“ไม่นะ! ฉันไม่ตรวจ” เวนิสาส่ายหน้าพรืด
“กลัวละสิ”
“ยิ่งกว่ากลัวอีก เจ๊! ฉันท้องไม่ได้นะ ท้องตอนนี้ยัยตะวันฆ่าฉันแน่ๆ”
“แล้วไง มีลูกนะไม่ใช่ท้องผูก ถ่ายแล้วพุงจะได้ยุบ ถ้าท้องจริงๆ ยังไงซะวันหนึ่งก็ต้องมีคนรู้ สู้ตรวจๆ ไปให้รู้แน่ หล่อนจะได้ดูแลตัวเอง”
“เฮ้ย...ไม่เอา ไม่ตรวจ ฉันกลัว ไปแล้วนะ ไม่กินละข้าว กินไม่ลง ไปแล้วเจ๊”
แล้วเวนิสาก็ลากกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นชั้นสอง ไม่สนคำแนะนำของเจ๊หวาน ยอมรับว่าหัวใจยังไม่เข้มแข็งพอ สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ได้แต่ภาวนาต่อสวรรค์ ว่าอย่าได้ท้องเลย อย่า!
____________
หนึ่งเดือนผ่านไป ณ คฤหาสน์ศิวเศขร
ศศินนอนหงอยอยู่บนเตียง หนึ่งเดือนมาแล้วที่บรรยากาศในห้องนอนเขามิต่างจากป่าช้า มันเงียบจนวังเวง มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่างเงาของเวนิสา หล่อนเคยนอนอยู่บนโซฟาตัวนั้น บ้างก็ลงมานอนเกลือกกลิ้งบนพื้นพรม
เสียงหัวเราะของหล่อนเหมือนยังดังแว่วให้ได้ยิน เสียงกระซิบของหล่อนยามอยู่บนตัวเขาก็เช่นกัน พอหล่อนไม่อยู่ หลายๆ อย่างก
“ก็เพลงที่ร้องว่า..ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ ไม่ต้องมาห่วงอะไรนั่นน่ะ แบบนั้น ฉันเป็นแบบนั้น พี่ไม่ต้องมาทำดีกับฉันเพราะรู้ว่าฉันรู้สึกยังไงหรอกนะคะ ฉันไม่ต้องการ จะไปไหนก็ไปเถอะค่า”“เธอนี่เพี้ยนขึ้นทุกวัน คนทำดีด้วยกลับไม่ต้องการ”“รำคาญ จะไปไหนก็ไปไป๊!”“นี่เธอ!” ศศินเรียกเสียงดัง พออยากดูแลเข้าหน่อยเจ้าหล่อนก็ทำเมินเสียนี่ อย่างนี้คนมีความตั้งใจก็เสียกำลังใจกันพอดี“ทีเมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้นะ”“ก็ตอนนี้จะเป็นนี่คะ ถามใจตัวเองก่อนไหม ที่มาทำดีนี่เพราะอะไรกันแน่ ถ้าแค่เพราะสงสารละก็ ไม่เอาค่ะ ความสงสารหาเอาจากที่ไหนก็ได้ ไม่เห็นจะอยากได้สักนิด เชอะ!”เวนิสาดึงผ้านวมขึ้นคลุมมิดศีรษะ ปิดกั้นศศินไม่ให้มีโอกาสโต้กลับมา ชายหนุ่มได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยัยตัวแสบต่อให้อ่อนแออย่างไรก็ยังแสบเหมือนเดิม“งั้นฉันกลับละ เธออย่าหลับเลย ใกล้ค่ำแล้ว ตื่นมาหลงเวลาพอดี”“รู้แล้วน่า กลับไปได้แล้วไป ไม่มีงานมีการทำหรือไงนะ” ทำเป็นบ่นอยู่ใต้ผ้านวม พ
