แม้ว่าองค์หญิงซูหยวนจะฝืนพักอยู่ในจวนอ๋อง แต่กลับไม่มีสิ่งใดเป็นที่สบอารมณ์ ไม่ว่าจะเรื่องกินเรื่องดื่มก็ไม่มีสิ่งใดพึงใจ เพียงวันเดียวก็โกรธเกรี้ยวไม่น้อยเฉียวเนี่ยนทำเป็นไม่รับรู้ คิดไว้ว่าตราบใดที่องค์หญิงซูหยวนยังรู้จักกาลเทศะ ไม่ถึงขั้นทำร้ายคนในจวน นางก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจดังนั้น ผู้ที่ทนไม่ไหวก่อนจึงเป็นองค์หญิงซูหยวนยังไม่ทันถึงยามพลบค่ำ องค์หญิงก็ให้คนมาส่งข่าว บอกว่าอยากพบเฉียวเนี่ยนจึงตามคนผู้นั้นไปยังเรือนหลันซิ่งองค์หญิงซูหยวนกำลังนั่งเหม่ออยู่ใต้ชายคาพอเห็นเฉียวเนี่ยนเดินเข้ามา องค์หญิงซูหยวนจึงนั่งหลังตรงขึ้น ขมวดคิ้ว มองเฉียวเนี่ยนที่กำลังเดินเข้าใกล้เฉียวเนี่ยนก้าวขึ้นไปด้านหน้าแล้วคำนับ “ขอถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”องค์หญิงซูหยวนรับคำอย่างเย็นชา “อืม”แล้วจึงหันไปเหลือบมองอวิ๋นเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆอวิ๋นเอ๋อร์เข้าใจในทันที รีบพาเหล่านางกำนัลและขันทีคนอื่น ๆ ถอยออกไปไม่นานนัก ภายในเรือนก็เหลือเพียงเฉียวเนี่ยนกับองค์หญิงซูหยวนองค์หญิงซูหยวนลุกขึ้นมายืน เดินช้า ๆ มาหยุดตรงหน้าเฉียวเนี่ยน ดวงหน้าแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง “เจ้าคงไม่คิดว่าจะเอาแต่ยื้อเวลา แล้วเ
ได้ยินคำว่าสิบวัน องค์หญิงซูหยวนก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงแสดงความไม่พอใจในลำคอ แล้วจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปในจวนอ๋องผิงหยางเฉียวเนี่ยนเดินตามหลังนางไปด้านหลัง ประตูใหญ่ของจวนอ๋องผิงหยางค่อย ๆ ปิดลง กั้นสายตาวุ่นวายนั้นไว้ข้างนอกองค์หญิงซูหยวนถึงได้หยุดฝีเท้า หันกลับมาแล้วมองไปทางเฉียวเนี่ยน “ข้าจะแนะนำให้นี่รู้จักหน่อย นี่คือนางกำนัลประจำตัวของข้า อวิ๋นเอ๋อร์”ได้ยินดังนั้น เฉียวเนี่ยนก็หันไปมองอวิ๋นเอ๋อร์เพียงเห็นว่านางเชิดหน้ามองเฉียวเนี่ยนอย่างยโส เต็มไปด้วยท่าทีข่มผู้อื่นเพราะมีคนหนุนหลังเฉียวเนี่ยนแววตาราบเรียบ ย่อกายเล็กน้อยให้อวิ๋นเอ๋อร์เป็นการคารวะ ทำให้อวิ๋นเอ๋อร์ยิ่งได้ใจมากขึ้นเป็นแค่สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติองค์หญิงเท่านั้น กลับทำเหมือนตนเป็นองค์หญิงเสียเองเห็นได้ชัดว่ายังไม่รู้ว่าตัวเองใกล้ถึงวันตายแล้วเห็นเฉียวเนี่ยนให้ความเคารพสาวใช้ของตนถึงเพียงนี้ องค์หญิงซูหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด แต่ก็ยังอยากเตือนเจ้าสักคำ อย่าทำตัวฉลาดเกินไป! คิดว่าจัดการส่งสาวใช้ของตัวเองออกไปแล้ว ข้าจะไม่มีทางกำราบเจ้าได้งั้นหรือ? น่าขัน!”พูดมาถึงตรงนี้ องค์
