะบัดชายเสื้อเดินจากไปปิดฉากสงครามอันไร้สาระลงทันทีลี่เซียนชะงักชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เงียบเสียงคร่ำครวญ ท้ายที่สุดนางจำนนและยอมรับได้ว่าความผิดมิใช่เพราะถังไห่เฉิง แต่เป็นเพราะตนเองทั้งสิ้น เหตุการณ์ตกน้ำล้วนเป็นฝีมือนางเอง การปัดความรับผิดชอบให้ผู้อื่นจึงไม่ถูกต้องนักหญิงสาวมองตำราในมือด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินหัวใจ เริ่มหาวิธีแก้ไ
ท่ามกลางเส้นสายดำขลับอ่อนละมุนปกคลุมยอดบุปผา ปลายนิ้วแกร่งรับรู้ได้ถึงส่วนสงวนอุ่นนุ่มว่าไม่เคยมีผู้ใดเคยสำรวจความลึกลับนี้มาก่อนแต่เพื่อความแน่ใจ ถังไห่เฉิงจึงเร่งจังหวะขยับนิ้วลึกล้ำ“อ๊ะ!”ลี่เซียนสะดุ้งสุดตัว แววตาแตกตื่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง ผิวหนังเย็นเยียบ สองมือขีดข่วนตะเกียกตะกายผลักแผงอกกว้างให้ออกห่าง นางรีบหนีบขา ก่อนชันกายลุกขึ้นนั่งอย่างลนลาน ยังผลให้อีกคนต้องถอยหลังลุกขึ้นนั่งเช่นกัน แววตาบุรุษกระตุกวูบสั่นไหว “เจ้ายังไม่เคย...”“ข้า...” หญิงสาวรีบปิดประโปรง ลำตัวสั่นเทา สุ้มเสียงหวานใสเอ่ยติดขัดอย่างหมดความมั่นใจ “ข้ากำลังเร่งพากเพียร ท่านอย่าได้ตำหนิเชียว”ภายใต้ภาวะเจ็บแสบเล็กน้อยตรงหว่างขา พวงแก้มนวลยิ่งซับสีเลือดแดงเถือกซึมถึงลำคอแม่นางน้อยกำลังสับสนระหว่างภาพวาดกับความจริงที่กำลังเผชิญ ในตำราเขียนไว้ว่า ‘บุรุษชมชอบความรู้สึกลื่นๆ อุ่นๆ ปรารถนาโดนกลีบบุปผารัดรึงเอาไว้ ส่วนฝ่ายสตรีต้องทนให้ได้ เมื่อได้รับสัมผัสอุ่นๆ ลื่นๆ’อันใดลื่นๆ อันใดอุ่นๆ นางสับสนยิ่งนัก ใช่มิใช่นิ้วบุรุษ!ไม่ปล่อยให้ปัญหาคาใจเนิ่นนาน ลี่เซียนรีบหันไปคว้าตำรารัญจวนครวญวสันต์เปิดอ่านทันที สองต
ชั่วขณะนั้นฝ่ายลี่เซียนกลับกลายร่างเป็นก้อนหินไปแล้วนางตัวเกร็งแข็งทื่อเบิกตากว้างอ้าปากค้างชะงักนิ่งงัน จังหวะนั้นจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ปลายลิ้นกรุ่นร้อนของอีกฝ่ายสามารถล่วงล้ำลึกซึ้งได้ง่ายดายทั้งกลีบปากอุ่นนุ่ม ทั้งเรียวลิ้นอุ่นร้อน ทั้งความอุ่นชื้นของลมหายใจ ชายตรงหน้าประหนึ่งกำลังจะดูดกลืนวิญญาณของนางได้ หญิงสาวเร่งกะพริบตา เพียรศึกษาอย่างถ่องแท้จังหวะเดียวกัน ถังไห่เฉิงพลันจับร่างนุ่มพลิกให้นอนราบบนเตียงกว้างแล้วกดทับเอาไว้ใต้ร่างอย่างแน่นหนาแสงเทียนส่องสว่างวูบไหว สะท้อนให้เห็นเงาร่างใหญ่กลืนกินเงาร่างเล็กจนสิ้นตลอดทั้งลำตัวของทั้งสองแนบชิดปานนั้น ทั้งเรียวแขนและเรียวขาล้วนเกี่ยวกระหวัดพัลวัน ใบหน้ายิ่งแนบสนิทเช่นกันภายในห้องได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน ผสมปนเปกับเสียงบดเบียดของผิวเนื้อริมฝีปากหลังช่วงชิงลมหายใจเนิ่นนาน ชายหนุ่มผู้รุกล้ำเริ่มสัมผัสได้ถึงปลายลิ้นนางที่แข็งเกร็ง เขาถอนใบหน้าออก ก้มมองนางในระยะประชิดจนปลายจมูกชนกัน เห็นกลีบปากแดงก่ำอ้าพะงาบๆ ดวงตากลมเบิกโตกะพริบปริบๆถังไห่เฉิงให้นึกแปลกใจ “เจ้าจูบไม่เป็น?”ประหนึ่งถูกต่อว่าอย่างรุนแรง ลี่เซียนผู้พาก
ภายใต้ภาวะคุกรุ่น คล้ายสงครามก่อตัวรอบใหม่ใบหน้าหล่อเหลาเขียวครึ้มสุดจะหยั่ง ถังไห่เฉิงให้รู้สึกเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันเหลือจะกล่าว เขาแค่นเสียงเย็นชา“ใช่เห็นว่าข้าหมดประโยชน์แล้วหรือไม่?”หญิงสาวเห็นพายุเริ่มก่อตัวบนดวงหน้าสง่างามจึงคิดว่าควรอธิบายเพิ่มเติมเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม“ความต้องการของมนุษย์ควรหยุดแค่เท่านี้ ในเมื่อข้าได้ครบถ้วนแล้ว ทั้งที่นอน ทั้งอาภรณ์ ย่อมไม่เรียกร้องสิ่งใดอีก”แต่ไหนเลยจะดีขึ้นกว่าเก่า ทั้งเขาตรงหน้ายังแผ่ซ่านรังสีอำมหิตโฉดชั่วออกมาแม่นางผู้อ่อนต่อโลกหล้าจึงจำต้องถอยหลังไปตั้งหลักบนเตียงนอน รวบอาภรณ์มากอดแน่น หวงแหนมากเขาจะยึดคืนหรือไม่?ถังไห่เฉิงย่างสามขุมตามขึ้นมาบนเตียง “เจ้าคงลืมฐานะตัวเองไปแล้วกระมัง? จึงได้สามหาวไม่รู้ความเยี่ยงนี้!”ลี่เซียนเบิกตากลมโต “ไม่...ไม่เคยลืมข้าคือสตรีของท่าน”เงาดำร่างใหญ่ครอบคลุมร่างเล็กจนมิดประหนึ่งอสูรร้าย“เช่นนั้น หน้าที่ของเจ้าคือสิ่งใด”หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น เอ่ยอย่างมั่นใจ “ปรนนิบัติท่าน”พี่เย่เสียย้ำบ่อยมาก นางไม่ลืมแน่นอน“ในเมื่อจำได้ ไฉนไม่ยินยอมให้ข้ามาหา”นี่คือสาระอันสำคัญ ถังไห่เฉิงถือเป็นเรื่องใหญ่พอ