“เธอนี่จริงๆ เลย มีความเป็นกุลสตรีบ้างไหม”“20%” เธอตอบออกไปอย่างมึนๆ งงๆ“ฮะ? อะไรนะ”“ก็พี่ถามว่าฉันมีความเป็นกุลสตรีบ้างไหม ฉันก็ตอบนี่ไงว่ามี 20%”“เว-นิ-สา!”“ขา...แหะๆ” ขานรับเสียงอ่อนเสียงหวาน ยิ้มแหยๆ ให้คุณพี่ขา นัยหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ที่มันจุกอยู่ใจใจ“เหนื่อยไหมวี”“คะ? เหนื่อยอะไร ฉันไม่ได้เหนื่อยสักนิด ซักผ้าแค่นี้สบายมาก ใช้เครื่องเหนื่อยตรงไหนล่ะ”ศศินพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ“เธอนี่เป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ปั้นหน้ายิ้มทั้งที่ใจกำลังร้องไห้ ฉันไม่เข้าใจเธอเลย”เวนิสาอึ้งไปอีก น้ำตาเม็ดใหญ่ๆ หล่นจากดวงตาราวสั่งได้ กลั้นใจไม่ให้ร้องโฮ แต่น้ำตาเม็ดโตๆ ก็ร่วงหล่นลงมา ริมฝีปากเธอกำลังสั่น แค่ได้ยินเสียงนี้หัวใจก็ไหวยวบ ปลายเนกไทที่กำลังจุ่มน้ำตาบนสองแก้มเธอก็ยิ่งทำให้เธอร้องหนักเข้าไปอีก พอเถอะ พอแล้ว เลิกเช็ดเสียที จะทนไม่ไหวแล้วนะ!“ร้องไห้เป็นเด็กๆ แล้วหลอกคนอ
[16]ตลกร้าย________หัวใจของรวีกานต์เหมือนถูกกดไว้ด้วยความทุกข์ของเวนิสา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ได้คิดในมุมของเพื่อนรัก ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนรู้สึกอย่างไร แต่มันเพียงพอแล้วหรือกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญ เธอเสียความรู้สึก เสียเพื่อน เสียตัว เธอต้องโทษใคร ต้องหลอกตัวเองไปถึงเมื่อไหร่ว่าทั้งหมดนี่คือความผิดของศศินกับเวนิสา หรือว่าต้องทำอย่างที่ศศินบอก ต้องยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวของเธอเอง“แกอยากให้ฉันเป็นคนผิดเหรอ”เวนิสาส่ายหน้า “ไม่เลย...ความผิดน่ะ ฉันรับเอาไว้คนเดียวก็ได้ แกแค่กลับมาเป็นตะวันของฉันคนเดิม คนที่สดใส คนที่มีรอยยิ้มให้ทุกคน”รวีกานต์ส่ายหน้าดิก มองเวนิสาที มองบอสใหญ่ของตัวเองที มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ หัวใจฉันมันพังไปแล้ว”“เพื่อตัวของแกเองนะตะวัน”เวนิสาเตือนเพื่อน ปาดน้ำตาทิ้งแล้วหันไปมอง ดวงตาของรวีกานต์ยามนี้
“เลิกทำเป็นห่วงฉันซะที! ไม่ต้องมาเสแสร้ง! ยังไงคนที่เขาสนใจก็ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นแก แกคนเดียว เป็นแกมาตั้งแต่ต้น เป็นเพราะแก!”รวีกานต์ร้องว่าเพื่อนรัก น้ำตารินมาเป็นสายเวนิสาทำใจดีเข้าสู้“ฉะ...ฉัน ฉันจะลงไปดูว่ามีขนมเค้กในตู้เย็นไหม แกเคยบอกว่าถ้าอารมณ์ไม่ดี กินอะไรหวานๆ แล้วจะหาย” เสพูดไปเรื่องอื่น น้ำตาไหลมาคลอในสองเบ้า ตั้งท่าจะหันหลังลงข้างล่างอีกรอบหนึ่งหมับ!ข้อมือน้อยถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ของผู้ชายตัวโต“นั่งลง เธอเหนื่อยแล้ว” ศศินไม่เอ่ยเปล่าๆ แต่ลุกขึ้นแล้วดันร่างเวนิสาลงนั่งแทนที่ของตน รวีกานต์ขยับกายหนีไปชิดขอบเตียงอีกฝั่ง สองตาของหล่อนยังมองมายังมือเขาที่จับข้อมือเวนิสาอยู่เวนิสารู้สึกดีที่ศศินทำเหมือนห่วงใย แต่คงดีกว่านี้ถ้าไม่ได้อยู่ในสายตาของเพื่อนรัก รวีกานต์คงปวดใจ การเห็นเขาห่วงใยเธอคงเหมือนมีดคมๆ ที่กำลังกรีดหัวใจหล่อนแม่ดาวพระศุกร์แกะมือศศินออกอย่างสุภาพ ขยับออกไปยืนพิงร่างกับตู้เสื้อผ้าหลังน้อยของรวีกานต์“พวกเราน่าจะเปิดอกคุยกันดีไหม” เขาเป็นฝ่ายเอ่ย