ในรั้ววัง นอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็มีเพียงทหารองครักษ์เท่านั้นที่ทำเรื่องนี้ได้เมื่อเฉียวเนี่ยนพูดจบ เซียวเหอก็ถึงกับตกใจขึ้นมาทันทีพลันเข้าใจในบัดดลว่าวันนี้องค์หญิงเรียกเฉียวเนี่ยนเข้าไปพบด้วยเรื่องใดจึงลดเสียงเบาลงแล้วถามว่า “นานเท่าไรแล้ว?”“ราวสามเดือนกว่า” เฉียวเนี่ยนเอ่ยพร้อมกับที่ในดวงตาคู่นั้นปรากฏความเย็นเยียบขึ้นมาทีละน้อย “นางบอกว่าอีกไม่กี่วันจะไปที่จวนอ๋องผิงหยางเพื่ออยู่เล่นกับข้า จะใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างให้ข้าช่วยขับเด็กให้นาง”เสียงของเฉียวเนี่ยนเบามาก แม้แต่เซียวเหอที่ยืนอยู่ตรงหน้ายังได้ยินแค่พอจับใจความได้ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล เซียวเหอขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าจะรับมืออย่างไร?”“ข้าไม่มีทางเลือก” เฉียวเนี่ยนเอ่ยด้วยเสียงเย็น “ทำได้เพียงจัดการเรื่องนี้ให้นางในจวนอ๋องก็เท่านั้น เพียงแต่ถ้าทำพลาด ก็อาจมีคนตาย...”ดวงตาของเซียวเหอฉายแววเคร่งขรึม เสียงของเขาก็เผยความเย็นเยียบออกมาด้วย “ต่อให้ทำสำเร็จ ก็อาจมีคนตายอยู่ดี”องค์หญิงตั้งครรภ์ก่อนสมรส ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวยิ่งใหญ่เมื่อเรื่องสงบลง องค์หญิงย่อมฆ่าปิดปากนางเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเฉ
เฉียวเนี่ยนตอบตามความจริง แต่องค์หญิงซูหยวนกลับไม่เชื่อ “ข้าไม่สน! ไม่มีเจ้าก็ต้องหามาให้มี! ข้าจะบอกเสด็จพ่อว่าจะไปอยู่ที่จวนอ๋องผิงหยางกับเจ้าสักสองสามวัน เจ้าก็ต้องหาวิธีให้ข้าตกเลือดที่จวนอ๋องผิงหยางให้ได้ มิฉะนั้น เจ้าก็รู้ว่าผลจะเป็นเช่นไร!”ในใจของเฉียวเนี่ยนหนักอึ้งนางไม่อยากให้องค์หญิงซูหยวนย้ายเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องผิงหยางเรื่องการตกเลือด เป็นเรื่องอันตรายถึงเพียงไหน?หากองค์หญิงซูหยวนเป็นอะไรไป มิใช่ว่าจะพลอยทำให้ฉู่จืออี้ต้องเดือดร้อนโดยไม่จำเป็นหรือ?เฉียวเนี่ยนสูดลมหายใจลึก แล้วจึงเอ่ยว่า “หลังจากท่านอ๋องออกจากเมือง หม่อมฉันก็ตั้งใจจะย้ายกลับไปอยู่เรือนเล็กของหม่อมฉันอยู่แล้ว...”แต่ไม่ทันสิ้นเสียง ก็ถูกองค์หญิงซูหยวนขัดขึ้นมา“เจ้าจะกลับเรือนเล็กของเจ้าก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าจะต้องตกเลือดที่จวนอ๋องผิงหยางให้ได้!”เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงซูหยวนรู้ดีว่าฉู่จืออี้มีความสำคัญเพียงใดในใจของเฉียวเนี่ยนในเมื่อเฉียวเนี่ยนไม่ยอมให้ฉู่จืออี้ต้องเดือดร้อน นางก็ย่อมหายาขับเด็กที่ดีที่สุดมา เพื่อให้แน่ใจว่านางจะปลอดภัยไร้ปัญหา!มือที่วางอยู่ข้างลำตัวของเฉียวเนี่ยนกำแน่นเล็กน้อย