บ้านหลังน้อยของสามสาวร่างของรวีกานต์ถูกผ่อนลงบนเตียงอย่างเบามือ ศศินไม่ยอมให้หล่อนทำงานต่อ เจ้ากี้เจ้าการพาหล่อนมาส่งบ้านทั้งที่เจ้าตัวปฏิเสธ บ่ายนี้เจ๊หวานไม่อยู่บ้าน แต่เวนิสาอยู่ หล่อนอยู่หน้าบ้านพอดีตอนที่เขาพารวีกานต์ลงรถมา“เป็นอะไรไปคะ เมื่อเช้ายังดีๆ อยู่เลย”เวนิสาถามคนที่พาเพื่อนรักมาส่ง รวีกานต์รีบพลิกกายหันหลังให้เธอ ราวกับไม่อยากมองหน้า เธอได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอย่างปลดปลง“ไม่รู้สิ ตอนกินข้าวก็ดีๆ อยู่เลย”“กินข้าว...ด้วยกันหรือคะ” ถามออกไปเพราะอดใจไม่ได้ รวีกานต์ได้ทีก็หันกลับมา“ใช่...บอสทำข้าวกล่องมาให้ อร่อยมาก” แม่แสงตะวันยามเที่ยง สาดแสงแรงร้อนลงมาเผาไหม้เพื่อนรักของตัวเอง อยากให้เวนิสาเจ็บปวดบ้าง จะได้รู้ว่าการถูกหักหลังจากคนที่รักมันเป็นอย่างไร“งั้นเหรอ ก็...ดีแล้ว” ตอบเพื่อนแล้วฝืนยิ้มกระจ่าง ในดวงตามีหยาดละอองน้ำตาขึ้นมารำไร “แล้วเธออยากได้อะไรไหม เป็นลมไม่ใช่เหรอ” ถามด้วยห่วงใย อีกฝ่ายยิ้มเยาะกลับมา“ก็...ถ้าได้น้ำปั่นเย็นๆ ค
“ไม่นะ! ฉันไม่ตรวจ” เวนิสาส่ายหน้าพรืด“กลัวละสิ”“ยิ่งกว่ากลัวอีก เจ๊! ฉันท้องไม่ได้นะ ท้องตอนนี้ยัยตะวันฆ่าฉันแน่ๆ”“แล้วไง มีลูกนะไม่ใช่ท้องผูก ถ่ายแล้วพุงจะได้ยุบ ถ้าท้องจริงๆ ยังไงซะวันหนึ่งก็ต้องมีคนรู้ สู้ตรวจๆ ไปให้รู้แน่ หล่อนจะได้ดูแลตัวเอง”“เฮ้ย...ไม่เอา ไม่ตรวจ ฉันกลัว ไปแล้วนะ ไม่กินละข้าว กินไม่ลง ไปแล้วเจ๊”แล้วเวนิสาก็ลากกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นชั้นสอง ไม่สนคำแนะนำของเจ๊หวาน ยอมรับว่าหัวใจยังไม่เข้มแข็งพอ สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ได้แต่ภาวนาต่อสวรรค์ ว่าอย่าได้ท้องเลย อย่า!____________หนึ่งเดือนผ่านไป ณ คฤหาสน์ศิวเศขรศศินนอนหงอยอยู่บนเตียง หนึ่งเดือนมาแล้วที่บรรยากาศในห้องนอนเขามิต่างจากป่าช้า มันเงียบจนวังเวง มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่างเงาของเวนิสา หล่อนเคยนอนอยู่บนโซฟาตัวนั้น บ้างก็ลงมานอนเกลือกกลิ้งบนพื้นพรมเสียงหัวเราะของหล่อนเหมือนยังดังแว่วให้ได้ยิน เสียงกระซิบของหล่อนยามอยู่บนตัวเขาก็เช่นกัน พอหล่อนไม่อยู่ หลายๆ อย่างก