ความเย็นเยียบสายหนึ่งแล่นขึ้นมาจากด้านหลัง เฉียวเนี่ยนมององค์หญิงซูหยวน เอ่ยปากไม่ออกเนิ่นนานจะพูดอะไรดี?จะบอกว่าองค์หญิงมีครรภ์สามเดือนแล้วหรือ?นั่นไม่เท่ากับว่าอยากตายเร็วหรือไร?ตราบใดที่องค์หญิงกล่าวหานางว่าใส่ความโดยไร้หลักฐาน อย่าว่าแต่รอให้ฮ่องเต้ทรงตัดสินเลย เกรงว่าไม่ทันถึงตอนนั้น นางก็คงถูกองค์หญิงซูหยวนปลิดชีวิตเสียก่อนแล้วถ้าจะบอกว่าชีพจรขององค์หญิงไม่มีความผิดปกติล่ะ?อีกไม่นานเรื่องแดงขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะถูกโยนความผิดร้ายแรงเพียงใดมาใส่หัวอีก!เห็นองค์หญิงซูหยวนมีสีหน้าพึงใจปรากฏออกมา เฉียวเนี่ยนก็ได้แต่ชักมือกลับในที่สุด แล้วมองไปยังองค์หญิงซูหยวน เอ่ยเสียงหนักว่า “ไม่ทราบว่าองค์หญิงทรงประสงค์สิ่งใด?”องค์หญิงซูหยวนเลิกคิ้ว “แม่นางเฉียวพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ข้าเจริญอาหารผิดปกติ เลยอยากให้เจ้าช่วยตรวจดูให้หน่อย ไม่ได้หรือ? ตรวจไม่พบอะไรงั้นหรือ?”“เหตุใดองค์หญิงจึงเจริญอาหารถึงเพียงนี้ องค์หญิงย่อมรู้แก่ใจดี” เฉียวเนี่ยนยิ้มตอบ เพียงเท่านี้ สีหน้าองค์หญิงซูหยวนก็พลันมืดครึ้มลงทันใดก่อนจะหัวเราะเยาะ “ดูท่าแม่นางเฉียวยังไม่รู้ฐานะของตัวเองอย่างชัดเจนส
เต๋อกุ้ยเฟยถอนหายใจอีกครั้ง “น่าสงสารหัวอกพ่อแม่ทั่วหล้า ตัวข้าไม่มีบุตรแล้ว ไม่อยากให้สหายรักของข้าต้องสูญเสียลูกของตนไปทีละคน...”กล่าวจบ เต๋อกุ้ยเฟยก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอีกครั้งเฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงกล่าวว่า “หม่อมฉันขอออกไปจัดยาให้ฮูหยินหลินก่อนนะเพคะ”เห็นได้ชัดว่าเฉียวเนี่ยนไม่ไหลไปตามน้ำ เต๋อกุ้ยเฟยได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ โบกมือเป็นสัญญาณให้เฉียวเนี่ยนถอยออกไปเห็นเฉียวเนี่ยนทำความเคารพแล้วเดินจากไป เต๋อกุ้ยเฟยกลับมีแววคิดพิเคราะห์โผล่ขึ้นมาในดวงตาช้า ๆแม้อาการไข้ของฮูหยินหลินจะรุนแรง แต่ก็เพียงเข็มเดียวก็ลดไข้ลงจนหมดสิ้นเต๋อกุ้ยเฟยกลัวว่าฮูหยินหลินจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีก จึงเพียงรอให้นางลืมตาขึ้นมา แล้วค่อยสั่งให้คนพานางกลับจวนโหวไปเฉียวเนี่ยนจึงคล้ายยกภูเขาออกจากอก รอเพียงฮูหยินหลินออกจากวังแล้ว นางก็เตรียมตัวกลับออกจากวังเช่นกันแต่ยังไม่ทันเดินถึงประตูวัง ก็มีคนเรียกไว้เสียก่อน“แม่นางเฉียว ช้าก่อน!”เฉียวเนี่ยนหันกลับมา ก็เห็นขันทีตัวเล็กผอมบางผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม ยกมือคารวะพร้อมยิ้มกล่าวว่า “แม่นางเฉียว องค์หญิงซูหยวนทรงขอพ